Sunday, June 26, 2011

แนะนำอาชีพ 'เพาะเห็ดนางฟ้าภูฏาน'

เห็ดที่ขึ้นในสภาพอากาศเย็น เช่น เห็ดนางรมฮังการี เห็ดนางนวลสีชมพู เห็ดโคนยานางิ รวมถึง เห็ดนางฟ้าภูฏาน เป็นเห็ดเศรษฐกิจที่กำลังมาแรง ยิ่งมีกระแสกินเห็ดเพื่อสุขภาพ ยิ่งทำให้เห็ดกลุ่มนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก เพราะมีคุณสมบัติในเชิงสุขภาพ เช่น ต้านสารพิษ จึงมีผู้เพาะเห็ดจำพวกนี้เป็น ’ช่องทางทำกิน“ ไม่น้อย...

จีระนันท์ พุ่มเรือง หรือ ลูกโป่ง จากฟาร์มเห็ดยายฉิม จ.นครนายก วิทยากรอบรมการเพาะเห็ดในงานตลาดนัดเศรษฐกิจพอเพียงที่พิพิธภัณฑ์การเกษตร เฉลิมพระเกียรติฯ จ.ปทุมธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้ เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีช่องทางทำกินจากการเพาะเห็ดขาย เจ้าตัวเล่าว่า เป็นคนกรุงเทพฯ ครอบครัวเป็นลูกชาวนา มีคุณยายชื่อฉิมและเคยทำเห็ดฟางเตี้ยแบบโบราณและทำอาหารจำพวกเห็ดได้เก่งมาก ซึ่งมาถึงรุ่นหลัง ๆ ในครอบครัวก็เรียนจบปริญญาตรีกัน มีหน้าที่การงานประจำ แต่ที่บ้านไม่ลืมอาชีพเกษตร อยากจะคงไว้ซึ่งอาชีพ เป็นความภาคภูมิใจของอาชีพเกษตรกร

“เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้ ม.เกษตรฯ ชอบไปเดินงานเกษตรแฟร์ทุกปี และชอบกินเห็ดเป็นชีวิตจิตใจทั้งบ้านเลย ทำอาหารเห็ดพื้นบ้านก็เป็นหมด จึงไปอบรมเรื่องการเพาะเห็ดจากผู้รู้ ทำให้ทราบว่าเห็ดที่กินมีมากมายหลายสายพันธุ์ และนำมาทำเป็นเห็ดเศรษฐกิจได้ไม่ใช่แค่เห็ดฟาง จากนั้นก็เริ่มเพาะเห็ดขาย เริ่มจากเห็ดอากาศร้อน อย่างเห็ดขอน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ แล้วจึงเพาะเห็ดอากาศเย็น อย่างเช่น เห็ดนางฟ้าภูฏาน เปาฮื้อ เพิ่มสายพันธุ์จากสายพันธุ์เดิม”

จีระนันท์บอกว่า ใครอยากเพาะเห็ดขาย แนะนำให้ทำเห็ดที่ทำง่ายก่อน เช่น เห็ดนางฟ้าภูฏาน หรือ นางนวล และควรฝึกทำให้ผ่าน 3 ฤดูก่อน จะได้รู้ว่าเห็ดสายพันธุ์นี้เจออากาศแต่ละฤดูแล้วจะเกิดปัญหาอะไร ซึ่งวิธีทำก็เริ่มจากสร้างโรงเรือนกว้าง 4 เมตร ยาว 6 เมตร และขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 12 เมตร ซึ่งฟาร์มเห็ดสามารถจะย่อหรือขยายได้ตามจำนวนเห็ดที่ใส่เข้าไป แต่ความสูงต้องเกิน 4 เมตร เพราะเห็ดอากาศเย็นจะต้องมีหลังคาสูง เพื่อจะช่วยลดความร้อนและระบายความร้อนได้ดี และห้ามโดนแดดโดนลม ส่วนวัสดุที่ทำโรงเรือนก็ทำมาจากไม้ไผ่ มุงด้วยแฝก จาก พื้นปูด้วยดินและทราย ทำหน้าต่างซึ่งคลุมด้วยสแลนสีดำเพื่อควบคุมอุณหภูมิ ติดระบบน้ำสปริงเกิล โดยค่าสร้างโรงเรือนที่บรรจุก้อนเห็ดได้ราว 4,000 ก้อน อยู่ที่ประมาณ 35,000 บาท ส่วนก้อนเชื้อให้ซื้อก้อนเชื้อที่เดินใยเต็มที่แล้ว ราคาก้อนละ 5-10 บาท

“เห็ดต้องการความชื้นรอบนอกกับออกซิเจน และในการงอกของก้อนเชื้อจะให้ผลผลิตประมาณ 4-6 เดือนโดยเฉลี่ยต่อ 1 รุ่น บางสายพันธุ์อาจจะดีกว่า ถ้าดูแลดี ถ้าไม่ติดเชื้อจะอยู่ได้นานเกือบปี”

วิธีเพาะเห็ดในถุง จีระนันท์เล่าว่า มี 3 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนเปิดดอก ยกตัวอย่าง เห็ดนางฟ้าภูฏาน ให้นำก้อนเชื้อที่เส้นใยเห็ดเจริญเต็มถุง คัดเฉพาะที่ไม่มีการปนเปื้อน มาเปิดในโรงเรือน เปิดถุงโดยเอาสำลีออก แล้วนำก้อนไปเรียงซ้อนกัน รดน้ำเช้า-เย็น รักษาความชื้นในโรงเรือน 70-90 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องระวังอย่าให้น้ำเข้าถุง เพราะถุงจะเน่า และเสียเร็ว หลังจากนั้นประมาณ 7 วัน ดอกเห็ดเล็ก ๆ จะเกิดขึ้น จากนั้นจึงเริ่มเก็บผลผลิตได้ ซึ่งจะเก็บประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้น พักก้อน 4-5 วัน คือหยุดให้น้ำ รอให้ดอกเห็ดแทงหน่อใหม่ จากนั้นเริ่มให้น้ำใหม่ และรอเก็บผลผลิตในรอบถัดไป

ต่อมาคือเรื่องการดูแลรักษากล่าวคือ ในฤดูแล้งให้รดน้ำที่พื้นที่วันละ 1-2 ครั้ง แต่สำหรับในฤดูฝน ถ้าฝนตกมากให้งดการให้น้ำ เวลาให้น้ำอย่าให้น้ำถูกดอกเห็ด ภายในโรงเรือนต้องมีอากาศถ่ายเท และมีแสงสว่างส่องเข้าถึง เส้นใยจะพัฒนาเป็นดอกเห็ดขนาดเล็กคล้ายดอกเข็ม หลังจากนั้นไม่เกิน 7 วัน ก็จะเก็บผลผลิตได้

ขั้นตอนสุดท้ายคือการเก็บดอกเห็ด ควรเก็บดอกเห็ดที่มีอายุปานกลางไม่แก่หรืออ่อนเกินไป ควรเก็บก่อนดอกเห็ดจะปล่อยสปอร์ ใช้มือจับดอกเห็ดแล้วดึงเบา ๆ ดอกเห็ดจะหลุดออกมา แล้วใช้มีดตัดส่วนที่สกปรกบริเวณโคนเห็ดออก ไม่ควรวางดอกเห็ดซ้อนกันจำนวนมาก เพราะเนื้อเยื่อเห็ดจะช้ำได้ ควรมีผ้าขาวบางวางรองบนภาชนะที่ใช้เก็บ เช่น ตะกร้า กระจาด จะช่วยลดการเสียดสีลงได้ ภาชนะควรจะโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ การเก็บรักษาในถุงพลาสติกควรเจาะรูไว้ หรือไม่ควรปิดปากถุง เพราะเห็ดยังมีขบวนการหายใจ ทำให้มีไอน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อาจทำให้ดอกเห็ดเน่าเสียเร็ว ควรเก็บไว้ในที่ร่ม หากเก็บในตู้เย็นต้องบรรจุในถุงพลาสติกปิดปากถุงให้แน่น จะเก็บได้นานประมาณ 7 วัน

“หลังจากเก็บดอกเห็ดแล้ว ให้รดน้ำทุกครั้ง ๆ ละ 1-2 นาที เห็ดในรอบต่อไปจะโตขึ้น วันหนึ่ง ๆ จะเก็บเห็ดได้ 3 ครั้ง อุณหภูมิที่ดีที่สุดคือไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส ที่สำคัญในโรงเรือนต้องมีออกซิเจนให้เห็ดหายใจ” จีระนันท์บอก ก้อนเห็ด 4,000 ก้อน จะเก็บเห็ดได้ครั้งละ 100 กก.ขึ้นไป โดยราคา เห็ดนางฟ้าภูฏาน ตอนนี้จะขายได้ กก.ละประมาณ 50-70 บาท ก้อนเชื้อ 1 ก้อนจะเก็บเห็ดได้ 6-8 เดือน ๆ ละ 4 ครั้ง ส่วนเห็ดนางรม เห็ดนางนวล ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 150 บาทขึ้นไป ซึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ เพาะเห็ดขาย ก็นับว่ามีรายได้ที่น่าสน

ใครสนใจเรื่องการเพาะเห็ดอากาศเย็นสายพันธุ์ต่าง ๆ ต้องการติดต่อ จีระนันท์ พุ่มเรือง ฟาร์มเห็ดยายฉิม ติดต่อได้ที่ เลขที่ 545, 577 หมู่ 8 บ้านชะวากยาว ต.บ้านพริก อ.บ้านนา จ.นครนายก โทร. 08-9500-3728, 08-7068-1895.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=516&contentID=147345

Saturday, June 25, 2011

แนะนำอาชีพ "กระเป๋าหนังแฮนด์เมด"

เศษหนังฟอกที่เหลือจากร้านทำเบาะรถยนต์นั้น สามารถนำมาประยุกต์ประดิษฐ์เป็นสินค้าได้หลากหลาย อยู่ที่ไอเดียของแต่ละคน ซึ่งก็เป็นการเพิ่มมูลค่าจากของเหลือใช้ สร้างรายได้ให้กับผู้มีความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี เหมือนอย่างผู้ที่คิดนำเศษหนังเหลือ ๆ มาทำ ’กระเป๋าหนัง“ เป็นงาน ’แฮนด์เมด“ ที่นำเศษหนังมาประยุกต์ มาทำรายได้เสริมเข้ากระเป๋าได้เป็นอย่างดี เป็นอีกอาชีพหนึ่ง เป็นอีกหนึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าสนใจ…


“ศิริลักษณ์ เกตุอินทร์” เจ้าของผลงานการนำเศษหนังมาตัดเย็บเป็นกระเป๋า เล่าว่า เรียนจบมาทางด้านศิลปะ เรียนเกี่ยวกับศิลปะไทยการวาดภาพไทย ๆ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คลอง 6 หลังจากที่จบมาก็ทำงานด้านนี้โดยตรง คือรับวาดภาพจิตรกรรมตามโบสถ์ของวัดต่างจังหวัด

สำหรับงานเย็บกระเป๋าหนังนั้นเป็นงานที่ทำเป็นงานอดิเรก ทำเป็นอาชีพเสริมมาได้ 1-2 ปี เริ่มจากการเห็นเพื่อนนำหนังมาเย็บเป็นกระเป๋าใช้ ก็เกิดความชอบ เพราะชอบงานหนังเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว จึงเกิดความคิดที่จะทำดูบ้าง

“สมัยเรียนก็จะเย็บกระเป๋าผ้าใช้เองอยู่แล้ว จึงพอจะมีพื้นฐานการเย็บอยู่บ้าง คิดว่าน่าจะทำได้ไม่ยาก จึงเริ่มศึกษาและทดลองทำ แรก ๆ ก็ศึกษาจากเพื่อนและนำมาประยุกต์ทำเอง เริ่มจากทำชิ้นงานที่ทำไม่ยากก่อน ก็คือเย็บกระเป๋าสตางค์ เพราะเป็นงานที่ทำไม่ยาก จากนั้นก็เริ่มเย็บเป็นกระเป๋าสะพาย รูปแบบทรงกระเป๋านั้นเราก็ออกแบบเอง หรือดูจากอินเทอร์เน็ต แล้วนำมาประยุกต์ทำเอง ซึ่งหลังจากที่ทำแล้วไปฝากเพื่อนขายก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีพอสมควร จึงยึดทำเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้มาตลอด

หนังที่นำมาใช้ก็จะใช้เป็นเศษหนัง นำมาต่อกันแล้วนำมาตัดเย็บทำกระเป๋า เป็นคอนเซปต์ของเราด้วยที่ใช้เศษหนัง เพราะเป็นการนำเศษวัสดุเหลือใช้มาประยุกต์เป็นชิ้นงาน เป็นการสร้างมูลค่าให้กับวัสดุเหลือใช้” เจ้าของงานกล่าว

สำหรับหนังที่ใช้เย็บนั้น จะใช้หนังฟอกโดยรับซื้อเศษหนังที่เหลือจากร้านทำเบาะรถยนต์ ซึ่งจะเป็นวัสดุที่มีราคาไม่แพง และที่ใช้หนังฟอกนั้นก็เพราะเป็นหนังที่นิ่ม เย็บง่าย

วัสดุอุปกรณ์ในการทำหลัก ๆ ก็มี... เศษหนังฟอก, ตัวตอกนำรู, เชือกเทียน, ตัวเจาะรู, เข็มเย็บ (เข็มไหมพรม), กระดุม (สำหรับทำที่ติด), กระดาษกาวสองหน้าชนิดบาง, ผ้า, ห่วงเหล็ก, กรรไกร, กระดาษ, ดินสอ เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากการออกแบบทรงกระเป๋าที่ต้องการจะทำ แล้วก็ทำแพตเทิร์นขึ้นมาก่อน โดยทำการวาดแบบที่ต้องการลงบนกระดาษ เมื่อวาดแบบเรียบร้อยก็ตัดกระดาษตามแบบที่วาดไว้ ก็จะได้แพตเทิร์นทรงกระเป๋า

จากนั้นก็มาถึงอีกหนึ่งขั้นตอนคือ การทำเศษหนังที่รับซื้อมาจากร้านทำเบาะรถยนต์ให้เป็นหนังผืนใหญ่พอที่จะนำมา ตัดเป็นกระเป๋า ซึ่งจะใช้วิธีการติด-ต่อเศษหนัง ทำการเลือกสีตามที่ต้องการ ซึ่งสีของหนังที่ต่อกันจะต้องดูให้สีกลมกลืนเข้ากันด้วย เมื่อคัดเลือกเศษหนังได้จำนวนหนึ่ง ก็นำมาต่อกัน โดยการนำเศษหนังแต่ละชิ้นมาวางทับซ้อนกันประมาณ 1 เซนติเมตร ยึดติดกันด้วยกาวสองหน้า ทำต่อไปเรื่อย ๆ จนได้หนังแผ่นใหญ่พอที่จะนำมาทำกระเป๋า แล้วก็ใช้เชือกเทียนเย็บตามรอยต่อให้แน่นหนาอีกทีหนึ่ง ก่อนใช้เชือกเทียนเย็บนั้นเราจะต้องใช้ตัวตอกนำรูตอกนำก่อน เวลาเย็บก็จะเย็บง่ายขึ้น

หลังจากที่ทำการต่อหนังและเย็บยึดติดเรียบร้อย ก็นำแพตเทิร์นที่เตรียมไว้มาทาบและวาดแบบลงบนหนัง จากนั้นก็ใช้กรรไกรตัดตามแบบ เวลาตัดแบบให้ตัดเผื่อไว้สำหรับเย็บประมาณ 1 เซนติเมตร ให้ตัดตามแบบจำนวน 2 ชิ้น จากนั้นก็นำแพตเทิร์นวางบนผ้าแล้วตัดตามแบบอีก 2 ชิ้น ไว้สำหรับรองด้านในกระเป๋า เมื่อตัดหนังและผ้าตามแบบที่ต้องการแล้ว ก็ทำการติดผ้าลงบนแผ่นหนังด้านในทั้ง 2 ชิ้น วิธีติดก็คือ นำแผ่นหนังมาติดกระดาษกาวสองหน้าลงตามขอบด้านในของแผ่นหนัง จากนั้นก็นำผ้ามาวางทับติดให้แน่น หลังจากติดผ้ากับหนังแล้วก็มาถึงขั้นตอนการเย็บเป็นกระเป๋า ให้นำแบบหนังทั้ง 2 ชิ้น มาประกบกันโดยให้ด้านหน้าของแผ่นหนังติดกัน จากนั้นก็ใช้ตัวตอกนำรูตอกให้รอบ แล้วทำการเย็บติดกันด้วยเชือกเทียน ด้วยวิธีการเย็บแบบด้นถอยหลัง เย็บจนรอบแล้วก็ทำการกลับด้านในออกมา ก็จะได้เป็นรูปทรงกระเป๋าตามต้องการ
จากนั้นก็ทำฝาปิดกระเป๋า ก็ออกแบบได้ตามต้องการ จะเป็นแบบสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ครึ่งวงกลม ก็แล้วแต่ เมื่อตัดฝากระเป๋าได้แล้วก็เย็บติดไว้ตรงขอบด้านบนที่เป็นด้านหลัง ของกระเป๋า เมื่อเย็บเรียบร้อยก็ทดลองพับปิดลงมา แล้วทำการวัดระยะมาร์กจุดที่จะติดกระดุม จะเป็นแบบกระดุมติดหรือกระดุมแม่เหล็กก็ได้ ทำการเจาะติดกระดุมเรียบร้อย

ขั้นต่อไปเป็นการติดสายสะพาย โดยนำเศษหนังมาตัดเป็นเส้นยาว แต่เนื่องจากเป็นเศษหนังบางครั้งความยาวไม่พอ ก็จะใช้วิธีการนำห่วงมาเป็นตัวต่อเชื่อม ก็คือการนำสายหนังคล้องในห่วงแล้วตอกด้วยตาไก่ยึด แล้วใช้หนังอีกเส้นต่อแบบเดียวกันอีกด้านหนึ่งของห่วง เมื่อได้ความยาวตามที่ต้องการก็ติดตัวสำหรับไว้ร่นสายเข้าไป แล้วก็นำไปเย็บติดกับกระเป๋าให้เรียบร้อย เท่านี้ก็จะได้กระเป๋าสะพายตามที่ต้องการ ซึ่งกระเป๋าหนังของศิริลักษณ์นั้นมีอยู่หลายแบบ ทั้งกระเป๋าสะพาย กระเป๋าสตางค์ ที่ห้อยคอรูปการ์ตูนใส่เศษเหรียญ ราคาขายก็ 39-500 บาท ขึ้นอยู่ที่รูปแบบและไซซ์กระเป๋า


สำหรับผู้ที่สนใจ ’กระเป๋าหนังแฮนด์เมด“ ของศิริลักษณ์ สามารถไปดูชิ้นงานกันได้ที่ตลาดนัดจตุจักร 2 มีนบุรี หรือจะสั่งออร์เดอร์ไปขายต่อเป็นอีกรูปแบบ ’ช่องทางทำกิน“ ก็สอบถามได้ที่ โทร. 08-1070-2767, 08-6873-5628.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=516&contentId=147153

Sunday, June 19, 2011

แนะนำอาชีพ 'ตกแต่งเคสมือถือ'

งานประดิษฐ์สามารถพลิกแพลงสร้างจุดขายไปได้เรื่อย ๆ หากเจ้าของไอเดียสามารถเข้าใจความต้องการของตลาด และประยุกต์งานประดิษฐ์ให้เข้ากระแสความนิยม ก็สามารถสร้างอาชีพสร้างรายได้ได้อย่างดี เหมือนกับการประดิษฐ์งานผนึกวัสดุ (กระดาษ ทิซชู) ลงบน “เคสโทรศัพท์มือถือ” นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่ดีได้ ในยุคนี้...

วิไลพร เอี่ยมวุฒิกร หรือ โอ๋ เจ้าของงานศิลปะแนพกิ้น เดคูเพจ การผนึกกระดาษทิซชูลงบนวัตถุ (napkin decoupage) เล่าถึงที่มาที่ไปของการผนึกวัสดุ (กระดาษทิซชู) ลงบนเคสโทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะเคสไอโฟน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ โดยบอกว่า ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว งานเดคูเพจสามารถทำลงเครื่องจักสานได้ แต่ส่วนตัวมองว่ามันมีอะไรบ้างที่ลงได้อีก และคนใช้เคสโทรศัพท์มือถือทำได้ และมีอย่างอื่นด้วยที่สามารถทำได้ อาทิ กล่องพลาสติก กล่องกระดาษทิซชู เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบงานกล่องมาก ทำได้หมด แต่เคสโทรศัพท์มือถือปัจจุบันเป็นที่นิยม เป็นแฟชั่น คนเปลี่ยนเคสโทรศัพท์เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย พอทำแล้วได้ผลตอบรับดี ก็จึงทำเป็นอาชีพ และเปิดสอนด้วย

อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้เคสโทรศัพท์มือถือสีขาว, กระดาษทรายน้ำ (3 เอ็ม) เบอร์ 400, กาวลาเท็กซ์, พู่กัน, แปรง, กรรไกรเล็ก, ลูกกลิ้ง (หรือขวดแก้วเล็ก ๆ), น้ำยาเคลือบ, ผ้าคอตตอน, กระดาษทิซชู และไดร์เป่าผม (ขนาดเล็ก)

วิธีเลือกเคสโทรศัพท์มือถือ วิไลพรบอกว่า ต้องเลือกกรอบให้เลือกแบบเรียบ เพราะถ้าเป็นแบบมีรูมาก ๆ ทำให้พื้นที่ในการยึดติดระหว่างกระดาษทิซชูกับเคสมีน้อย การใช้ระยะยาวไม่น่าจะดี คือร่อนได้ง่าย ส่วนเคสซิลิโคนเวลาแปะกระดาษทิซชูจะร่อนได้ง่าย เคสพื้นเรียบดีที่สุด มันเงาไม่มาก เพราะมันเงามากต้องขัดเยอะ เคสนี้ก็หาซื้อได้ตามท้องตลาด ที่เป็นเนื้อพลาสติกราคาก็มีตั้งแต่ 30-1,000 บาท เน้นสีขาว เพราะไม่ต้องลงสี

ส่วนกระดาษทิซชูที่ใช้ เป็นกระดาษทิซชูที่นำเข้าจากต่างประเทศ ขนาดมี 4 ไซซ์นิยม คือ 25x25 ซม., 33x33 ซม. และ 40x40 ซม. ราคาแผ่นละ 25 บาท กระดาษทิซชูนี้มี 3 ชั้น แต่ใช้ด้านบนสุดที่มีลายเท่านั้น ส่วนลายยอดนิยมคือ ลายดอกไม้ ลายผลไม้ ลายตุ๊กตา ลายวิว ลายการ์ตูน กระดาษทิซชู 1 แผ่น ทำเคสได้ 4 ชิ้น เพราะกระดาษทิซชู 1 แผ่นมี 4 บล็อก และขนาดที่นิยมคือขนาด 33x33 ซม.

วิธีทำ เริ่มที่ใช้กระดาษทรายเบอร์หยาบ เบอร์ 400 ขัดเคสโทรศัพท์รอบ ๆ ให้เป็นรอย วิธีขัดคือเป็นวงกลม ขัดเพื่อเกิดร่อง เวลาทากาวแล้วกาวจะติดตามร่อง โดยเฉพาะตามมุมต้องขัดให้เยอะ เพราะต้องยึดกาวเยอะ ๆ ขัดเพื่อให้ทากาวติด เพราะโทรศัพท์จะตกบ่อยมาก กระดาษทิซชูจะกะเทาะออกได้ง่าย เพื่อยึดแนพกิ้นให้ติดกับวัสดุ ขัดเสร็จก็ปัดฝุ่นออก จากนั้นทากาวเสร็จแล้วเป่าให้แห้ง แต่ไม่ต้องแห้งสนิท แค่หมาด ๆ เกือบแห้ง คือกะให้เวลาวางกระดาษทิซชูลงบนเคสโทรศัพท์มือถือแล้ว ยังสามารถดึงออกได้โดยที่กระดาษทิซชูไม่ขาด

กะขนาดกระดาษทิซชูใหัใหญ่กว่าเคสโทรศัพท์ห่างจากขอบ 1 นิ้ว เสร็จแล้วลอกกระดาษทิซชู ชั้นที่ 2, 3 ออก ใช้ชั้นบนสุด โดยวางกระดาษทิซชูลงบนเคสโทรศัพท์แล้วใช้มือกด และรีดกระดาษทิซชูให้เรียบ เสร็จแล้วตัดมุมเพื่อเข้ามุมให้เรียบ แล้วใช้มือกด ต่อมาใช้ผ้าคอตตอนที่มีขนาดใหญ่กว่ากระดาษทิซชู นำไปชุบน้ำให้หมาดกึ่งเปียก แล้วดึงให้ตึง แล้วคลุมไปที่เคสโทรศัพท์เพื่อผนึกให้กระดาษทิซชูกับเคสติดแน่น เสร็จแล้วใช้ขวดกลิ้งบนผ้าจากล่างขึ้นบน (อย่ากลิ้งกลับไปกลับมา) แล้วก็กลิ้งขวาง แล้วก็ใช้ไดร์เป่าให้แห้ง ต่อไปนำผ้าคอตตอนคลุมสันของเคสโทรศัพท์ แล้วใช้นิ้วชี้กลิ้งเพื่อผนึกสันของเคสโทรศัพท์ แล้วใช้ไดร์เป่า เสร็จแล้วทำด้านต่อไป

ขั้นตอนถัดมาคือ ตัดกระดาษทรายขนาด 1x1 นิ้ว ใช้กระดาษทรายมาทำการตัดขอบ โดยรูดจากด้านนอกเข้าด้านใน จนกระดาษทิซชูขาดออกจากขอบ จากนั้นใช้น้ำยาเคลือบ 5-6 ชั้น โดยทาแต่ละชั้นเสร็จแล้วต้องเป่าให้แห้ง ขั้นตอนสุดท้ายคือเช็ดทำความสะอาดด้านในที่เปื้อนกาวและน้ำยาเคลือบเป็นอัน เสร็จ ราคาขายต่อชิ้นอยู่ 690-890 บาท ต้นทุนไม่เกิน 500 บาท

สนใจอาชีพ “ตกแต่งเคสมือถือ” ศิลปะการผนึกกระดาษทิซชูลงบนเคสโทรศัพท์มือถือ ก็ลองไปฝึกฝนทำกันดู หรือเข้าไปดูเพิ่มเติมใน www.protonza.com หรือถ้าต้องการติดต่อ โอ๋-วิไลพร ก็ติดต่อได้ โทร.08-5123-4780.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=145971

Saturday, June 18, 2011

แนะนำอาชีพ "แปลงโฉมตุ๊กตา"

ความชอบบวกความช่างสังเกตก็อาจจะเป็นหัวใจสำคัญประการหนึ่งที่ทำเงินได้ สำหรับคนที่รักและชื่นชอบในงานประดิษฐ์ บางรายแม้จะไม่มีพื้นฐานโดยตรง แต่อาศัยความขยันอดทน ค่อย ๆ เรียนรู้ ฝึกฝนจนชำนาญ ก็สามารถที่จะพัฒนากลายเป็นอาชีพสร้างเงินสร้างงานได้ อย่างเช่น ’ช่องทางทำกิน“ อาชีพ ’รับตกแต่งตุ๊กตา“ รายนี้...


“ชาญณรงค์ บุญมาก” มีอาชีพเกี่ยวกับการรับจัดตกแต่งงานแสดงสินค้า ส่วนการรับตกแต่งตุ๊กตาที่ทำอยู่นี้ เริ่มทำมาได้ประมาณปีครึ่ง โดยมาจากความชื่นชอบ จึงทดลองนำมาประดิษฐ์ดัดแปลง โดยอาศัยข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ อาทิ หนังสือต่างประเทศและอินเทอร์เน็ต เมื่อทำเสร็จจึงลองนำไปเสนอขายให้กับร้านจำหน่ายตุ๊กตาย่านสำเพ็ง ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดี จึงมองว่าน่าจะเป็นช่องทางทำเป็นอาชีพเสริม โดยจะเปิดร้านเป็นประจำที่ตลาดรัชดาไนท์ทุกคืนวันเสาร์ และก็ยังมีช่องทางติดต่อผ่านเฟซบุ๊กที่ www.facebook.com/pages/Blythe Ratchada night market อีกช่องทาง

“ทดลองนำมาประดิษฐ์ดัดแปลงด้วยตนเอง อาศัยหาข้อมูลจากหนังสือและอินเทอร์เน็ต เพื่อดูว่ามีเทคนิควิธีการอะไรบ้าง จากนั้นก็ลองทำจนเริ่มชำนาญ พอทำได้หลายแบบจึงนำไปเสนอร้านขายตุ๊กตา ปรากฏว่าลูกค้าชอบ หลังจากนั้นก็ทำต่อเนื่องเรื่อยมาจนกลายเป็นอาชีพไปแล้ว” เจ้าของงานกล่าว

สำหรับบริการที่รับทำ คือ “การทำใบหน้าใหม่” ให้ตุ๊กตา หรือ CUSTOM ซึ่งเป็นการเปลี่ยนรูปแบบปากและการแต่งหน้าเพื่อให้แสดงอารมณ์ที่ชัดเจนมาก ขึ้น โดยมีทั้งทำตามความต้องการของลูกค้า และทำขึ้นเองเพื่อจำหน่ายให้ร้านตุ๊กตาอีกต่อหนึ่ง “การรีเมคอัพหรืองานซ่อม” เป็นบริการซ่อมและแก้ความเสียหายของตุ๊กตา อาทิ เกิดรอยด่าง หรือมีรอยขูดขีดมา โดยจะตกแต่งใบหน้าตุ๊กตาขึ้นใหม่ หรือแก้ไขร่องรอยที่ลูกค้าไม่ต้องการ “การเปลี่ยนเส้นผม” โดยการเย็บแผงเส้นผมติดลงไปแทนเส้นผมเดิมที่ไม่ถูกใจ หรือแก้ไขเส้นผมของตุ๊กตาที่ชำรุดเสียหาย รวมถึงการแก้ทรงผม โดยตุ๊กตาที่รับทำนั้น มีราคาตั้งแต่ตัวละหลายพันบาทจนถึงตุ๊กตาราคาไม่กี่ร้อยบาท ส่วนใหญ่เป็นยี่ห้อยอดนิยมที่รู้จักกันดี

“ลูกค้าจะมีที่เป็นร้านจำหน่ายตุ๊กตาที่สั่งทำเป็นจำนวนมาก กับลูกค้าทั่วไปที่จะมีแบบในใจ โดยราคาค่าบริการขึ้นอยู่กับวัสดุตกแต่ง เกรดตุ๊กตา และความยากง่าย” เจ้าของธุรกิจกล่าว

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้เงินลงทุนประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป หลัก ๆ จะเป็นค่าวัสดุและอุปกรณ์ ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 30% จากราคา ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 400 บาท ไปจนถึง 2,000 บาท ขึ้นกับประเภทของงานที่ต้องทำ

วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้ อาทิ กระดาษทรายเบอร์ 600 และเบอร์ 1,000 สำหรับขัดผิวตุ๊กตา, สเปรย์พ่นเคลียร์ ชนิดพ่นผิวด้านและแบบกันรังสียูวี, สีชอล์ก, สีสำหรับใช้ในงานโมเดลสีต่าง ๆ, ทินเนอร์ชนิดพิเศษ สำหรับใช้ในงานโมเดล, เครื่องรูทเตอร์ หรือเครื่องเจาะ, คีม, กรรไกร, คัตเตอร์, พู่กัน, ปากกาเมจิก และวัสดุตกแต่ง อาทิ ขนตา, ลูกตา, เส้นผม

ขั้นตอนการทำ หลังจากรับแบบความต้องการ เริ่มด้วยการแยกชิ้นส่วนของตุ๊กตาออก ลบสีเมคอัพเดิมของตุ๊กตาออกด้วยทินเนอร์ชนิดพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดรอยคราบขาวบนชิ้นงาน เสร็จแล้วทำการร่างแบบด้วยปากกาเมจิก ใช้คัตเตอร์ปลายแหลมแกะรูปปากตามแบบ จากนั้นใช้เครื่องรูทเตอร์เจาะเก็บรายละเอียด เสร็จแล้วขัดด้วยกระดาษทรายเบอร์ 600 ตามด้วยกระดาษทรายน้ำเบอร์ 1,000 จากนั้นพ่นสเปรย์เคลียร์ด้านชนิดพิเศษเป็นการรองพื้น ลงมือตกแต่งหรือแต่งหน้าตุ๊กตาตามแบบที่ได้กำหนดไว้ เสร็จแล้วพ่นสเปรย์แบบด้านชนิดป้องกันรังสียูวีทับอีก 2-3 ครั้ง เพื่อความทนทานและป้องกันไม่ให้ผิวตุ๊กตามีสีเหลืองจากการทิ้งไว้นาน เติมสีปากให้มันวาวดูสมจริง

ส่วนการเปลี่ยนเส้นผมนั้น จะมีทั้งลูกค้านำเส้นผมหรือวิกมาเอง หรืออาจจะให้ทางร้านจัดหาให้ โดยขั้นตอนเริ่มจากการโกนผมเก่าของตุ๊กตาทิ้ง จากนั้นเลาะเส้นผมออกจากวิกเก่าให้เป็นแผง ค่อย ๆ ติดกาวลงไป และเย็บติดให้แน่น โดยใช้สว่านเจาะหู เพนท์สีที่เปลือกตา และเปลี่ยนขนตาแบบหนาแทนของเก่า โดยลูกค้าบางรายอาจมีอะไหล่ที่ต้องการเตรียมมาจากบ้านเพื่อให้ที่ร้าน เปลี่ยนให้ หรืออาจจะสั่งทำใหม่ หรือทำสีทับดวงตาเดิม เสร็จแล้วจึงประกอบกลับคืน

ขั้นตอนในการ ’ตกแต่งตุ๊กตา“ 1 ตัว อาจจะดูไม่มาก แต่มีรายละเอียดปลีกย่อย และต้องอาศัยความชำนาญ ความใจเย็นพอสมควร ระยะเวลาอยู่ที่ 1 วันต่อตุ๊กตา 1 ตัว หรืออาจจะนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับรายละเอียด ความยากง่าย

“กระแสขณะ นี้ถือว่าตลาดยังไปได้ เพราะปัจจุบันมีตุ๊กตาหลายแบบ หลายยี่ห้อ และหลายระดับราคา ที่สำคัญส่วนใหญ่ทำตามโจทย์ที่ลูกค้าต้องการ โอกาสที่ตลาดตันจึงมีน้อย” เจ้าของ “ช่องทางทำกิน” รายนี้ระบุ ซึ่งหากใครสนใจติดต่อ ก็ โทร. 08-9118-1519 หรืออีเมล me2por@yahoo.co.th ใครสนใจรายละเอียดมากกว่านี้ก็ลองสอบถามกันโดยตรง.


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=497&contentId=145763

Saturday, June 11, 2011

แนะนำอาชีพ“ข้าวมันไก่ 5 ดาว”

’ข้าวมันไก่“ เป็นอีกหนึ่งจานด่วนยอดฮิต สามารถทำขายเป็นอาชีพสร้างรายได้ ซึ่งด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ส่งผลให้คนหันมาทำธุรกิจขนาดเล็กที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก กระบวนการจัดการไม่ยุ่งยาก แต่สามารถสร้างรายได้มั่นคง โดยสำหรับธุรกิจ “ข้าวมันไก่” นั้น ธุรกิจ 5 ดาว หนึ่งใน แฟรนไชส์ ที่ประสบความสำเร็จ สร้างงานสร้างอาชีพ สร้างเจ้าของธุรกิจ ที่เรียกกันติดปากว่า “เถ้าแก่เล็ก” มานานกว่า 30 ปี ก็อาจจะเป็น ’ช่องทางทำกิน“ ที่ดี ของคนอยากทำธุรกิจ…

ธุรกิจ 5 ดาว ดำเนินการภายใต้ บริษัท ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด โดยสนับสนุนการเป็นเจ้าของธุรกิจภายใต้คอนเซปต์ สร้างงานสร้างอาชีพให้เถ้าแก่เล็กทั้ง 100% มานานต่อเนื่อง ปัจจุบันมีจำนวนจุดขายทั้งหมดประมาณ 4,100 จุดขาย ประกอบด้วย 5 ไลน์ธุรกิจ คือ ไก่ย่าง ไก่ทอด ข้าวมันไก่ บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง และห้าดาวเรดดี้มีล

อนงค์ เพชรสูงเนิน วัย 44 ปี เป็นเถ้าแก่เล็ก “ข้าวมันไก่ 5 ดาว“ อยู่ที่สุขุมวิท 101 เจ้าตัวเล่าว่า เป็นคนบุรีรัมย์ เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ เช่นคนต่างจังหวัดทั่วไป โดยเป็นพนักงานโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้ากว่า 10 ปี ก็ไม่มีเงินเหลือเก็บ จึงพยายามหารายได้เสริมด้วยการรับเสื้อผ้ามาเย็บนอกเวลา แต่ก็ได้เงินบ้างโดนโกงบ้าง ต่อมาน้องสาวแฟนชักชวนร่วมทำธุรกิจข้าวมันไก่ 5 ดาว เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี จึงตัดสินใจร่วมธุรกิจ

ก่อนร่วมทุนก็ศึกษาและสอบถามเรื่องผลิตภัณฑ์ของ 5 ดาวพอสมควร จากการสังเกตพบว่า ไม่ว่าจะเป็นไก่ย่าง ไก่ทอด ไก่จ๊อ หรือข้าวมันไก่ ล้วนได้รับความนิยม อีกอย่างก็เป็นธุรกิจที่มุ่งเน้นสร้างอาชีพให้กับกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็ม อี หรือรายย่อยเป็นหลัก ด้วยเงินลงทุนที่ไม่สูง ที่สำคัญคือราคาเมนูอาหารเป็นธรรมกับผู้บริโภค จึงตัดสินใจทำธุรกิจนี้

อนงค์เลือกทำไลน์ “ข้าวมันไก่” โดยบอกว่า เป็นเมนูอาหารที่คนไทยคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ใช้งบลงทุนเพียง 25,000 บาท ก็เปิดร้านขายได้ โดยทางบริษัทฯจะอบรมวิธีการขายให้ รวมถึงการจัดส่งสินค้าและติดตั้งอุปกรณ์การขายให้เสร็จสรรพ พร้อมทั้งดูแลด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้แก่เถ้าแก่เล็กตลอดอายุสัญญา

เมนู “ข้าวมันไก่ 5 ดาว” มีทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่ ข้าวมันไก่ต้ม ราคาจานละ 27 บาท ข้าวมันไก่สไปซี่ จานละ 30 บาท ข้าวมันไก่ย่าง จานละ 35 บาท ข้าวมันไก่โกลเด้นชิค จานละ 30 บาท ข้าวมันไก่สองสี (ไก่ต้มผสมไก่ทอด) จานละ 35 บาท มีกำไรเฉลี่ยต่อจาน 7-10 บาท ซึ่งแต่ละรายการก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี

“วันแรก (19 ส.ค. 2553) ที่เปิดร้าน ผลตอบรับจากลูกค้าดีมาก วันนั้นขายได้ประมาณ 200 จาน รู้สึกมีกำลังใจและดีใจมาก ขายไปประมาณ 1 เดือนก็คืนทุน ลูกค้าที่เข้ามาทานส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานออฟฟิศและนักเรียน ลูกค้าก็จะชมข้าวมันที่นุ่มกำลังดี ซึ่งใช้ข้าวหอมมะลิ และชมรสชาติน้ำจิ้มที่อร่อยกลมกล่อม” เถ้าแก่เล็กอนงค์เล่า

พร้อมทั้งบอกต่อว่า วันนี้หากยังเป็นลูกจ้างหรือพนักงานบริษัท ด้วยอายุประมาณนี้แล้วคงลำบาก การร่วมธุรกิจนี้จึงนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เนื่องจากทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีอาชีพที่เป็นธุรกิจของตนเอง มีรายได้ที่มั่นคงแน่นอน สามารถสร้างบ้าน และเลี้ยงดูครอบครัวให้อยู่ดีมีสุขได้

เมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ อนงค์บอกว่า ธุรกิจนี้จริง ๆ คือตัวเราเป็นเจ้าของ เป็นเถ้าแก่เอง บริษัทจะคอยสนับสนุน จึงต้องมีความขยันอดทนเป็นองค์ประกอบ นอกเหนือจากคำแนะนำ สูตร รสชาติข้าวมันไก่ที่ได้มาตรฐาน และกระบวนการจัดการ ณ จุดขาย ที่เน้นอำนวยความสะดวกรวดเร็วแก่ผู้ประกอบการ จาก 5 ดาว สิ่งสำคัญที่จะส่งผลต่อความสำเร็จสำหรับเถ้าแก่เล็ก อนงค์บอกว่า ประกอบด้วย 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ประกอบการรายย่อยที่ร่วมธุรกิจ ซึ่งจะต้องมีความขยัน อดทน และซื่อสัตย์จริงใจต่อลูกค้าของตนเอง และอีกฝ่ายคือเจ้าของธุรกิจ 5 ดาว ที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพ สินค้ามีคุณภาพมาตรฐานคงที่ มีระบบบริหารจัดการที่ดี และที่สำคัญอย่างยิ่งคือมีความจริงใจ ใส่ใจดูแลความเป็นไปของผู้ร่วมธุรกิจ ให้อยู่ได้ยั่งยืนไปด้วยกัน

ทั้งนี้ อนงค์ยังบอกอีกว่า ในอนาคตได้วางเป้าหมายว่าจะพยายามขยายธุรกิจ เพิ่มไลน์ธุรกิจ อย่างเช่น ไก่ย่าง ไก่ทอด บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง หรือห้าดาวเรดดี้มีล ไว้ในร้านเดียวกัน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค และต่อยอดความสำเร็จในธุรกิจ

ผู้ที่สนใจอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ต้องการร่วมทำธุรกิจ ’ข้าวมันไก่ 5 ดาว“ สามารถติดต่อสอบถามได้ ดังนี้...กรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคกลาง ภาคตะวันออก ติดต่อที่ โทร. 0-2746-9678-80 หรือ 08-1702-8119, 08-0448-6678, 08-3277-9527, 08-1339-1041, 08-3543-5609, ภาคเหนือ ติดต่อที่ โทร. 08-6587-4900, 08-1235-0012, ภาคอีสาน ติดต่อที่ โทร. 08-6641-1186, 08-5874-4415 ส่วนภาคใต้ ติดต่อที่ โทร. 08-4265-8175, 08-5891-4948.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=144529

Friday, June 10, 2011

แนะนำอาชีพ "นํ้าผุด-นํ้าล้น"

งานแฮนด์เมด งานประติมากรรม ในรูปแบบ น้ำผุด-น้ำล้น น้ำตกหินจำลอง เป็นงานที่นำความสวยงามของงานดีไซน์ผนวกเข้ากับหลัก ’ฮวงจุ้ย“ ผสมผสานเข้ากันได้อย่างลงตัว เป็นไอเดียที่ทั้งสวยงามและสร้างความมั่นใจด้านสิริมงคล จนกลายเป็นอีกหนึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ ที่สามารถสร้างจุดเด่นเน้นจุดขายให้กับสินค้าได้เป็นอย่างดี...


กุ้ง-ดรุณี กลั่นกลิ่นหอม เป็นเจ้าของร้าน “น้ำผุด-ดีมีทวี” ที่มีไอเดียสร้างสรรค์งานประติมากรรม ’น้ำผุด-น้ำล้น เสริมสิริมงคล“ ออกมาจำหน่าย เจ้าตัวเล่าว่า เรียนจบศิลปะด้านประติมากรรมมาโดยตรง ซึ่งหลังจากเรียนจบก็อยากที่จะนำวิชาความรู้ด้านศิลปะที่เรียน มาสร้างสรรค์ผลงานให้ทุกคนได้เสพงานศิลปะกัน

สำหรับการที่มาทำงานประติมากรรม น้ำผุด-น้ำล้น จำลอง ก็เพราะเห็นว่าเป็นงานที่ใช้ศิลปะทางด้านประติมากรรม รวมกับไอเดีย อีกอย่าง น้ำผุด-น้ำล้น นั้นก็เป็นศาสตร์ฮวงจุ้ยที่หลายคนมีความเชื่อ ว่าถ้านำมาตกแต่งบ้านหรือที่ทำงานจะเป็นสิริมงคล จึงทำให้งานตัวนี้เป็นงานที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้ที่ชอบตกแต่งบ้านใน ปัจจุบัน

ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มตกแต่งบ้านสวยงาม กับตกแต่งแบบเสริมฮวงจุ้ย

“เราเห็นว่างานที่มีการทำขายอยู่ในตลาดทั่วไปนั้นมีแต่ขนาดที่ใหญ่ เราเห็นว่าขนาดใหญ่นั้นมีราคาที่สูงและการขนส่งก็ค่อนข้างลำบาก เราจึงเกิดไอเดียสร้างสรรค์ทำให้ขนาดเล็กลง เป็นการขยายกลุ่มลูกค้าทำให้ตลาดกว้างขึ้น ซึ่งงานของเราก็จะเน้นให้งานประติมากรรมออกมามีดีไซน์ที่สวยงามหลากหลายมาก ขึ้น โดยเราออกแบบทำเองทั้งหมด”

การทำ น้ำผุด-น้ำล้น จำลองนี้ คนที่จะทำควรจะต้องมีความรู้ในเรื่องของการตกแต่งอยู่บ้าง เพื่อไว้แนะนำลูกค้าได้ว่าควรจะใช้สีไหน แบบไหน จึงจะเหมาะกับสถานที่ที่ลูกค้าจะนำไปจัดวาง...

กุ้งกล่าวต่อว่า จุดเด่นของงานที่ทำออกมานอกจากจะเน้นดีไซน์ที่สวยงามผสมผสานศาสตร์ฮวงจุ้ย แล้ว ชิ้นงานยังมีการนำวัตถุดิบต่าง ๆ ที่สามารถหาได้ง่าย ๆ มาประยุกต์ดัดแปลง มาตกแต่งเพิ่ม ให้เกิดความสวยงาม อย่างพวก หินน้ำตก หินสี ถ้วยเซรามิก เป็นต้น ส่วนงานที่เป็นชิ้นงานประติมากรรมทรงต่าง ๆ นั้น ก็จะปั้นขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง

ชิ้นงานที่ปั้นขึ้นแบบเองนั้น จะเป็นการลดต้นทุนไปได้ เพราะถ้าไปจ้างขึ้นแบบก็จะต้องเสียค่าแบบอีกประมาณ 3,000 บาทเลยทีเดียว

วัสดุอุปกรณ์ในการทำแบบ ก็จะใช้... ปูนซีเมนต์, ทราย, สีฝุ่น, ซิลิโคน และวัสดุที่ใช้ขึ้นแบบก็จะใช้ แวกซ์, ดินน้ำมัน, ดินเหนียว แล้วแต่ความถนัด ส่วนที่ใช้ประกอบทำเป็น น้ำผุด-น้ำล้น นั้น ก็มี ปั๊มน้ำ ขนาด 7.5 โวลต์ (เป็นปั๊มที่ใช้กับตู้ปลาทั่วไป) ที่เหลือก็เป็นของตกแต่ง พวกหินน้ำตก แผ่นหินทรงต่าง ๆ เป็นต้น

วิธีการทำแบบ...เริ่มจากการขึ้นแบบทำแม่พิมพ์ตามแบบที่ต้องการด้วยแวกซ์ หรือวัสดุอื่น ๆ ตามถนัด จากนั้นก็ใช้เทคนิคการปั้นให้ได้รูปแบบตามที่ต้องการ เมื่อทำการปั้นแบบตามที่ต้องการเสร็จ ก็ใช้ดินน้ำมันทำเป็นเส้นแบ่งครึ่งแบบให้เรียบร้อย แล้วก็ใช้วาสลีนทาไปที่แบบครึ่งหนึ่งก่อน จากนั้นก็ใช้ซิลิโคนเททับลงไปให้ได้ความหนาพอประมาณ พอซิลิโคนแห้งก็ใช้ปูนปลาสเตอร์หล่อทับ พอปูนแห้งก็มาทำแบบเดิมอีกข้างที่เหลือของแบบ พอทั้งสองข้างแห้งสนิทก็แกะแยกออก ก็จะได้แม่พิมพ์สำหรับหล่อแบบที่เราต้องการ ที่เป็นแบบ 2 ชิ้นประกบกัน

ที่ใช้ซิลิโคนทำแม่พิมพ์แทนยางพารานั้น ก็เพราะว่าซิลิโคนนั้นจะทำให้เนื้องานออกมาดีกว่า แม่พิมพ์ไม่บิดเบี้ยว ที่สำคัญมีความคงทนอยู่ได้นานกว่าการใช้ยางพาราทำ

หลังจากที่ได้แม่พิมพ์ ก็ทำการหล่อแบบที่ต้องการโดยใช้ปูนซีเมนต์กับทรายผสมกัน ในอัตราส่วนประมาณ 60 : 40 ถ้าต้องการให้แบบมีสีสันตามที่ต้องการ ก็ให้ใส่สีฝุ่นลงไปในเนื้อปูนที่ผสม หลังจากที่ทำการผสมปูนเรียบร้อยแล้วก็นำไปเทใส่ในแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ พักทิ้งไว้จนปูนแห้งสนิท จึงทำการแกะออกจากแม่พิมพ์ ก็จะได้ชิ้นงานที่เป็น 2 ส่วน จากนั้นก็นำมาประกอบกัน เชื่อมติดด้วยปูนให้สนิท ตกแต่งให้เรียบร้อย เท่านี้ก็ได้แบบตามที่ต้องการ

การใช้สีฝุ่นผสมเข้าไปในเนื้อปูนเลยนั้น สีของงานจะไม่ลอกเมื่อได้แบบเรียบร้อย ต่อไปก็เป็นการประกอบเข้าชุดให้สวยงาม โดยการประกอบเข้าชุดนั้นก็ขึ้นอยู่กับไอเดียการจัดวางตกแต่งตามต้องการ การประกอบนั้นเริ่มจากการเลือกอ่างเซรามิกที่สวยงาม เลือกให้สีเข้ากับงานประติมากรรมที่ทำ นำปั๊มน้ำวางตรงกลางอ่างหรือตำแหน่งที่จะจัดวางงานประติมากรรม นำที่ครอบมาครอบปั๊ม นำแผ่นหินมาวางทับ ตรวจดูให้ท่อจากปั๊มใส่ผ่านรูหินที่เจาะไว้แล้ว นำประติมากรรมแบบที่ทำมาวางบนแผ่นหินตามจินตนาการ ทำการตกแต่งด้วยหินกรวดตามความคิดสร้างสรรค์ เท่านี้ก็เรียบร้อย

“การลงทุนทำงาน น้ำผุด-น้ำล้น-น้ำตก จำลอง ในลักษณะนี้ ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 50,000 บาท ซึ่งชิ้นงานที่ทำออกมานั้นจะมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 50% ของราคาขาย” กุ้งกล่าว
น้ำผุด-น้ำล้น-น้ำตก ของกุ้งนั้นมีอยู่หลากหลายรูปแบบ ส่วนขนาดนั้นก็จะมีไซซ์ S-M-L โดยไซซ์ S-M มีขนาดประมาณ 8x8x10 นิ้ว ส่วน ไซซ์ L มีขนาดประมาณ 12x12x12 นิ้ว ราคาขายมีตั้งแต่ 790-890-1,290 บาท และที่เป็นไซซ์ใหญ่กว่าทั้ง 3 ไซซ์ที่ว่ามาก็มี ซึ่งราคาก็แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาด รูปแบบรายละเอียดของงานแต่ละชิ้น...


สำหรับผู้ที่สนใจ น้ำผุด-น้ำล้น-น้ำตก สำหรับตกแต่งเสริมสิริมงคล ร้านของกุ้ง-ดรุณีนั้นอยู่ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โครงการ 7 ซอย 8 เปิดขายทุกเสาร์-อาทิตย์ เบอร์โทรศัพท์คือ 08-6781-2499 และมีการนำแบบสินค้าใส่ไว้ในเว็บไซต์ให้ลูกค้าได้เลือกพิจารณาด้วย ที่ www.fountainfengshui.com ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=497&contentId=144329

Sunday, June 5, 2011

แนะนำอาชีพ 'น้ำชุบแห้ง-สะตอเผา'

‘อาหารปักษ์ใต้” ปัจจุบันก็แพร่หลายเหมือนอาหารอีสาน เป็นอีกกลุ่มอาหารยอดนิยม ซึ่งนอกจากความอร่อยแล้ว อาหารปักษ์ใต้ก็ยังมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นแตกต่างจากอาหารภาคอื่น ด้วยรสชาติจัดจ้าน เผ็ดร้อน ถูกปากคนไทย ซึ่ง วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีสูตรอาหารปักษ์ใต้ การขายอาหารปักษ์ใต้ มานำเสนอให้ได้ลองพิจารณากัน...

ศุภมน วงศ์ศิริ หรือ ขนุน เจ้าของร้านอาหารทะเล-อาหารปักษ์ใต้ “ครัวทะเล” เล่าให้ฟังว่า เดิมทีตั้งร้านอยู่แถวถนนประชาชื่น แต่เพราะพิษวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ต้องปิดกิจการไป ซึ่งครอบครัวก็ลำบากกัน แต่ก็ช่วยกันคิดและช่วยกันทำมาหากิน โดยคุณแม่เอาเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือมาลงทุนทำไก่กะทิทรงเครื่องปักษ์ใต้ขาย โดยให้ลูก ๆ แยกย้ายนำไปขายตลาดต่าง ๆ หลังเลิกเรียนทุกวัน ซึ่งผลตอบรับดีมาก จนได้รางวัลโอทอป 4 ดาว และรางวัลการันตีความอร่อยอีกมากมาย

จุดนี้ก็สะท้อนว่าอาหารปักษ์ใต้เป็นช่องทางทำกินที่ไม่ควรมองข้าม

“เพราะความคุ้นเคยกับการทำอาหารและการขายของมาตั้งแต่เด็ก และเพื่อทำตามความฝันของพ่อที่อยากจะเปิดร้านอาหารเหมือนในอดีต ขนุนกับแฟนก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองด้วย พอดีเพื่อนพ่อมีที่ว่างอยู่ จึงให้เช่าในราคาที่ถูก สำหรับเปิดร้านอาหารใหม่ พอเปิดแล้วก็มีลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรให้การตอบรับดี โดยอาหารทะเลทางร้านจะสั่งของทะเลจากมหาชัยทุกวันเพื่อให้ได้ความสด และอาหารปักษ์ใต้ พวกเครื่องปรุงและวัตถุดิบ ส่วนใหญ่ก็จะสั่งตรงจากทางใต้ เช่น กะปิ เครื่องแกง เพื่อให้ได้รสชาติของใต้แท้ ๆ มากที่สุด” ขนุนบอก

อาหารปักษ์ใต้ของร้านนี้ ที่เด่น ๆ ก็มีมาก ที่ลูกค้าสั่งประจำก็เช่น สะตอผัดกุ้ง, ใบเหลียงผัดไข่, ไก่กะทิทรงเครื่องปักษ์ใต้, แกงเหลือง (แกงส้ม) ยอดมะพร้าวอ่อน หรืออ้อดิบ หรือหน่อไม้ดอง กับปลาเก๋า หรือปลากระบอก หรือกุ้ง หรือปู, คั่วกลิ้งหมู-เนื้อ, ปลากระบอกทอดขมิ้น , แกงไตปลา, ต้มส้มปลากระบอก, ปลากะพงโบราณ, แกงคั่วหอยแครง ฯลฯ

ทั้งนี้ การเปิดร้านอาหาร อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการทำ-การขายอาหาร ก็ต้องเตรียมให้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ครกหิน, จาน, เขียง, มีด, ช้อน, ส้อม, ทัพพี, หม้อหลาย ๆ ขนาด, กะละมัง, กระทะ, เตาแก๊ส-เตาถ่าน, ตะแกรง, หม้อต้มน้ำซุป, ถาด ฯลฯ ซึ่งจะใช้อุปกรณ์อะไรมากน้อยแค่ไหน ขนาดอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับขนาดร้าน-รูปแบบการขาย

ต่อไปมาดูตัวอย่างสูตรอาหารปักษ์ใต้ ซึ่งนอกจากที่ว่ามาข้างต้นแล้ว ขนุนบอกว่า “น้ำชุบแห้ง-สะตอเผา” ซึ่งเป็นน้ำพริกรูปแบบหนึ่ง เป็นหนึ่งในเมนูอาหารปักษ์ใต้ยอดนิยมที่อยู่คู่ครัวมานาน นี่ก็ได้รับความนิยมจากลูกค้ามาก

วัตถุดิบในการทำ หลัก ๆ ก็มี... ปลาทูสด, พริกขี้หนูสวน, กะปิกุ้งอย่างดี, น้ำตาลปี๊บ, หอมแดง, สะตอ

ขั้นตอนการทำก็ไม่ยุ่งยากมาก เริ่มจากนำปลาทูสดมาควักไส้ ล้างให้สะอาด แล้วนำไปย่างบนเตาไฟให้สุก จากนั้นแกะเอาแต่เนื้อ พักไว้ ขั้นต่อไปนำกะปิกุ้งมาห่อใบตอง แล้วนำไปย่างไฟให้มีกลิ่นหอม พักไว้

นำพริกขี้หนู หอมแดง ใส่ครกโขลกพอบุบ จากนั้นก็ใส่น้ำตาลปี๊บ กะปิกุ้งย่าง เนื้อปลาทูย่าง ลงไปโขลกรวมกัน โขลกให้ส่วนผสมต่าง ๆ เข้ากันดี ก็เป็นอันใช้ได้ พร้อมรับประทาน พร้อมเสิร์ฟ โดยมีสะตอสดย่างไฟให้พอสุกหอม เสิร์ฟคู่ไปด้วย

นอกจาก “น้ำชุบแห้ง-สะตอเผา” แล้ว ขนุนยังให้สูตรการทำ “กุ้งทอดราดซอสมะขาม” ด้วย โดยวัตถุดิบก็มี... กุ้งแม่น้ำ, น้ำตาลปี๊บ, มะขามเปียก, น้ำมันหอย, ซีอิ๊วขาว, หอมเจียว, ผักชี, พริกชี้ฟ้า, แป้งมัน, เส้นหมี่ขาวแช่น้ำ และน้ำมันพืช

วิธีทำ นำกุ้งมาล้าง แล้วปอกเปลือก ผ่าหลังดึงไส้ออก แล้วนำไปคลุกกับแป้งมันบาง ๆ นำไปทอดให้สุก พักให้สะเด็ดน้ำมัน นำเส้นหมี่ลงทอดจนฟู พักไว้

การทำน้ำซอสมะขาม ติดไฟ ตั้งกระทะ ใส่น้ำซุป พอน้ำซุปเดือดใส่น้ำตาลปี๊บลงไปเคี่ยว ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว เคี่ยวให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี ชิมให้ได้รสชาติเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เค็มนิด ๆ (เหมือนกับน้ำไข่ลูกเขย) ก็เป็นอันใช้ได้ เมื่อจะเสิร์ฟก็จัดกุ้งที่ทอดลงในจาน นำเส้นหมี่ทอดวางข้างตัวกุ้ง ราดด้วยน้ำซอสมะขามที่ตัวกุ้งให้พอขลุกขลิก โรยหน้าด้วยหอมเจียว เด็ดผักชีและพริกชี้ฟ้าแดงแต่งหน้าให้สวยงาม

ราคาอาหารที่ร้านของขนุนนั้น มีตั้งแต่จานละ 60 บาทขึ้นไป ซึ่งสำหรับ “น้ำชุบแห้ง-สะตอเผา” นั้น ก็ราคาชุดละ 60 บาท

ร้านครัวทะเลตั้งอยู่ที่ถนนร่มเกล้า ระหว่างซอย 3–4 เยื้องมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เลยไปประมาณป้ายรถเมล์ สังเกตตึกสีฟ้า ร้านเปิดบริการช่วงเวลา 16.00-23.00 น. ทุกวัน เบอร์ติดต่อ ขนุน คือ โทร.08-1407-2289, 08-6307-7170 ซึ่งร้านนี้นอกจากขายอาหารที่ร้านแล้ว ยังมีรายได้จากการรับจัดงานเลี้ยงทั้งในและนอกสถานที่ด้วย.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=143092

Friday, June 3, 2011

แนะนำอาชีพ "ดอกไม้จันทน์"

อาชีพทำ ’ดอกไม้จันทน์“ ขายนั้น ทำขายได้ทั้งตลาดระดับล่าง ที่มีราคาต่อดอกเพียงไม่กี่บาท ขึ้นไปจนถึงตลาดระดับบน ที่มีราคาขึ้นหลักร้อยบาทต่อดอก ทั้งนี้ สนนราคาก็ขึ้นอยู่กับวัสดุ ขนาด และรายละเอียด ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายด้วย วันนี้ลองมาดูกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ ด้วยดอกไม้จันทน์ กันอีกสักราย...


“นวลสิริ ศรีสุขปลั่ง” เล่าว่า เริ่มผลิตดอกไม้จันทน์จำหน่ายมาได้ประมาณ 6-7 ปีแล้ว โดยจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เปิดให้ลงประกาศโฆษณาสินค้าฟรี และอาศัยการบอกต่อแบบปากต่อปากของลูกค้าด้วย โดยชิ้นงานส่วนใหญ่จะเน้นที่ “ความละเอียด” และ “การเลือกใช้วัสดุ” ที่มีราคาแพง เพื่อนำมาผลิตดอกไม้จันทน์

กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ มีทั้งลูกค้ารายบุคคล และบริษัทองค์กรต่าง ๆ โดยปัจจุบันมีรูปแบบที่ผลิตอยู่ 10 กว่าแบบ ทั้งชนิด “ดอกเดี่ยว” และเป็น “ช่อใหญ่” โดยราคาขึ้นอยู่กับความยากง่ายและขนาดชิ้นงาน ซึ่งแบบที่เป็นที่นิยมนั้น นวลสิริกล่าวว่า หากเป็นดอกเดี่ยว ที่นิยมก็จะมี ดอกบัว, กุหลาบ, ลิลลี่, กล้วยไม้ แต่ถ้าเป็นแบบช่อใหญ่ก็จะคละเคล้ากันไป

สาเหตุที่หันมาผลิตดอกไม้จันทน์จำหน่ายนั้น นวลสิริบอกว่า เกิดจากความที่ตนเองมีความรู้ทางด้านศิลปะ จึงถูกคนรู้จักขอให้ช่วยประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ที่มีรูปแบบเฉพาะ แตกต่างจากดอกไม้จันทน์ที่มีจำหน่ายในตลาดทั่วไป ซึ่งเมื่อผลิตออกมาก็ปรากฏว่ามีกระแสการตอบรับดี ประกอบกับไม่ได้ทำงานประจำอะไร จึงคิดว่าน่าจะเป็นช่องทาง น่าจะสามารถทำเป็นอาชีพได้ หลังจากนั้นจึงผลิตดอกไม้จันทน์จำหน่ายเรื่อยมา ซึ่งนอกจากจะผลิตดอกไม้จันทน์สำเร็จรูปแล้ว ก็ยังมีลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาเพื่อสั่งให้ทำเป็นแบบพิเศษ โดยจะกำหนดความต้องการมาให้ว่าอยากได้แบบไหน ส่วนใหญ่ลูกค้าจะนำไปใช้ในงานศพของบุคคลสำคัญ โดยสั่งผลิตทั้งชนิดดอกเดี่ยว และที่เป็นช่อใหญ่

“ด้วยความที่เรียนศิลปะมา ก็มองว่าดอกไม้จันทน์ในตลาดที่ใช้กันอยู่ค่อนข้างจะมีรูปแบบคล้าย ๆ กัน ทีนี้ถ้าเราลองทำดอกไม้จันทน์ที่มีรายละเอียดมากขึ้น ออกแบบให้ดูดีขึ้น ก็น่าจะสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า จึงทดลองทำ โดยอาศัยฝึกหัดจากหนังสือ จนออกมาเป็นผลงานอย่างที่เห็น” นวลสิริกล่าว

จุดเด่นของดอกไม้จันทน์ที่ผลิต นวล สิริบอกว่า นอกจากรูปแบบที่มีการใส่รายละเอียดมากขึ้นแล้ว ในเรื่องของวัสดุที่ใช้ก็เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้สินค้าเป็นที่ตอบรับจาก ลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับบน เพราะใช้วัสดุที่แตกต่างจากดอกไม้จันทน์ในตลาดทั่วไป จากปกติที่มักจะใช้เยื่อกระดาษมาทำ ก็เปลี่ยนมาใช้กระดาษ 80 แกรมแทน ส่งผลให้ดอกไม้จันทน์มีสีสันสวยมากขึ้นและคงทนมากขึ้น ขณะที่ด้านในดอกไม้จันทน์ก็จะทำการซ่อนธูปและเทียนไว้ด้วย

“เราคิดว่าในเมื่อเป็นการระลึกถึงผู้จากไป ก็อยากจะมอบความสวยงามเป็นครั้งสุดท้ายให้กับผู้จากไป”

ทุนเบื้องต้นอาชีพ ใช้ประมาณ 20,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าเครื่องมือและอุปกรณ์ อาทิ เครื่องตัดกระดาษ (ในกรณีที่ต้องผลิตจำนวนมาก) ส่วนทุนวัสดุ อยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย ที่เริ่มตั้งแต่ 8 บาท ขึ้นไปจนถึง 200 บาท ขึ้นกับขนาด วัสดุ และรายละเอียดของชิ้นงาน

อุปกรณ์และวัสดุที่ต้องใช้ ก็ประกอบด้วย เครื่องตัดกระดาษ, คัตเตอร์, กรรไกร, ไม้ บรรทัด, กาวลาเท็กซ์, ด้าย, กระดาษย้อมสี 80 แกรม (หรือกระดาษเอ 4), ฟลอร่าเทป ที่ใช้ในงานดอกไม้ประดิษฐ์, โบ-ริบบิ้น, ลวด, ก้านใบมะม่วง หรือลวดอ่อน ที่ใช้ในการทำดอกไม้ประดิษฐ์ และกระดาษสา

ขั้นตอนการทำ ยกตัวอย่างการทำเป็นดอกบัว เริ่มจากนำกระดาษเอ 4 ย้อมสี มาทำการตัดขึ้นรูปเพื่อนำไปใช้สำหรับส่วน
ประกอบที่เป็นใบ โดยอาจจะตัดเตรียมไว้ก่อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งปกติดอกบัวเดี่ยว 1 ดอกจะใช้กลีบดอกประมาณ 25 กลีบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและความต้องการ เมื่อได้กลีบดอกแล้วก็ทำการตัดกระดาษสาเพื่อทำเป็นกลีบเลี้ยง โดย 1 ดอกอาจจะใช้ประมาณ 3 ใบ เมื่อได้ครบแล้ว นำกระดาษเอ 4 ย้อมสีมาทำการตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ โดยตัดให้เป็นซี่ย่อย ๆ เพื่อที่จะใช้เป็นส่วนของเกสรดอกบัว

เมื่อได้ส่วนประกอบต่าง ๆ ครบแล้ว ก็ทำการประกอบขึ้นดอก โดยนำธูปเทียนไว้ตรงกลาง จากนั้นเริ่มประกอบดอกจากด้านใน เริ่มจากเกสรบัว และค่อย ๆ ติดกลีบดอก ติดให้แผ่ออกมาจนครบตามต้องการ ใช้ด้ายพันก้านดอกโดยพันยึดติดกับก้านมะม่วง หรือลวดอ่อน จากนั้นใช้ฟลอร่าเทปพันให้รอบ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“ขั้นตอนการทำมีไม่มาก แต่ทุกขั้นตอนก็จะมีรายละเอียด และต้องอาศัยความประณีตและใจเย็น ซึ่งงานฝีมือตรงนี้ไม่ยากที่จะเรียนรู้ คนที่สนใจสามารถที่จะไปซื้อดอกตัวอย่างเพื่อนำมาแกะแบบและหัดทดลองทำได้ด้วย ตนเอง ซึ่งจุดที่จะแตกต่างก็คงขึ้นอยู่กับการออกแบบและจินตนาการของแต่ละคนเป็น สำคัญ” นวลสิริเจ้าของผลงานแนะนำ


ใครสนใจต้องการติดต่อกับนวลสิริ ก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-1926-5075 หรือที่อีเมล chilly_crab@hotmail.com ทั้งนี้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ กับการทำ ’ดอกไม้จันทน์“ ขาย ซึ่งแม้จะมีคนทำอยู่ทั่วไป แต่ตลาดก็ยังคงเปิดกว้าง ยังพอจะมีช่องว่าง และยังสามารถสร้างโอกาสทำเงินได้อีกนาน...

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=497&contentId=142886