Friday, May 24, 2013

แนะนำอาชีพ ‘ข้าวซอยตัด’

“ข้าวซอยตัด“ เป็นขนมทางเหนือ เป็นขนมหวานทานเล่น หรือทานกับชากาแฟก็ได้ ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ทีม ’ช่องทางทำกิน“ ร่วมคณะบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)–เซเว่น อีเลฟเว่น ไปเยี่ยมชมศูนย์กระจายสินค้าที่ จ.ลำพูน และเยี่ยมชมกิจการ หจก.ชัยสิทธิ์ ฤทธา ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ข้าวซอยตัด “ปลาทอง” จ.เชียงใหม่ ก็ได้ข้อมูล “ข้าวซอยตัด” มาฝากกัน...
   
ปัญญา สุขสภา ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ข้าวซอยตัด “ปลาทอง” เล่าว่า ขนม “ข้าวซอยตัด” หรือภาษาจีนเรียกว่า “ซาฉี๋หม่า” ที่แปลว่า “ขนมแป้งทอด” เป็นขนมหวาน เดิมเป็นอาหารว่างของเผ่าแมนจู ข้าวซอยตัดทำจากเส้นหมี่ นำไปทอดจนสุก แล้วชุบด้วยน้ำตาล ซึ่งหลายคนคิดว่าขนมข้าวซอยตัดเป็นขนมประจำท้องถิ่นอยู่ในภาคเหนือของประเทศ แต่ที่จริงแล้วขนมชนิดนี้มีวางจำหน่ายหลายประเทศ อาทิ จีน ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เวียดนาม รสชาติก็แตกต่างกันไป

ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ข้าวซอยตัดรายนี้เล่าต่อไปว่า เดิมนั้นเริ่มจากการทำข้าวซอยตัดขายเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ในครัวเรือน ทำขายกับภรรยา 2 คน ตอนนั้นเห็นว่าข้าวซอยตัดยังไม่ค่อยมีขายในบ้านเรา ก็เลยอยากจะลองทำขาย ภรรยาก็ไปเรียนรู้วิธีการทำ จากนั้นก็มาเริ่มหัดทำ ลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 1 ปี กว่าที่จะได้สูตรและวัตถุดิบที่ลงตัวในการทำ ข้าวซอยตัดที่ไม่อมน้ำมัน แล้วก็เริ่มทำขาย ตอนนั้นก็ทำใส่ถาดขนมแล้วตัดเป็นชิ้น ๆ ขายชิ้นละ 1 บาท ยังไม่มีแบรนด์ เริ่มจากการทำแจกตามโรงเรียนให้นักเรียนชิม เพื่อให้เป็นที่รู้จักก่อน แล้วก็ทำขายมาเรื่อยจนเป็นที่รู้จักและคนเริ่มนิยมกันมาก

จากนั้นก็พัฒนาตัวสินค้ามาเรื่อย ๆ จนขยายทำเป็นโรงงาน ใช้เครื่องมือเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาช่วยในการผลิต แต่ยังคงรสชาติเดิม และใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ โรงงานได้รับใบอนุญาตผลิตอาหาร หนังสือรับรองฮาลาล และ GMP

ปัญญาบอกว่า ปัจจุบันข้าวซอยตัดที่ทำอยู่นั้นมีอยู่ 2 แบรนด์ คือตรา “ปลาทอง” และตรา “กิตติตะวัน” ซึ่งส่งขายตามร้านขายของฝาก และล่าสุดได้เข้าไปวางขายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ด้วย

“ข้าวซอยตัดที่ดีจะต้องมีน้ำหนักเบา เพราะถ้าหนักก็แสดงว่าข้าวซอยตัดนั้นอมน้ำมัน และที่สำคัญขนมจะต้องไม่ติดฟัน หากกินแล้วติดฟัน แสดงว่าใช้วัตถุดิบที่ไม่มีคุณภาพมาทำ” ปัญญากล่าว

ขนมข้าวซอยตัดนั้น ดูวิธีการทำแล้วเหมือนไม่ยาก แต่ถ้าลองทำแล้วก็จะรู้ว่าไม่ง่ายนัก ต้องใช้ความอดทด ความชำนาญ ประสบการณ์ในการทำ อย่างไรก็ดี สำหรับขนมข้าวซอยตัดนี้ ถ้าทำเป็น ทำได้ ก็สามารถขายได้แน่

และต่อไปนี้เป็นสูตรการทำขนมข้าวซอยตัดขายเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ตามตลาดนัดหรือแหล่งท่องเที่ยว

อุปกรณ์ในการทำที่สำคัญ ๆ ก็จะเป็นพวกอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน อย่างหม้อ, กะละมัง, ถาดใส่ขนม, เตาแก๊ส, ไม้รีดแป้ง เป็นต้น ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ทำ ตามสูตรมีดังนี้คือ... แป้งสาลี 2 กิโลกรัม, ไข่ไก่ 30 ฟอง, น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม, น้ำสะอาด 1.5 ลิตร

วิธีทำ...เริ่มจากเตรียมแป้งทำเส้นข้าวซอยก่อน โดยนำแป้งสาลี 2 กิโลกรัม ใส่ในกะละมัง ตอกไข่ไก่ผสมลงไปในแป้ง นวดผสมให้แป้งเข้ากับไข่ไก่เป็นเนื้อเดียวกัน จนแป้งเหลืองและมีความเหนียวนุ่ม แล้วก็นำแป้งที่นวดใส่ถุงพลาสติก นำไปเก็บไว้ในตู้เย็นเป็นการหมักแป้งประมาณ  3 ชั่วโมง แป้งที่หมักไว้นี้ ถ้าใช้ได้แล้วแป้งจะมีลักษณะนิ่ม เนื้อแป้งจะหนืด ๆ ให้ทดลองตัดแป้งมาลองทอดในน้ำมันดูก่อนเล็กน้อย ถ้าแป้งลงไปในน้ำมันที่ร้อนแล้วฟูขึ้นมา แสดงว่าแป้งนั้นใช้ได้แล้ว

เมื่อแป้งที่หมักไว้ได้ที่ ก็นำออกมาจากตู้เย็น ตัดแป้งเป็นก้อนพอดี ๆ ใช้ไม้นวดแป้งกลิ้งนวดแป้งให้เป็นแผ่นให้ได้ความหนาประมาณเส้นก๋วยเตี๋ยว จากนั้นก็ตัดให้เป็นเส้น ๆ พอประมาณ นำแป้งที่ตัดเป็นเส้นข้าวซอยลงทอดในน้ำมัน โดยใช้ไฟแรงในการทอด นำเส้นลงทอดไม่นานก็ตักขึ้น เพื่อไม่ให้เส้นอมน้ำมันมาก นำขึ้นพักไว้ให้เส้นสะเด็ดน้ำมัน

ต่อไปเตรียมน้ำเชื่อม โดยนำน้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม ใส่ในน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ตั้งเคี่ยวบนเตาไฟจนน้ำตาลละลายก็จะได้น้ำเชื่อม จากนั้นก็นำเส้นข้าวซอยที่ทอดเตรียมไว้ใส่ลงในน้ำเชื่อม ทำการคลุกให้น้ำเชื่อมซึมเข้าเส้นข้าวซอยจนทั่ว แล้วก็ตักใส่ถาดกดอัดให้แน่น นำเข้าแช่ในตู้เย็นให้ขนมแข็งตัว แล้วก็นำออกมาตัดเป็นชิ้น ๆ ตามขนาดที่ต้องการการทำขนม “ข้าวซอยตัด” ขายเป็น “ช่องทางทำกิน” โดยทำแบบเล็ก ๆ อาจจะขายราคาชิ้นละ 5-10 บาท แล้วแต่ต้นทุนต่าง ๆ ซึ่งการลงทุนในส่วนของการซื้ออุปกรณ์ในการทำขนมข้าวซอยตัดขายนั้น อยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท

ทั้งนี้ สำหรับขนมข้าวซอยตัดของ หจก.ชัยสิทธิ์ ฤทธา ตรา “ปลาทอง” จะมีรสดั้งเดิม รสน้ำอ้อย วางขายใน เซเว่น อีเลฟเว่น ส่วนตรา “กิตติตะวัน” ที่วางขายทั่วไปจะมีรสดั้งเดิม, รสสตรอเบอรี่, รสน้ำอ้อย, รสอัลมอนด์
   
สำหรับผู้ที่สนใจ ’ข้าวซอยตัด“ ของ หจก.ชัยสิทธิ์ ฤทธา ผู้ประกอบการรายนี้ มีที่ตั้งอยู่ที่ 1/3 หมู่ 7 ต.บวกค้าง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ต้องการสั่งออร์เดอร์ไปจำหน่ายต่อ ติดต่อได้ที่ โทร. 08-3209-1448, 0-5344-6939.

http://www.dailynews.co.th/article/384/206700

No comments: