Saturday, December 18, 2010

แนะนำอาชีพ'สระว่ายน้ำสำหรับสุนัข'

ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงยังเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจเสมอ เพราะปัจจุบันกลุ่มลูกค้าคนรักสัตว์ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น จนทำให้ตลาดของธุรกิจประเภทนี้กว้างขึ้น และนอกจากการผลิตและจำหน่ายสินค้า สำหรับธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง ก็ถือว่าเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ อย่างเช่น “สระว่ายน้ำสำหรับสุนัข”...

@@@@@

“โชติมา โชติบัณฑิต” เจ้าของธุรกิจให้บริการสระว่ายน้ำสุนัข ในชื่อ I Tube Pool เล่าว่า เดิมทำงานเป็นพนักงานของธนาคารแห่งหนึ่ง ต่อมาเกิดความสนใจในธุรกิจการให้บริการสระว่ายน้ำสุนัข เพราะได้แรงบันดาลใจจากความลำบากที่ต้องเดินทางไกล เพื่อพาสุนัขไปสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลจากที่พักในบริเวณสุขุมวิทมาก ทำให้เสียเวลาการเดินทาง จึงคิดว่าในพื้นที่แถวสุขุมวิทยังไม่มีบริการด้านนี้ ทั้งที่มีกลุ่มผู้เลี้ยงสุนัขและมีความต้องการ บริการนี้อยู่พอสมควร จึงคิดว่าหากใช้พื้นที่บ้านดัดแปลงให้เป็นสระว่ายน้ำ เน้นกลุ่มลูกค้าย่านนี้ที่ส่วนใหญ่พักอาศัยในคอนโดมิเนียมซึ่งไม่ค่อยมี พื้นที่ให้สุนัขออกกำลังกาย ทำให้สุขภาพสุนัขมีปัญหา จึงมองว่าธุรกิจนี้น่าจะแทรกตัวในพื้นที่ดังกล่าวได้

เจ้าของไอเดียบอกว่า นอกจากเป็นสถานที่ออกกำลังกายแล้ว ยังเป็นสถานที่สำหรับทำกายภาพบำบัดด้วย เนื่องจากสุนัขเมื่อมีอายุมากขึ้นมักมีปัญหาบาดเจ็บที่ตะโพก โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์ใหญ่และสุนัขที่มีรูปร่างอ้วน ซึ่งปัจจุบันกลุ่มผู้เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้มีมากขึ้น ทำให้ความต้องการในบริการนี้มีเพิ่มขึ้น

“ธุรกิจนี้เริ่มต้นจากความลำบาก แต่ที่เลือกทำก็เพราะเรามีความสุขด้วย ในฐานะคนรักสุนัขคนหนึ่ง” เจ้าของธุรกิจกล่าว ก่อนบอกอีกว่า จุดขายของธุรกิจบริการสระว่ายน้ำสุนัขคือเรื่องของ “ความสะดวก”

นอกจากนี้ก็ยังต้องคำนึงถึง “ความสะอาด” และ “ความปลอดภัย” ของสุนัขด้วย สำหรับสระว่ายน้ำที่นี่จะใช้ “ระบบเกลือ” ซึ่งต้องลงทุนสูงกว่าการใช้ “สารคลอรีน” แต่มองในระยะยาวระบบเกลือจะดีกว่า โดยสระที่ใช้เป็นขนาดกว้าง 4 เมตร ยาว 8 เมตร และลึก 1.20 เมตร

“หัวใจสำคัญอยู่ที่ความสะอาด สระว่ายน้ำจำเป็นต้องมีคนคอยดูแลเสมอ เพราะบางฤดูสุนัขจะขนร่วงมาก ก็จำเป็นจะต้องคอยช้อนขนสุนัขออก อีกทั้งเรื่องปริมาณสุนัขในสระก็ต้องควบคุมให้พอดี ไม่ให้มากเกินไป”

ในเรื่องการสร้างความมั่นใจ การสร้างความเชื่อมั่นก็เป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจนี้ โชติมาบอกว่า สุนัขทุกตัวเจ้าของจะกังวลเรื่องของความปลอดภัย โดยทางร้านจะมีชูชีพให้ใช้ฟรี นอกจากนี้ยังมีพี่เลี้ยงคอยดูแลความปลอดภัยของสุนัขเวลาที่อยู่ในสระ ส่วนโรคติดต่อจะมีกฎระเบียบในการใช้บริการคือ เจ้าของสุนัขจะต้องมีใบตรวจวัคซีนมาให้ทางร้านดูก่อนที่จะลงสระ โดยทางร้านจะอาบน้ำก่อนและหลังจากลงสระ พร้อมทั้งบริการเป่าแห้งให้เรียบร้อย เพียงแต่เจ้าของต้องเตรียมแชมพูมาเองเพื่อป้องกันปัญหาจากการแพ้แชมพู

ทุนเบื้องต้น ตัดเรื่องค่าเช่าสถานที่ออกก็จะมีแต่ค่าสระและค่าตกแต่งสถานที่ อยู่ที่ประมาณ 5 แสนบาท ทุนหมุนเวียน ส่วนใหญ่เป็นค่าไฟ-ค่าน้ำ ค่าจ้างพนักงาน อยู่ที่ 3 หมื่นบาทต่อเดือน รายได้มาจากค่าบริการและจากการขายอาหารและเครื่องดื่ม โดยรายได้จากค่าบริการสำหรับ สุนัขพันธุ์เล็กอย่าง ชิสุ, ไส้กรอก อยู่ที่ 380 บาทต่อชั่วโมง ส่วนพันธุ์ใหญ่อย่าง ลาบราดอร์, โกลเด้น อยู่ที่ 480 บาทต่อชั่วโมง

เจ้าของธุรกิจนี้แนะนำว่า นอกจากจะต้องใส่ใจเรื่องของสุนัขแล้ว การจัดสถานที่ให้เหมาะสมสำหรับลูกค้าก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ควรมีสถานที่ให้เจ้าของสุนัขนั่งพักรอ มีบริการอินเทอร์เน็ต และของว่างหรืออาหารไว้บริการให้พร้อม เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างความประทับใจและอำนวยความสะดวกแล้ว ก็ยังเป็นรายได้เสริมที่เพิ่มขึ้นมา นอกเหนือจากรายได้จากค่าบริการในส่วนของสุนัขเพียงอย่างเดียว

“การออกแบบสถานที่ ต้องเน้นสะอาด สะดวกสบาย และต้องดูดี เช่นเดียวกับสระว่ายน้ำของคน และควรมีพื้นที่รอบ ๆ ให้สุนัขได้เดินเล่น หรือให้สุนัขได้กระโดดน้ำได้ด้วย” เป็นไอเดียที่เจ้าของธุรกิจแนะนำมา

ทั้งนี้ เจ้าของธุรกิจนี้ยังบอกด้วยว่า การทำอาชีพสระว่ายน้ำสุนัข กำไรอาจจะไม่ได้มากมายเหมือนการค้าขายทั่วไป เนื่องจากราคาให้บริการ ถ้าสูงมากลูกค้าก็จะไม่มา ถ้าถูกเกิน ร้านก็จะไม่ไหว แต่เหมือนเป็นการทำแล้วสบายใจมากกว่า จากการที่ได้เห็นสีหน้าและรอยยิ้มของเจ้าของสุนัข เมื่อได้เห็นสุนัขมีความสุข

@@@@@@

ธุรกิจ “สระว่ายน้ำสุนัข” รายนี้ อยู่ที่เลขที่ 25 ซอยพร้อมมิตร สุขุมวิท 39 กรุงเทพฯ โทร. 0-2258-4736 เว็บไซต์ www.itubepool. com เปิดให้บริการช่วง 09.00-17.00 น. ปิดวันจันทร์ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับสัตว์เลี้ยงที่น่าพิจารณา โดยเฉพาะสำหรับคนที่รักสุนัขเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=110483

Monday, December 13, 2010

แนะนำอาชีพ"วุ้นสารพัดหน้า"

หนึ่งในเมนูขนมที่หารับประทานง่าย รสชาติอร่อย และเป็นที่นิยมตลอด คือ “วุ้น” ขนมหวานเนื้อนิ่ม ซึ่งปัจจุบันคนทำขายมีการกระตุ้นยอดขายด้วยการพลิกแพลงรสชาติหลากหลาย มีรูปแบบและสีสันมากมาย เช่น วุ้นสังขยา, วุ้นผลไม้ตามฤดูกาล, วุ้นเผือก, วุ้นทองหยิบ, วุ้นทองหยอด, วุ้นเม็ดขนุน, วุ้นไข่, วุ้นตาล, วุ้นอัญชัน, วุ้นกล้วยไข่เชื่อม, วุ้นลอดช่อง, วุ้นสตรอเบอรี่, วุ้นฝอยทอง ฯลฯ โดยขนมประเภทวุ้นนี้ก็ทำได้ไม่ยาก หาวัสดุอุปกรณ์ในการทำก็ง่าย ราคาไม่แพง และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนออีกหนึ่งรูปแบบ...

#####

รัตน์ ปั้นเพชร เป็นเจ้าของสูตรวุ้นร้อย (100) หน้า เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า เธอนั้นเป็นแม่บ้าน แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบคิดชอบทำ พอเห็นอะไรแล้วก็จะชอบนำมาดัดแปลง โดยเฉพาะขนมวุ้น เป็นขนมที่สามารถดัดแปลงรูปแบบ มีลูกเล่นให้เล่นได้มากมาย จากที่ทำรับประทานกันในครอบครัว ขยายสู่ญาติพี่น้อง รวมถึงเพื่อน ๆ ทุกคนต่างบอกว่า “ทำขายสิ” และด้วยความที่แฟนของเธอเป็นมือกลอง รายได้ไม่แน่นอน เธอจึงทำวุ้นออกขาย เพื่อหารายได้เสริมช่วยเหลือครอบครัวอีกทาง

“การทำอาหารหวานประเภทวุ้นไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ยาก และสิ่งที่ใหม่คือ ทำอย่างไรจะให้วุ้นออกมามีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น มีความแปลก ฉีกตลาดออกไป และสามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้ จากประสบการณ์ที่ขายมา วุ้นทั้งชิ้นใหญ่-ชิ้นเล็ก นับวันมีแต่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ อาจจะเป็นไปได้ว่าคนเริ่มเบื่อขนมประจำเทศกาลอย่างเค้กไปแล้ว จึงหันมาหาวุ้นมากขึ้น สูตรที่ทำขายนั้นปรับปรุงเอง จะเพิ่มความเค็ม ลดความหวานลง ถ้ามันแข็งไปจะทำให้วุ้นกระด้าง ก็ปรับให้อ่อนลง ทดลองจนลงตัวดีแล้วก็จดสูตรไว้เลย เสียงตอบรับก็ค่อนข้างดี”

สำหรับเทศกาลปีใหม่ คุณรัตน์บอกว่า รับจัดวุ้นเป็นของฝากของขวัญ ตกแต่งสวยงาม หลากหลายรูปแบบและสีสัน อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่สะดุดตา แสดงให้เห็นถึงความเป็นวาระพิเศษ ด้วยโบ หรือริบบิ้นสีสันสดใส

โฉมหน้าขนมวุ้นร้อย (100) หน้า ก็มี... วุ้นครีมวานิลลา, วุ้นซ่าหริ่ม, วุ้นใบเตย, วุ้นเม็ดบัว, วุ้นฟักทอง, วุ้นเผือก, วุ้นเฮลบลูบอย, วุ้นไข่, วุ้นมะพร้าวอ่อน, วุ้นขนุน, วุ้นน้ำมะพร้าว, วุ้นแยมบลูเบอรี่, วุ้นสตรอเบอรี่สด, วุ้นผลไม้ตามฤดูกาล ทั้งลำไย ลิ้นจี่ สับปะรด น้อยหน่า เงาะ, วุ้นกะทิ, วุ้นมันเชื่อม, วุ้นกล้วยไข่เชื่อม, วุ้นสอดไส้นานาชนิด, วุ้นช็อกโกแลต, วุ้นแยมส้ม, วุ้นแยมสตรอเบอรี่, วุ้นทองหยิบ, วุ้นฝอยทอง, วุ้นทองหยอด, วุ้นชั้น, วุ้นเม็ดขนุน, วุ้นกาแฟ, วุ้นชาเขียว, วุ้นลูกเกด, วุ้นมะม่วงสุก, วุ้นกีวี, วุ้นเม็ดแมงลัก, วุ้นอัญชัน, วุ้นขนมตาล ฯลฯ

นอกจากนี้ที่ร้านของคุณรัตน์ ก็ยังมีขนมมะพร้าวแก้ว และน้ำมะพร้าวน้ำหอมสด ๆ จากสวนสามพราน ไว้บริการอีกด้วย โดยขนมต่าง ๆ ที่ทำขายไม่มีการใส่สารกันบูดเด็ดขาด!!

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำวุ้น ส่วนใหญ่จะมีอยู่แล้วในครัวเรือน เช่น เตาแก๊ส, หม้อสเตนเลส, ทัพพี, ช้อนกาแฟ, ผ้าขาวบาง, กระติกเก็บความร้อน, ไม้จิ้มฟัน เป็นต้น ส่วนที่ต้องหาซื้อเพิ่มก็มีแบบพิมพ์รูปต่าง ๆ, ถ้วยตวงแห้ง-ตวงน้ำ, ช้อนตวง, ที่ปาดส่วนผสม, ไม้พาย, ขวดที่มีฝาบีบได้, ถ้วยหรือกระบอกแบ่งวุ้นเพื่อหยอดพิมพ์

ส่วนผสมหลักในการทำวุ้น ก็มี... ผงวุ้นอย่างดี (1 ซอง 50 กรัม), น้ำมะพร้าวอ่อน, น้ำตาลทราย, หัวกะทิ, เกลือ และหน้าต่าง ๆ เช่น ซ่าหริ่ม, ทองหยิบ, ทองหยอด, ฝอยทอง, เม็ดขนุน, เม็ดบัวต้ม, เผือกต้ม เป็นต้น

ยกตัวอย่างขั้นตอนการทำ “วุ้นกะทิซ่าหริ่ม” ผสมผงวุ้นกับน้ำมะพร้าวอ่อนลงในหม้อ คนส่วนผสมให้เข้ากันดี ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนไปเรื่อย ๆ จนเดือด ส่วนผสมผงวุ้นละลายดีแล้ว จึงใส่น้ำตาลทราย คนให้น้ำตาลทรายละลาย กรองด้วยผ้าขาวบางเคี่ยวต่อไปโดยใช้ไฟอ่อน นำหัวกะทิสด เกลือนิดหน่อย ใส่ตามลงไป คนให้ส่วนผสมวุ้นเข้ากันดี จึงยกลง ตักซ่าหริ่มใส่พิมพ์ เทส่วนผสมวุ้นใส่จนเต็มพิมพ์ ตั้งพักไว้ให้วุ้นแข็งตัว นำวุ้นที่ทำเสร็จแล้วเข้าไปพักไว้ในตู้เย็น เมื่อต้องการจะรับประทานหรือขาย ก็แคะวุ้นออกจากพิมพ์ จัดใส่ภาชนะ

การทำ “วุ้นทองหยิบ-ทองหยอด-ฝอยทอง-เม็ดขนุน-เม็ดบัวต้ม-เผือกต้ม” ขั้นตอนการทำเหมือนกับวุ้นกะทิซ่าหริ่ม จะต่างกันก็ตรงที่เปลี่ยนจากซ่าหริ่มเป็นเครื่องอื่น ๆ เท่านั้น

สำหรับราคาขายวุ้น คือ 12 ชิ้น 50 บาท (เลือกหน้าได้ตามชอบ) ทุนวัตถุดิบตกประมาณ 60% ซึ่งคุณรัตน์จะขายตามตลาดนัดโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลผิวหนัง, โรงพยาบาลนพรัตน์, โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์, โรงพยาบาลจุฬาฯ ถ้าเป็นวันอังคารจะขายที่สนามเสือป่า ใกล้โรงพยาบาลกลาง

#####

ใครสนใจอยากมีอาชีพเสริมหรืออาชีพหลัก ด้วยการขาย “วุ้น” ก็ลองฝึกทำกันดู แต่หากคิดอยากจะทำขาย เริ่มต้นควรหาตลาดก่อนว่าจะขายยังไงตรงไหน ดูกลุ่มลูกค้าว่าชอบวุ้นแนวไหน ส่วนใครต้องการติดต่อกับคุณรัตน์ ต้องการสั่งวุ้น ซึ่งต้องสั่งล่วงหน้า 1-2 วัน ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-9888-9844 และ 08-9213-1709.


ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=525&contentID=107992

แนะนำอาชีพ"ซาลาเปาลูกท้อ"

จุดเด่นของ “ซาลาเปา” คือเป็นได้ทั้งของว่าง ขนม ของกินเล่น จนมีคนนิยมชมชอบมากมาย จึงไม่แปลกที่อาชีพทำซาลาเปาขายเป็นอาชีพที่ไม่เคยตกยุคตกสมัย ไม่ว่าจะเป็นซาลาเปาที่มีไส้ หรือไม่มีไส้ เช่นเดียวกับขนมเปี๊ยะ ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์หน้าตาและไส้ จนแปลกใหม่ ร่วมยุคร่วมสมัยและน่ารับประทานมากขึ้น แต่ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำมาเสนอวันนี้คือ “ซาลาเปาลูกท้อ” ซึ่งรูปแบบธรรมดา ๆ แต่ขายได้เรื่อย ๆ ขายได้ตลอด และจะขายดีมากในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ชนิดที่ทำขายกันแทบไม่ทันเลย...

พรทิพา วิรุฬห์ชาตะพันธุ์ เจ้าของร้านเฮงกี่ ซาลาเปา ตลาด น้ำอัมพวา จ.สมุทรสงคราม ทำซาลาเปา และขนมเปี๊ยะขาย เจ้าตัวเล่าว่า เปิดร้านขายขนมเปี๊ยะและซาลาเปาเกือบ 80 ปีมาแล้ว ซึ่งปัจจุบันเจ้าของร้านเป็นรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 แล้ว แต่ครอบครัวก็ยังยึดอาชีพนี้เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

“ซาลาเปาลูกท้อ” เป็นซาลาเปาที่ทำกันมาแต่ดั้งเดิม และก็ยังทำขายในปัจจุบัน ขายได้เรื่อย ๆ และขายดิบขายดีในช่วงเทศกาลกินเจ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากมากมายในการทำ เพียงแต่ต้องมีคุณภาพ และตั้งราคาให้สมน้ำสมเนื้อ อร่อยคุ้มราคา ซึ่งซาลาเปานี่ใคร ๆ ก็ทำขายได้ เพียงแต่เสน่ห์ของทางร้านคือ ขายมานาน มีคนรู้จักเยอะแยะมากมาย ซึ่งก็ต้องรักษาชื่อเสียงเอาไว้

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ คือ อุปกรณ์เบเกอรี่-ซาลาเปา อาทิ เตาแก๊ส หม้อ กะละมัง เครื่องตีแป้ง (ถ้ามี) โต๊ะนวดแป้ง ไม้นวดแป้ง ฯลฯ

สูตรซาลาเปาลูกท้อ ที่ใช้แป้ง 1 กก. ส่วนผสมต่าง ๆ ประกอบด้วย แป้งสาลีสำหรับทำซาลาเปา 1 กก. และยีสต์ 1 กรัม, น้ำตาล 150 กรัม, ไข่ไก่ 1 ฟอง, เนยเล็กน้อย และน้ำเปล่า 500 กรัม

วิธีทำ ร่อนแป้งและยีสต์ให้เข้ากันบน โต๊ะนวดแป้ง จากนั้นเกลี่ยแป้งเป็นวงกลม โดยเว้นพื้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้ เทน้ำ น้ำตาล ตอกไข่ และเนย ไว้ตรงกลาง ให้ละลายน้ำตาล น้ำ เนย และไข่ไก่ ให้เข้ากันเอาไว้ โดยใช้มือ ซึ่งวิธีนี้เป็นการทำแป้งบนพื้นไม้ จากนั้นค่อยนำแป้งลงไปนวดผสม ค่อย ๆ นวดไปเรื่อย ๆ จนกว่าแป้งจะเข้ากันได้ดี แล้วให้พักแป้งไว้ 1-1.5 ชั่วโมง เพื่อให้แป้งฟูขึ้นมา ซึ่งแป้งที่นวดแล้วจะมีสีออกเหลืองนวล ๆ

จากนั้นนำแป้งไปรีดให้ขาวเนียน ซึ่งจะใช้เครื่องรีดแป้ง หรือใช้ไม้นวดแป้งก็ได้ รีดไปมาจนกระทั่งแป้งขาวนวล จึงเข้าสู่ขั้นตอนปั้นซาลาเปา ซึ่งต้องทำไส้ไว้ก่อน จะมี 3 ไส้คือ ไส้ฟักเชื่อม ไส้ถั่วเหลือง และไส้ถั่วดำ

วิธีทำไส้นั้น ไส้ฟักเชื่อมใช้ฟักเชื่อมสำเร็จ 1 กก. โม่ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือจะหั่นก็ได้ จากนั้นนำไปเคี่ยวผสมกับน้ำตาลทรายและแป้งโก๋อย่างละ 500 กรัม และงาขาวคั่วอีกเล็กน้อย เสร็จแล้วปั้นเป็นก้อน ๆ ละ 20 กรัม

ไส้ถั่วเหลือง ใช้ถั่วเขียวซีก 1 กก. แช่น้ำไว้ประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด แล้วกวนกับน้ำตาลทราย 1.5 กก. และน้ำมันพืชพอประมาณ กวนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วปั้นเป็นก้อน ๆ ละ 20 กรัม

ไส้ถั่วดำ ใช้ถั่วดำ 1 กก. นำไปต้มให้สุก จากนั้นกวนกับน้ำตาลทราย 1.5 กก. และน้ำมันพืชเล็กน้อย ปั้นเป็นก้อน ๆ 20 กรัม พักไว้

เตรียมไส้พร้อม เตรียมแป้งพร้อม ก็นำแป้งที่รีดเสร็จแล้วมาเริ่มขั้นตอนการปั้นซาลาเปา ใช้แป้งสาลีแห้งโรยบนแป้ง เพื่อไม่ให้แป้งติดมือและติดโต๊ะ จากนั้นตัดแป้งออกเป็นเส้น ๆ แล้วหั่นเป็นก้อน ๆ ละ 25 กรัม

แบะก้อนแป้งออก ใส่ไส้ที่ต้องการลงตรงกลาง แล้วหุ้มแป้งปิด โดยทำให้แป้งด้านบนเป็นยอดแหลม ๆ ซึ่งจะคล้ายกับ “ท้อ” หากเป็นซาลาเปาเฉย ๆ ไม่ต้องทำยอดแหลม เสร็จแล้วนำไปนึ่งให้สุก ใช้ไฟแรง นึ่งนาน 15 นาที ซึ่งแป้งซาลาเปา 1 กก. จะทำซาลาเปาได้กว่า 30 ลูก โดยซาลาเปา 100 ลูก จะใช้แป้งประมาณ 2.5 กก.

ซาลาเปารูปแบบนี้ ขายได้ในราคาลูกละ 4-5 บาท โดยต้นทุนเฉพาะวัตถุดิบต่อลูกอยู่ที่ประมาณ 2 บาทกว่า ๆ ซึ่งจำเป็นต้องทำขายให้ได้ในปริมาณมาก ๆ จึงจะได้กำไรคุ้มกับการลงทุนลงแรง

“ซาลาเปาลูกท้อ” ดังกล่าวนี้สามารถที่จะทำขายได้ทั่วไป และอาจจะติดต่อขายส่งร้านขายอาหารมังสวิรัติซึ่งก็เป็นอีกช่องทางการขาย ยิ่งเข้าเทศกาลถือศีลกินเจประจำปีด้วยแล้ว จะยิ่งขายดี

ร้านของพรทิพา นอกจาก “ซาลาเปาลูกท้อ” แล้ว ก็ยังมีขนมเปี๊ยะ มีทั้งขนมเปี๊ยะโบราณ ขนมเปี๊ยะประยุกต์ เพิ่มสีสัน เพิ่มไส้แปลก ๆ ใหม่ ๆ อาทิ ขนมเปี๊ยะไส้พุทราจีน, ขนมเปี๊ยะไส้เผือก, ขนมเปี๊ยะไส้มะตูม ฯลฯ รวมถึงยังมีขนมโก๋ขายด้วย ใครสนใจก็ลองแวะไปชิมกันที่ตลาดน้ำอัมพวา จ.สมุทรสงคราม เปิดขายทุกวันตั้งแต่ 08.00 น. เป็นต้นไป หมายเลขโทรศัพท์คือ โทร. 0-3475-1262 และ 08-6703-1475.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=525&contentID=106698

แนะนำอาชีพ'เครปเค้ก-คัพเค้ก'

ใกล้เทศกาลปีใหม่เข้ามาทุกที ซึ่งเทศกาลปีใหม่เป็นเทศกาลมอบของฝาก-ของขวัญ และขนม-เบเกอรี่ก็นิยมใช้เป็นของขวัญ คนทำขายจึงมีรายได้ดีในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทั้งนี้ ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ทางทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำเบเกอรี่ การทำ “เครปเค้ก” และ “คัพเค้ก” มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...

******************

วรจันทร์ จันทร์แสนตอ หรือ หน่อย เป็นเจ้าของร้านสุขอุราคาเฟ่ ย่านถนนเฟื่องนคร หลังกระทรวงมหาดไทย (คลองหลอด) เจ้าตัวเล่าว่า “เครปเค้ก” เป็นหนึ่งขนมที่ขายดีของร้าน ราคาไม่แพง และอิ่มท้อง ประกอบด้วยแป้งเครปเรียงกันถึง 12 ชั้น ซึ่งเหมาะที่จะทานกับชา กาแฟ และเครื่องดื่มอื่น ๆ และยังเหมาะที่จะใช้เป็นของฝากในโอกาส หรือในช่วงเทศกาลต่าง ๆ รวมถึงเทศกาลปีใหม่

อุปกรณ์ในการทำเครปเค้กนั้น วรจันทร์บอกว่า ไม่มีอะไรยุ่งยาก ใช้เพียงอุปกรณ์เบเกอรี่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น อาทิ กะละมัง ตะกร้อตีแป้ง เตาไฟฟ้า กระทะเทปล่อน และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดอื่น ๆ

ส่วนผสมเครปเค้ก ในส่วนของ ตัวแป้ง ตามสูตรก็มีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม, น้ำตาลทราย 30 กรัม, เกลือ 1/4 ช้อนชา, ไข่ไก่ 3 ฟอง, นมสด 400 มิลลิกรัม, เนยละลาย 20 กรัม



วิธีทำ ร่อนแป้ง แล้วนำส่วนผสม น้ำตาล เกลือ ผสมลงไป ค่อย ๆ ใส่ไข่ทีละฟอง และใส่นมสด ตามด้วยเนยละลาย ใช้ตะกร้อมือ หรือโถผสม ตีผสมจนเข้ากันดี เนื้อแป้งไม่เป็นเม็ด ก็เป็นอันใช้ได้

ตั้งกระทะบนเตาไฟฟ้า ใช้กระทะเทปล่อน ขนาด 8 นิ้ว เมื่อกระทะร้อน ค่อย ๆ ตักแป้งลงไปในกระทะประมาณ 1 ทัพพี รีบยกกระทะร่อนไปมา เพื่อให้แป้งไหลไปไหลมาจนเต็มกระทะ เมื่อแป้งสุก ให้กลับแป้งอีกด้านหนึ่ง เสร็จแล้วยกขึ้น ทำแบบนี้ประมาณ 12 ชิ้น ซึ่งจะคล้าย ๆ กับแผ่นโรตี แต่เป็นแป้งเครปที่นิ่ม ๆ

ต่อมาทำ วิปปิ้งครีม ตีครีมในอัตราส่วน 1 : 1 คือวิปปิ้งครีม 1 ถ้วยตวง และน้ำ 1 ถ้วยตวง โดยระหว่างที่ตีวิปปิ้งครีม ให้เติมกลิ่นวานิลลาลงไปด้วยพอประมาณ

ขั้นตอนการทำเป็น “เครปเค้ก” วางแผ่นเครปนิ่ม ๆ ลงบนภาชนะแบน จากนั้นตักวิปปิ้งครีมใส่ลงบนแผ่นเครปนิ่มพอประมาณ ปาดให้ทั่วแผ่น จากนั้นจึงวางแผ่นเครปลงไปบนชั้นของวิปปิ้งครีม และทาวิปปิ้งครีมลงไปอีก ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งครบ 12 แผ่น

จากนั้นผ่าเครปเค้กให้ได้ 8 ชิ้น ซึ่งในการตกแต่งหน้าเครปเค้กนั้น จะทำทีละชิ้น ซึ่งทำได้ง่าย ๆ โดยการราดซอสผลไม้ต่าง ๆ ลงไปบนหน้า อย่างเช่นสตรอเบอรี่ซอส ซึ่งซอสผลไม้นี้จะทำเองก็ได้ หรือจะซื้อแบบสำเร็จรูปมาใช้ก็ได้ ทั้งนี้ ต้นทุนต่อเครปเค้ก 1 ก้อนใหญ่นั้น อยู่ที่ประมาณ 250 บาท หรือประมาณไม่เกิน 32 บาทต่อชิ้น ซึ่งสามารถตั้งราคาขายได้ที่ชิ้นละ 50 บาท หรือแล้วแต่ทำเลของร้าน

ต่อด้วยเบเกอรี่ที่น่าขายอีกอย่างในเทศกาลปีใหม่ คือ “คัพเค้ก” ซึ่งการทำคัพเค้ก 40 ถ้วย มีส่วนผสมดังนี้คือ แป้งเค้ก 300 กรัม, เนย 200 กรัม, น้ำตาล 220 กรัม, ผงฟู 20 กรัม, เกลือป่น 1/2 ช้อนชา, ครีมข้น 120 กรัม, ไข่ไก่ 7 ฟอง, เอสพี 15 กรัม, นมสด 300 กรัม

วิธีทำ ร่อนแป้ง เกลือ และผงฟูให้เข้ากัน จากนั้นค่อย ๆ ตีส่วนผสมให้เข้ากัน โดยใช้เครื่องตี หรือจะใช้ตะกร้อมือตีก็ได้ จากนั้นค่อย ๆ ทยอยใส่น้ำตาลทราย, ไข่ไก่, เนย, นมสด, เอสพี, ครีมข้น ลงไปตีผสมให้เข้ากัน เท่านี้เป็นอันเรียบร้อย เป็นแป้งที่พร้อมใช้ในขั้นต่อไป

เตรียมพิมพ์ขนม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร หยอดแป้งลงไปประมาณ 3/4 ของถ้วย นำเข้าเตาอบนาน 25 นาที อบที่ความร้อน 180 องศา เท่านี้เป็นอันใช้ได้

จากนั้นจึงแต่งหน้าคัพเค้กด้วย บัตเตอร์ครีม ซึ่งประกอบด้วยการตีเนยสด 300 กรัม ผสมกับเนยขาว 200 กรัม, นมข้นหวาน 2 กระป๋อง และกลิ่นวานิลลา 2 ช้อนชา การแต่งหน้าคัพเค้กก็บีบบัตเตอร์ครีมจากกรวยแต่งหน้า ลงบนหน้าคัพเค้ก แล้วแต่งหน้าเพิ่มอีกทีด้วยลูกชุบ ทองหยอด หรือฝอยทองก็ได้ เท่านี้ก็ขายได้ราคา 35 บาทต่อถ้วย หรือแล้วแต่ทำเลร้าน ซึ่งจะมีต้นทุนต่อถ้วยประมาณ 15 บาท

**********

เบเกอรี่ทั้ง 2 อย่างนี้ทำได้ไม่ยาก และลงทุนไม่สูงมากนัก ซึ่งใครจะลองทำขายในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้มาถึงก็ต้องรีบฝึกฝีมือกันด่วน ส่วนร้านสุขอุราคาเฟ่ของหน่อย-วรจันทร์ อยู่ที่เลขที่ 39 ถนนเฟื่องนคร แขวงวังบูรพา เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทร.0-2622-0487 เปิดขายวันจันทร์ถึงเสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.

ทีมา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=525&contentID=109306

Wednesday, November 3, 2010

แนะนำอาชีพ "งานประดิษฐ์สิง่ของจากไม้เก่า"

“เยาวลักษณ์ บุษราคัมสกุล” เจ้าของร้านเก๋ากึ๊กอาร์ต แอนด์ เดค คอร์ เล่าว่า เดิมครอบครัวทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ต่อมาเศรษฐกิจไม่ดีจึงหันมาจับธุรกิจจำหน่ายและรับซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์ไม้ โบราณ โดยยึดอาชีพนี้มานานกว่า 8 ปี เนื่องจากตนและสามีมีความชอบและเป็นนักสะสมของเก่า และหลังจากต้องเดินทางเพื่อออกไปเสาะหาเฟอร์นิเจอร์ไม้โบราณมาจำหน่ายอยู่ บ่อย ๆ ทำให้พบว่ามีแผ่นไม้เก่า ๆ ที่ถูกรื้อออกมาจากตัวบ้านเหลือทิ้งเป็นจำนวนมาก จึงคิดว่าน่าจะสามารถนำมาผลิตเป็นสินค้าประเภทของตกแต่งบ้าน-ของตกแต่งสวน ได้ และเป็นการสร้างรายได้เสริมเข้าร้านได้อีกช่องทางหนึ่ง จึงเริ่มทำมาได้ราวปีกว่า ๆ

“งานประดิษฐ์จากไม้เก่า” นี้ อาศัยขายทางหน้าร้านและทางเว็บไซต์ www.kaokuek.com ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี โดยสิ่งที่ต้องลงทุนเพิ่มมีเพียง “ค่าวัตถุดิบ” หรือ “ค่าแผ่นไม้เก่า” เท่านั้น ส่วนเครื่องมือและแรงงานไม่ต้องลงทุนเพิ่มเพราะมีอยู่แล้ว แต่ใครที่เริ่มต้นใหม่ตรงนี้ก็คงต้องลงทุนในระดับหนึ่ง

เสน่ห์ของชิ้นงานประเภทนี้ อยู่ที่สีสันที่เป็นธรรมชาติ บวกกับความเก่าที่ลวดลายหลุดร่อนตามสภาพธรรมชาติของแผ่นไม้ ตรงนี้นอกจากเป็นจุดเด่นของสินค้าแล้ว ยังทำให้ขั้นตอนการทำหรือประกอบขึ้นรูปง่ายขึ้น เนื่องจากแทบไม่ต้องนำแผ่นไม้เก่ามาตกแต่งเพิ่มขึ้น นอกเหนือไปจากการทำความสะอาดแผ่นไม้

“ตรงนี้ถือเป็นเสน่ห์ในงานของเรา เพราะเคยทำสีใหม่ แต่ลูกค้าบอกไม่ชอบ ลูกค้าบอกว่าชอบเพราะความเก๋าของไม้เก่า ซึ่งการคงสีสันเดิมของไม้เก่าไว้จึงกลายเป็นจุดขายของเรา” เจ้าของผลงานกล่าว

สำหรับสินค้าที่ผลิตขึ้นจากวัสดุแผ่นไม้เก่านั้นมีหลากหลายชนิด อาทิ กระถางต้นไม้ทรงรถยนต์, กระถางต้นไม้ทรงฝักบัวรดน้ำ, ตู้จดหมาย ทรงกังหันลม, บ้านนก, ตู้เก็บพวงกุญแจ, ภาพเพนท์, นาฬิกา ฯลฯ โดยชนิดสินค้าที่นิยมมากจะเป็นกระถางต้นไม้ ทั้งทรงรถยนต์ และทรงฝักบัวรดน้ำ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็มีทั้งลูกค้าทั่วไปที่ซื้อเพื่อนำไปประดับตกแต่งบ้าน กับลูกค้าที่ซื้อไปเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ

เจ้าของผลงานกล่าวอีกว่า ข้อดีของงานแนวนี้คือ วัสดุที่ใช้มีราคาไม่แพงมาก เพราะเป็นไม้เก่าที่เหลือใช้ประกอบกับการตกแต่ง ไม้ก็ไม่ยุ่งยากและแทบไม่ต้องทำ
อะไรเลย เพราะกลุ่มลูกค้าจะชอบที่สีสันและความเก่าของแผ่นไม้ แค่เพียงทำความสะอาดด้วยน้ำ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ก็สามารถนำมาประดิษฐ์ชิ้นงานได้เลย

ทุนเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าเครื่องมือและอุปกรณ์งานไม้ ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ 30% จากราคาขาย ราคาสินค้าเริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 120-1,000 บาท เครื่องมือและอุปกรณ์ ประกอบด้วย เลื่อยวงเดือน, สว่านเจาะไม้, ดอกเราเตอร์ (Router) หรือหัวเจาะรูสำหรับงานไม้, ปืนยิงตะปูหรือยิงลวด ส่วนวัสดุมีเพียงแค่ แผ่นไม้เก่า กาวไม้ กระดาษทราย และอุปกรณ์สำหรับใช้ยึดหรือติดแขวน เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ กรณีทำ “กระถางต้นไม้ทรงฝักบัว” เริ่มจากนำแผ่นไม้เก่ามาทำความสะอาดด้วยน้ำ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นนำมาวัดขนาดเพื่อตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมคางหมู 4 ชิ้น สำหรับใช้ทำเป็นตัวฝักบัว ตัดแผ่นไม้สี่เหลี่ยมจัตุรัส 1 ชิ้น สำหรับใช้ทำฐานฝักบัว และแผ่นไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า 5 ชิ้น สำหรับใช้ทำเป็นด้ามจับกับคอฝักบัว นอกจากนี้ก็มีแผ่นไม้วงกลมเจาะรูตรงกลางอีก 1 ชิ้น สำหรับ ทำหัวฝักบัว

เมื่อได้ส่วนประกอบตามที่ต้องการแล้ว นำแผ่นไม้สี่เหลี่ยมคางหมู 4 ชิ้นมาประกอบ เข้าด้วยกันเพื่อทำตัวฝักบัว การยึดติดก็ใช้ปืนยิงตะปูหรือปืนยิงลวดยึดจากด้านในของฝักบัว เมื่อประกอบตัวฝักบัวเสร็จก็นำแผ่นไม้สี่เหลี่ยมจัตุรัส 1 ชิ้นมายึดติดเข้าที่ด้านล่างของตัวฝักบัว ใช้ปืนยิงตะปูหรือปืนยิงลวดยึดจากด้านใน

ขั้นตอนต่อมานำแผ่นไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า 2 ชิ้น และแผ่นไม้วงกลมเจาะรู มายึดติดประกอบเข้าด้วยกันเพื่อทำเป็นส่วนคอ และส่วนหัวฝักบัว ยึดติดเข้ากับตัวฝักบัว จากนั้นนำแผ่นไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า 2 ชิ้นมายึดติดกับด้านข้างของตัวฝักบัวเพื่อทำเป็นที่จับ นำแผ่นไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เหลือมาวัดขนาดให้เท่ากับความกว้างของด้ามฝัก บัว ทำการตัดให้พอดีจากนั้นยึดติดและประกอบกับที่แขวน ทำการตกแต่งหรือลบรอยเสี้ยนไม้ หรือลบคมไม้ที่เกิดจากการตัด ด้วยกระดาษทราย เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำกระถางต้นไม้ทรงฝักบัว จากวัสดุไม้เก่า

“การประกอบเป็นชิ้นงาน ควรเลือกใช้แผ่นไม้หลากสีสัน จะช่วยทำให้ชิ้นงานมีความโดดเด่นน่าสนใจมากขึ้น” เจ้าของผลงานแนะนำเคล็ดลับในการผลิตชิ้นงานให้ดูสะดุดตาน่าสนใจ

---@@@---

ใครสนใจ “งานประดิษฐ์จากไม้เก่า” ของเยาวลักษณ์ ติดต่อที่ โทร.08-1425-9452 หรือทางอีเมล kaokuek@gmail.com ซึ่งนี่ก็เป็น อีกหนึ่งงานประดิษฐ์จากวัสดุที่เป็นไม้ที่น่าสนใจ และเป็นอีกตัวอย่างของการต่อยอดจากวัสดุและฝีมือที่ไม่ต้องลงทุนมาก แต่สร้างงาน-ทำเงินได้ เป็นอย่างดี.

ทึมา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=96869&categoryID=498

Sunday, October 24, 2010

แนะนำอาชีพ"ขายโยเกิร์ตสด"

"โยเกิร์ตสด”ปัจจุบันเป็นของกินเล่นของเด็กวัยรุ่นคนรุ่นใหม่คนทุกๆวัยซึ่ง มีประโยชน์ต่อร่างกายในการลดน้ำหนักและยังมีรสชาติอร่อยการทำขายจึงกลายเป็น อาชีพใหม่ในยุคนี้ซึ่งวันนี้ทีม“ช่องทางทำกิน”ก็มีข้อมูลอาชีพนี้มานำเสนอ เผื่อใครที่อยากทำอาชีพขายสินค้าแนวเพื่อสุขภาพอาจจะสนใจ...
---@@@---

อิ๊บ-วิไลรัตน์สกุลเจริญพรเจ้าของร้านมอแอนด์มอร์วัย26ปีขายโยเกิร์ตสดและ เต้าหู้นมสดย่านตลาดท่าน้ำนนทบุรีซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเพิ่งมาทำขายจริงจัง ได้3เดือนเหตุที่มาทำขายเพราะส่วนตัวก็เป็นคนขอบกินโยเกิร์ตและผลไม้มากๆและ ได้หัดทำกินเองมานานแล้วจนพอจะมั่นใจฝีมือจึงได้ทำขายด้วย

“เมื่อก่อนทำงานเป็นพนักงานโรงแรมและก็ออกมาทำร้านกาแฟซึ่งเป็นธุรกิจส่วน ตัวแต่ทำเลไม่ดีและคู่แข่งมากจนสู้ไม่ไหวต่อมาจึงเปลี่ยนมาขายโยเกิร์ตสดตาม ที่ตนเองชอบ”เจ้าของร้านนี้กล่าว

อาชีพนี้การลงทุนอุปกรณ์ครั้งแรกอิ๊บบอกว่าประมาณ15,000-20,000บาทโดยที่ ร้านใช้ลังไม้สำหรับใส่ผลไม้สดซึ่งมีราคาค่อนข้างแพงเพราะทำมาจากไม้สักนอก จากนี้ที่ต้องมีเพิ่มเติมอีกคือตู้ฟรีซผลไม้สำหรับเก็บผลไม้สดที่ใช้ซึ่ง บางอย่างเป็นของที่ต้องสั่งนำเข้าผ่านบริษัทเอกชนโดยจะมีช่วงที่ผลไม้ของ เมืองนอกที่ต้องใช้ในการทำขาดดังนั้นต้องสั่งซื้อมาตุนไว้จำนวนหนึ่งซึ่ง ต้องใช้ตู้แช่ซึ่งเป็นตู้ฟรีซซึ่งมีราคาแพงเอาไว้ใช้ขณะที่ในส่วนของอุปกรณ์ อื่นๆก็มีอาทิหม้อต้มนมหม้อโยเกิร์ตโดยใช้ในเรตราคาทั่วๆไปไม่ได้แพงมากนัก

วิธีทำ“โยเกิร์ตสด”อิ๊บอธิบายว่าถ้าเริ่มต้นในขนาดเล็กๆใช้นมสดประมาณ200ซี ซีต้มในอุณหภูมิที่93องศาฯนาน5นาทีจากนั้นทิ้งไว้ให้อุ่นวัดอุณหภูมิที่ 45องศาฯหรือลองหยดนมที่หลังมือถ้าไม่ร้อนแสดงว่าใช้ได้จากนั้นใส่หัวเชื้อ โยเกิร์ตรสธรรมชาติลงผสมประมาณ3ช้อนโต๊ะตั้งทิ้งไว้8-12ชั่วโมงห้ามเปิด ฝานอกจากนี้อิ๊บยังบอกอีกว่าอุปกรณ์ทุกอย่างต้องล้างให้สะอาดหมดจดต้องสะอาด จริงๆจะได้ไม่ติดเชื้อซึ่งเวลาขายนั้นต้องทำให้โยเกิร์ตเย็นเสมอด้วยการ เตรียมน้ำแข็งไว้รอบๆหม้อโยเกิร์ต

วิธีขายก็เตรียมผลไม้สดและซอสผลไม้อย่างผลไม้ที่ร้านนี้เตรียมไว้ขายก็มี อาทิบลูเบอรี่,สตรอเบอรี่,ส้ม,กีวี,แอปเปิ้ล,กล้วยหอม,ลูกเกด,คอนเฟลกส่วน ซอสผลไม้จะจับคู่กับผลไม้แต่ละชนิดซึ่งก็มีซอสบลูเบอรี่,ซอสสตรอเบอรี่,ซอส ส้ม,ซอสกีวี,ซอสแอปเปิ้ลส่วนกล้วยหอม,ลูกเกด,คอนเฟลกจะใช้น้ำผึ้งแทน

ในการขายนั้นก็เตรียมถ้วยพลาสติกซึ่งใส่โยเกิร์ตสดได้ในปริมาณ160กรัมเริ่ม ด้วยราดซอสผลไม้ลงไปก่อนพอประมาณจากนั้นค่อยๆตักโยเกิร์ตสดลงไปประมาณค่อน ถ้วยแล้วใส่ผลไม้สดพอประมาณจากนั้นราดด้วยซอสผลไม้อีกทีเป็นอันเรียบร้อยขาย ในราคาถ้วยละ25บาท

นอกจากนี้อิ๊บยังให้สูตร“เต้าหู้นมสด”เพิ่มเติมโดยเป็นสูตรการทำเต้าหู้นมสด ประมาณ10ถ้วยมีส่วนผสมดังนี้คือนมสด1,200กรัม,น้ำตาล30กรัม,ผงวุ้น3กรัม(อาจ มากกว่านี้หน่อยก็ได้)และนมสดพาสเจอไรซ์1กระป๋องนอกจากนี้อาจจะใส่กลิ่น วานิลลาเพิ่มเติมด้วยก็ได้

วิธีทำนำนมสดตั้งไฟอ่อนๆหมั่นคนพออุ่นๆแล้วจึงค่อยนำผงวุ้นใส่ลงไปแล้วหมั่น คนเหมือนเดิมตั้งไฟอีกประมาณ15นาทีสังเกตว่าน้ำนมจะใสไม่มีเกล็ดผงวุ้นลอย อยู่จากนั้นก็ใส่น้ำตาลลงไปคนจนน้ำตาลละลายหมดแล้วปิดไฟรอให้เย็นสักครู่ แล้วจึงตักใส่พิมพ์สี่เหลี่ยมและรอจนกว่าจะแข็งตัวหรือจะนำใส่ตู้เย็นก็ได้ เพื่อให้แข็งเร็วขึ้นเมื่อเต้าหู้นมสดแข็งตัวแล้วจะเป็นสี่เหลี่ยมชิ้นเล็กๆ จากนั้นอาจจะนำผลไม้สดหรือแช่อิ่มราดบนเต้าหู้นมสดแล้วก็นำนมสดตราหมีราด หน้าอีกทีก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแบ่งขายเป็นถ้วยๆน้ำหนักถ้วยละ120-150กรัม ขายในราคาถ้วยละ20บาท

---@@@---

ร้านขาย“โยเกิร์ตสด”และเต้าหู้นมสดของอิ๊บ-วิไลรัตน์เปิดขายวันจันทร์-ศุกร์ (หยุดเสาร์-อาทิตย์)
เวลา16.00-20.00น.โดยร้านอยู่ที่ตลาดท่าน้ำนนท์ใกล้หอนาฬิกาตรงข้ามกับวุฒิ ศักดิ์คลินิกหมายเลขโทรศัพท์คือ08-6892-9310และ08-7072-4290หรือดูข้อมูลที่ เฟซบุ๊กMOOMOREก็ได้

แนะนำอาชีพ."ขายแปะก๊วยมะพร้าว"

มหวานเย็นหรืออาหารหวานก็เป็นสินค้าที่อยู่ในความต้องการของผู้บริโภคจำนวน ไม่น้อยตามตรอกซอกซอยมีให้เห็นเกลื่อนตาหรือแม้กระทั่งร้านขายเมนูอาหารคาว อาทิ ข้าวราด แกงก๋วยเตี๋ยว ยังต้องมี เมนูหวาน ติดร้านไว้เอาอกเอาใจ ลูกค้ายิ่งเป็นของที่ดี ต่อสุขภาพ ก็จะเป็นการเรียกลูกค้าให้เข้าร้านอีกทางหนึ่งด้วยและ “แปะก๊วยมะพร้าวอ่อน-แปะก๊วยรากบัว” ก็เป็นหนึ่งใน “ช่องทางทำกิน” ได้...

---@@@---

“แปะก๊วยมะพร้าวอ่อน-แปะก๊วยรากบัว” นี้นอกจากกินแล้วทำให้ สดชื่น เย็นกาย เย็นใจ ยังมีคุณค่าทางอาหารที่น่าสนใจ เม็ดแปะก๊วย นั้นมีสรรพคุณ บำรุงสมอง บำรุงไต ช่วยให้ เลือดลมหมุนเวียน ได้สะดวกและ รากบัว ก็ช่วย แก้ไข้ แก้พิษร้อน ในกระหายน้ำ เป็นยาเย็น แก้พิษอักเสบ แก้พิษฝีต่างๆ

หนุ่ม-วริทธิ์นันท์ มานะโรจน์ ทำแปะก๊วยมะพร้าวอ่อน-แปะก๊วยรากบัวสูตรโบราณขาย เจ้าตัว เล่าถึงจุดเริ่มต้นของอาชีพนี้ให้ฟังว่าจากเดิมที่ไม่รู้ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ ได้ลองมองจากสิ่งของใกล้ตัวหลายๆอย่างบางอย่างมองแล้วก็คิดว่าถ้านำมาทำเป็น อาชีพก็คงจะเข้ารอยเดิมอีกคือไม่ประสบความสำเร็จจึงเปลี่ยนความคิดว่าน่าจะ ลองเอาของกินที่ตัวเองชอบมาเป็น จุดสร้างอาชีพในที่สุดก็มาลงที่ แปะก๊วยมะพร้าวอ่อน และรากบัวซึ่งเคยซื้อกินแล้วไม่ถูกใจ จึงเอาสูตรที่ได้จากญาติผู้ใหญ่มาทำกินเอง อร่อยกว่าเยอะจึงลองทำออกขายโดยการลองที่ตลาดตอนเย็นและตลาดเช้าคนซื้อไปชิม ปรากฏว่าได้รับคำชมจึงเป็นการเพิ่มความมั่นใจและตัดสินใจทำออกขายจริงจังใน ที่สุดจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ทำมาประมาณ3ปีแล้ว

เจ้าของอาชีพนี้บอกว่าแหล่งของดีมีคุณภาพที่นำมาใช้ทำขายคือเยาวราชซึ่งการ ทำขายต้องให้ผู้ซื้อได้รับโภชนาการที่ดีเพื่อเป็นจุดดึงดูดที่สำคัญต้องเตรี ยมของแบบสดใหม่ทุกวันไม่มีค้างคืนเมื่อลูกค้าถูกใจก็จะกลายเป็นลูกค้าประจำ โดยสำหรับราคาขาย แปะก๊วยมะพร้าวอ่อน-แปะก๊วย รากบัวคือถุงละ 20 บาท

การขาย “แปะก๊วยมะพร้าวอ่อน-แปะก๊วยรากบัว” สิ่งที่ต้องเตรียมวัตถุดิบหลักๆก็มี...เม็ดแปะก๊วย, น้ำตาลทราย, มะพร้าวน้ำหอม, รากบัวสดและน้ำสะอาดส่วนอุปกรณ์ก็เป็นพวก...หม้อสเตนเลส, เตาแก๊ส, สากหิน, ทัพพี, ผ้าขาวบาง, ถาด, มีด, กะละมังและเครื่องมืออื่นๆที่สามารถหยิบยืมเอาได้จากในครัว

ขั้นตอนการทำ“แปะก๊วยมะพร้าวอ่อน-แปะก๊วยรากบัว”ก่อนอื่นเม็ดแปะก๊วยต้องนำ ไปคั่วกับไฟอ่อนสักครู่แล้วนำมากะเทาะเปลือกแข็งออกให้หมดด้วยสากหินเม็ดแปะ ก๊วยจะมีเปลือกสีน้ำตาลบาง ๆ ติดอยู่ให้นำไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่เสร็จแล้วรูดเอาเปลือกสีน้ำตาลบาง ๆ ออกล้างให้สะอาดจากนั้นเอาไม้เสียบลูกชิ้นปิ้งแยงเอาไส้ขมๆออก(แกนไส้คล้าย กับแกนเม็ดบัว)ล้างให้สะอาดอีกครั้งก่อนจะนำไปต้มน้ำทิ้งประมาณ 3 ครั้งเพื่อให้แปะก๊วยสุกและนิ่มพอดี

นำน้ำสะอาดและน้ำตาลทรายใส่หม้อตั้งไฟปานกลางเพื่อทำน้ำเชื่อมเสร็จแล้วนำ มากรองด้วยผ้าขาวบางทิ้งให้เย็นก่อนจะนำตั้งไฟอีกครั้งนำเม็ดแปะก๊วยที่ เตรียมไว้ใส่ลงไปต้มให้เดือดชิมดูให้ออกรสหวานอ่อนๆเสร็จแล้วยกลงตั้งพักไว้

ต่อไปเป็นการทำรากบัวนำรากบัวสดมาล้างให้สะอาดปอกเปลือกให้หมดก่อนจะนำมา หั่นเฉียงๆให้ยาวไม่เกิน 21/2 นิ้วหนาประมาณ 1/4 นิ้วเสร็จแล้วนำรากบัวใส่หม้อเติมน้ำให้ท่วมรากบัวต้มให้เดือดขั้นตอนนี้ใช้ เวลานานพอสมควรพอน้ำงวดลงรากบัวจะนิ่มลงใส่น้ำตาลทรายเคี้ยวต่อไปประมาณ 1 ชม. รากบัวที่ได้จะมีความนุ่มเหนียวหนึบอร่อย

ระหว่างเคี่ยวรากบัวให้นำมะพร้าวน้ำหอมมาเฉาะเอานำออกใส่ภาชนะสะอาดที่มีผ้า ขาวบางปิดปากมัดพอให้แน่นเพื่อกรองเศษต่าง ๆ ออกเติมน้ำตาลทรายลงไปนิดให้พอออกรสหวานคนให้ละลายดีผ่ามะพร้าวออกเป็นสอง ส่วนใช้ช้อนหรือภาชนะถนัดมือตักเนื้อมะพร้าวใส่ภาชนะที่เตรียมไว้เท่านี้ก็ เป็นอันพร้อมขาย

ขั้นตอนการขายตักเม็ดแปะก๊วยพร้อมน้ำเชื่อมใส่ถุงกรณีเป็นแปะก๊วยมะพร้าว อ่อนก็ใส่ตามด้วยน้ำและเนื้อมะพร้าวส่วนแปะก๊วยรากบัวก็ทำวิธีเดียวกันแต่ ใส่รากบัวผูกปากถุงให้แน่นแช่ในลังโฟมใส่น้ำแข็งนำออกขายได้เลยโดยจุดเด่น ของแปะก๊วยมะพร้าวอ่อนและแปะก๊วยรากบัวของคุณหนุ่มนั้นจะอร่อยกลมกล่อมไม่ หวานมากกำลังพอดีๆแปะก๊วยมะพร้าวอ่อนก็มีกลิ่นหอมของมะพร้าวอ่อนหอมชื่นใจดี และไม่ขม

---@@@---

“แปะก๊วยมะพร้าวอ่อน-แปะก๊วยรากบัว”เจ้านี้วันจันทร์ขายที่การไฟฟ้าบางกรวย ,วันอังคารขายที่กระทรวงการคลัง,วันพุธขายที่กระทรวงสาธารณสุข,วันพฤหัสฯขาย ที่โรงงานยาสูบ,วันศุกร์ขายที่กระทรวงพาณิชย์ส่วนวันหยุดราชการขายที่กรมชลฯ และตลาดใหม่นอกจากนี้ยังทำเงินเพิ่มจากการรับจัดเลี้ยงงานสัมมนาต่างๆด้วย ซึ่งหากใครสนใจไปหาร้านไม่เจอสอบถามได้ที่โทร.08-6057-3982,08-0900-4874

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=99869

Sunday, September 19, 2010

แนะนำอาชีพ"เครปไม่จำกัดไส้"

ย่านสยามสแควร์มีร้านขาย “เครป” ริมทางร้านหนึ่ง มีลูกค้าต่อแถวซื้อไม่ขาดสายจนทำขายแทบไม่ทัน มองไปมองมาก็เห็นจุดดึงดูดลูกค้า คือเขาขายราคาเดียว “20 บาท” จะใส่ไส้กี่อย่างก็ได้ไม่จำกัด ไม่คิดราคาเพิ่ม โดยทางร้านเขาบอกว่าถ้าขายของได้ยังไงก็ไม่ขาดทุน ซึ่งก็เป็นรูปแบบ “ช่องทางทำกิน” ที่น่าคิด...

คำนวณ สิงห์นอก ชาวจังหวัดอำนาจเจริญ วัย 43 ปี ปัจจุบันยึดอาชีพขายเครป หรือเครปญี่ปุ่น ที่ย่านสยามสแควร์กลางกรุงเทพฯ ขายมานาน 6-7 ปีแล้ว โดยเจ้าตัวเล่าว่า เคยผ่านงานมาหลากหลายแบบ ทั้งใช้แรงงาน ค้าขายหลายอย่าง จนมาลงตัวที่ขนมเครปนี้ ซึ่งไปซื้อสูตรมาในราคาหลายพันบาท แต่เอาเข้าจริงเมื่อนำสูตรมาทำขายแล้วยังไม่ค่อยดี จึงต้องมีการดัดแปลงสูตรเองใหม่ จนได้เป็นสูตรแป้งที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

การลงทุนร้านเครปครั้งแรก คำนวณบอกว่าในเงินประมาณ 20,000 บาท ซึ่งกับรายได้ถ้าลงทุนค่าวัตถุดิบต่าง ๆ ประมาณ 1,700-1,800 บาท และขายได้หมด จะมีรายได้ก่อนหักทุนวันละประมาณ 3,000 บาท

วัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ทำไส้เครปนั้นจะมี 10 กว่าอย่างขึ้นไป ในส่วนที่เป็นของคาว ก็เช่น หมูหยอง, น้ำพริกเผา, ปูอัด, แฮม, ไส้กรอก, ไข่ไก่ ในส่วนไส้หวาน และผลไม้ เช่น ลูกเกด, แยมสตรอเบอรี่, แยมบลูเบอรี่, ครีมวานิลลา, กล้วยหอม และส่วนที่แต่งหน้าเครปก็จะมี ซอสมายองเนส, ซอสช็อกโกแลต, ซอสพริก, ซอสมะเขือเทศ, เนย, ซอสถั่วเหลือง ซึ่งคำนวณจะซื้อสัปดาห์ละครั้งที่ย่านสำเพ็ง ซึ่งจะได้ของครบทุกอย่าง

สำหรับแป้งเครปนั้น สูตรของคำนวณจะมีส่วนผสมประกอบด้วย แป้งข้าวเจ้า 1 กก., แป้งข้าวโพด 2 ช้อนชา, น้ำเปล่า 4 กระป๋อง, นมสด 1-2 ช้อนโต๊ะ, ไข่ไก่ 1-2 ฟอง, หัวนมผง และผงแป้งกรอบ อย่างละพอประมาณ นำส่วนผสมมาทำการผสม-คนทุกอย่างให้เข้ากัน โดย ต้องระวังอย่าให้ส่วนผสมแป้งเป็นเม็ด

การทำขาย เริ่มจากเตรียมอุ่นเตาให้ร้อน สังเกตจากการสะบัดน้ำลงไปทดสอบดูว่าน้ำเดือดหรือไม่ ถ้าน้ำเดือดก็แสดงว่าเตาร้อนแล้ว จากนั้นก็ตักส่วนผสมแป้งประมาณ 1 ทัพพี หยอดลงบนเตา เกลี่ยด้วยไม้เครปให้เป็นรูปวงกลม โดยการหมุนไม้เครปไปรอบ ๆ รัศมีเตา ปลายข้างหนึ่งอยู่จุดศูนย์กลางเตา จะทำให้ได้เครปที่กลมสวย และยังมีเคล็ดลับเพิ่มเติมเล็กน้อยคือ ทาเนยเล็กน้อย จะทำให้แป้งไม่ติดกระทะ

เกลี่ยแป้งแล้วก็รอสักพัก พอแป้งใกล้สุกให้ทาเนยให้ทั่วแผ่นแป้ง แล้วจึงค่อยเติมไส้ที่ลูกค้าต้องการ โดยทาหรือเกลี่ยไส้ทั่วแป้งเครป หรือถ้าไส้เป็นชิ้นหนา เช่น ไส้กรอก แฮม ทูน่า ควรวางเพียงครึ่งเดียวของแผ่นแป้ง จะพับแป้งได้สะดวกกว่า ซึ่งที่ร้านของคำนวณนั้นลูกค้าสามารถใส่ไส้กี่อย่างก็ได้ในราคาเดียวคือ 20 บาท

คำนวณบอกว่า จากประสบการณ์การขายนั้น สามารถแบ่งประเภทของไส้ที่ลูกค้ามักจะใส่ประจำได้ 2 ประเภท ได้แก่ ไส้คาว คือ หมูหยอง, น้ำพริกเผา, ปูอัด, แฮม, ไส้กรอก, ไข่ไก่ ซึ่งไส้คาวนี้จะโรยหน้าด้วยซอสพริก ซอสมะเขือเทศ มายองเนส และไส้หวาน-ผลไม้ จะเป็นจำพวก กล้วยหอม, ลูกเกด, แยมสตรอเบอรี่, แยมบลูเบอรี่, ครีมวานิลลา และแต่งหน้าด้วยซอสมายองเนส, ซอสช็อกโกแลต นอกจากนี้ยังมีไส้คาวที่คล้ายไส้ขนมโตเกียว เช่น ตอกไข่ไก่ใส่ ละเลงให้ทั่ว รอให้สุก แล้วราดซอสถั่วเหลือง ซึ่งลูกค้าก็นิยมสั่งกินจำนวนไม่น้อย

เมื่อใส่ไส้เครปลงบนแป้งเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้ที่แซะขนม หรือเกรียง ทำการแซะขอบแป้ง จากนั้นพับครึ่งแป้งก่อน แล้วจึงพับประกบด้านซ้าย ขวา แล้วใส่ซองเครปที่ทำจากกระดาษที่เตรียมไว้ ก็พร้อมขาย

ทั้งนี้ นอกจากกรณีร้านเครปของคำนวณแล้ว สำหรับบ้านเราเรื่องการใส่ไส้เครป และการตกแต่งเครป อาจถือได้ว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเลยทีเดียว ไส้เครปที่คนไทยนิยมรับประทาน และร้านเครปส่วนใหญ่จะทำขาย ก็มีอาทิ ไส้ครีมกล้วยหอม และเนยถั่ว, ไส้ช็อกโก แลตเหลว, ไส้ครีม สังขยาใบเตย, ไส้แฮมไก่ ทูน่า หรือไส้กรอก ใส่ซอสมะเขือเทศ และมายองเนส, ไส้หมูหยอง น้ำพริกเผา, ไส้แยมต่าง ๆ เช่น แยมสตรอเบอรี่ แยมส้ม, ไส้ผลไม้ต่าง ๆ เช่น ลูกเกด กล้วยหอม และไส้มะพร้าว โรยน้ำตาล ซึ่งการขายเครปก็ต้องพิจารณาสิ่งที่ลูกค้าชอบให้ดี

สำหรับร้านเครปของคำนวณ เมื่อมีการเลือกใช้ไส้ที่ลูกค้าในย่านที่ทำขายถูกใจ และมีจุดดึงดูดที่การขายราคาเดียว คือ 20 บาท กิจการก็ไปได้ด้วยดี มีรายได้ที่น่าสนใจ และเป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าพิจารณา

ร้าน เครป 20 บาท ของคำนวณที่ย่านสยามสแควร์กลางกรุง เป็นร้านรถเข็น ขายอยู่ริมถนน ฝั่งตรงข้ามห้างสยามเซ็นเตอร์ ใกล้ ๆ กับสะพานลอยคนข้าม ขายวันอังคารถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป โดยจะหยุดทุกวันจันทร์ ใครสนใจชิมเครปเจ้านี้ หรือสนใจเรื่องการขายเครปแบบของคำนวณ ก็ลองไปดูกัน.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=80410&categoryID=525

แนะนำอาชีพ"ถุงทองทอด"

อาหารเรียกน้ำย่อยยอดนิยมของคนไทยของทานเล่นมีอยู่มากมายหลายอย่างเช่น เปาะเปี๊ยะสด-ทอดปั้นขลิบไส้ปลา,ข้าวเกรียบปากหม้อ,สาคูไส้หมู,ขนมเบื้องญวน ,ช่อม่วงฯลฯแต่ถ้าเอ่ยถึง“ถุงทองทอด”บางคนอาจทำหน้างงๆสงสัยว่าคืออะไรหน้า ตาเป็นอย่างไรวันนี้ทีม“ช่องทางทำกิน”จึงนำข้อมูลอาชีพการทำ-การขายถุงทอง ทอดซึ่งเป็น“อาหารว่างชื่อมงคล”ของคนไทยมานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...

สะคราญผ่องนราหรือเจ๊ต่ายทำ“ถุงทองทอด”ขายอยู่ย่านบ้านพักรถไฟกม.11เจ้าตัว เล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่าที่บ้านมีอาชีพขายของชำมานานหลายสิบปีแล้ว พอดีลูกสาวเรียนจบมาแล้วยังไม่มีงานทำผู้เป็นป้าได้สูตรถุงทองทอดมาจาก เพื่อนจึงเอาสูตรมาให้หลานสาวลองทำดูเผื่อจะทำขายระหว่างรองานโดยคุณยาย(แม่ ของเจ๊ต่าย)ก็มีฝีมือในการทำอาหารจึงนำสูตรดังกล่าวมาลองฝึกทำให้หลานสาวดู แต่สูตรถุงทองที่ได้มารสชาติยังไม่ถูกใจจึงมีการดัดแปลงสูตรตามแบบที่ชอบ เมื่อทุกอย่างลงตัวก็เริ่มทำขายปรากฏว่ากระแสตอบรับดีมากอาจเพราะหาทานยากดู แปลกใครเห็นก็สนใจจึงซื้อไปชิมกัน

ต่อมาลูกสาวได้งานเป็นเลขาฯอยู่บริษัทปูนซิเมนต์ก็เสียดายเพราะลูกค้าติดมาก ทำถุงทองทอดขายวันละ1,000-1,200ถุงขายแต่เช้าไม่เกิน10.00น.ก็หมดจึงรับช่วง ทำขายต่อจากลูกสาวและยังเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าโดยเพิ่มเปาะเปี๊ยะทอด ด้วยซึ่งใช้วัตถุดิบตัวเดียวกันกับการทำถุงทองทอดและยังทำทอดมันปลากรายขาย ด้วยก็ขายดีจนต้องซื้อเครื่องตีปลามาตีเองเรียกว่าสินค้าที่ร้านขายดีทุกตัว พอเห็นเงินมันก็สนุกจึงขยับขยายที่ขายเพิ่มมาตรงหลังปตท.สำนักงานใหญ่ขาย จันทร์-ศุกร์เวลา06.00–12.00น.

สำหรับการทำ“ถุงทองทอด”อุปกรณ์หลักๆที่ต้องใช้ก็มี...เตาแก๊ส,กระทะ,ทัพพี ,ตะแกรง,กระชอน,กะละมัง,ถาดสเตนเลส,เขียง,ครกและเครื่องมืออื่นๆที่สามารถ หยิบยืมเอาได้จากในครัว

วัตถุดิบ/ส่วนผสมประกอบด้วย...แผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะ(ขนาด4นิ้ว),หมูสับติดมัน ,มันแกวสับละเอียด,แครอทต้ม(หั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ),พริกไทย,รากผักชี ,กระเทียม,ซีอิ๊วขาว,น้ำตาลทราย,ต้นหอมหั่นเส้นตามยาว(สำหรับมัดปากถุง)และ น้ำมันสำหรับใช้ทอด

ขั้นตอนการทำถุงทองทอดเริ่มจากการทำ“ไส้”ถุงทองก่อนเป็นอันดับแรกโดยการเอา รากผักชีกระเทียมพริกไทยเกลือป่นมาใส่รวมกันในครกแล้วโขลกให้ละเอียดเสร็จ แล้วนำไปผสมกับหมูสับติดมันที่เตรียมไว้เคล้าพอให้ส่วนผสมเข้ากันทั่วจาก นั้นนำมันแกวสับละเอียดและแครอทต้มสุกที่เตรียมไว้ใส่ตามลงไปคลุกเคล้าส่วน ผสมให้ทั่วอีกครั้งปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและน้ำตาลทรายนิดหน่อยใช้มือนวดส่วน ผสมให้เข้ากันจนเหนียวจากนั้นใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำแล้วบิดหมาดๆคลุมพักเอาไว้

นำต้นหอม(หรือขึ้นฉ่ายก็ได้)ที่หั่นตามยาวโดยยาวประมาณ5นิ้วมาแช่น้ำร้อน 5นาที(เพื่อให้เกิดความอ่อนตัวจะง่ายต่อการใช้มัดปากถุงทอง)แล้วนำขึ้นมาพัก ให้สะเด็ดน้ำ

พอไส้เสร็จแผ่นแป้งพร้อมก็เตรียมห่อถุงทองได้เลยโดยตักไส้ที่ทำเตรียมไว้ใส่ ลงบนแผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะไม่ต้องมากประมาณ1ช้อนชาครึ่งใช้มือจับริมแป้งขึ้นมา จีบค่อยๆจับจีบไปรอบๆให้มีลักษณะคล้ายถุงเสร็จแล้วเอาต้นหอมมาจับผูกสัก2ที ไม่ต้องแน่นมากเอาแค่ไม่หลุดก็พอทำเช่นนี้ไปจนหมด

ตั้งกระทะน้ำมันร้อนจัดด้วยไฟปานกลางก่อนจะหรี่ไฟลงเหลือครึ่งหนึ่งจากนั้น จึงนำถุงทองที่เตรียมไว้ใส่ลงไปทอดเวลาทอดกดให้ถุงทองจมน้ำมันมิฉะนั้นปาก ถุงจะบานเป็นดอกไม้ใกล้โรยดูไม่สวยทอดจนถุงทองสุกมีสีเหลืองทองก็ตักขึ้นพัก ไว้ให้สะเด็ดน้ำมันเพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ

เจ๊ต่ายเผยเคล็ดลับการทอดถุงทองเพิ่มเติมว่าจะให้ถุงทองสวยต้องทอดน้ำมัน ท่วมกลีบถุงจะได้บานเต็มที่มีสีสม่ำเสมอหากใครมือใหม่ควรทอดทีละน้อยไม่งั้น จะกลับไม่ทันถุงทองจะไหม้เสียก่อน

“ถุงทองทอด”นี้ทานกับน้ำจิ้มเปาะเปี๊ยะหรือน้ำจิ้มบ๊วยหรือจะเป็นซอสศรีราชา ก็อร่อยไปอีกแบบและต้องมีผักสดเช่นแตงกวา,ใบโหระพา,ผักกาดหอมทานแกล้มด้วยจะ ยิ่งอร่อยครบเครื่อง

ราคาขายถุงทองทอดคือ6ชิ้นหรือ6ถุงราคา20บาทส่วนปอเปี๊ยะทอดที่เจ๊ต่ายทำขาย ด้วยราคาคือ5ตัว20และทอดมันปลากรายขาย8ชิ้น20บาท

“ถุงทองทอด”นี้ยังเหมาะสำหรับงานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆซึ่งเจ๊ต่ายก็รับสั่งทำ ไปออกงานนอกสถานที่ด้วยโดยติดต่อได้ที่โทร.08-0202-6349และ0-2936-2076ซึ่ง ตรงนี้ก็เป็นช่องทางสร้างรายได้เพิ่มเติมอีกส่วนจากการทำ-การขายถุงทองทอด ใครสนใจอาชีพนี้ก็ลองฝึกฝนทำกันดูตามข้อมูลที่ว่ามา.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=91213&categoryID=525

แนะนำอาชีพ"ห่อหมกพุดดิ้ง"

"ห่อหมก” เป็นอาหารไทยโบราณที่มีการทำขายในหลายแหล่ง ทั้งริมทางข้างถนน ตลาดนัด ร้านอาหาร ภัตตาคาร ราคาก็มีแพงบ้างถูกบ้างตามวัตถุดิบ ฝีมือ และทำเล และยุคนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนภาพของห่อหมกให้ดูทันสมัย ขายได้ในทุก ๆ ทำเล แม้แต่ตามโรงแรมหรู หรือห้างสรรพสินค้า มีการปรับเปลี่ยนภาชนะให้ดูทันสมัย ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำการขายห่อหมกในรูปแบบใหม่มานำเสนอ...

ต้น-ชวินบุตร ทรัพย์ภิญโญชัย เป็นเจ้าของร้านขาย “ห่อหมกพุดดิ้ง” เจ้าตัวบอกว่า ที่บ้านทำกิจการขายข้าวแกงมานานกว่า 20 ปี ซึ่งเป็นร้านเล็ก ๆ ที่ถนนทรงวาด ย่านเยาวราช ขายข้าวราดแกงธรรมดา แต่สิ่งที่แปลกไปคือ ห่อหมกเนื้อปู ที่เป็นสูตรคุณพ่อทำเอง มีรสชาติกลมกล่อม ซึ่งมีลูกค้าประจำมากมาย การทำห่อหมกขายจึงเป็นส่วนหนึ่งของกิจการครอบครัวที่ตนและพี่สาวได้ทำต่อ ๆ มา

“จุดที่เปลี่ยนมาเป็นห่อหมกพุดดิ้งคือการใช้ใบตองนั้นทำยาก ข้อเสียเยอะ เย็บไม่ดีใบตองก็แตก ใช้ไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องการหาวัสดุใหม่ที่หาง่าย และแทนใบตองได้ดี หาไปหามาก็มาลงตัวที่ถ้วยฟอยล์สำหรับใส่ขนม ซึ่งเมื่อเปลี่ยนวัสดุแล้ว ห่อหมกจึงคล้ายขนมฝรั่ง ส่วนคำว่าห่อหมกพุดดิ้งมาจากเนื้อห่อหมกที่จะเหนียว นุ่ม และเด้งเหมือนขนมพุดดิ้ง จึงเป็นสโลแกนที่ว่า “อร่อยแบบไทย สไตล์ยุโรป”

ห่อหมกที่ทำขายนั้น จะมี 4 แบบคือ ห่อหมกปู, ห่อหมกปลา, ห่อหมกกุ้ง, ห่อหมกหอยเชลล์ จุดเด่นคือจะใช้ของทะเลแบบสด ๆ คุณภาพดี และก็มีสูตรในการทำพริกแกงเองด้วย

อุปกรณ์ทำห่อหมกนั้น เป็นอุปกรณ์ทำครัวทั่วไป อาทิ เขียง, มีด, กระทะ, เตาแก๊ส และเครื่องครัวเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ที่ต้องมีพิเศษคือเครื่องปั่นสำหรับปั่นพริก และลังถึงสำหรับนึ่งห่อหมก

วัตถุดิบที่ใช้ ก็มีผักต่าง ๆ อาทิ กะหล่ำปลี และใบโหระพาสด เป็นใบผักรองพื้น ส่วนของสดมีกุ้งสด, ปูม้าก้อน, หอยเชลล์ และปลาช่อน ซึ่งกุ้งสดนั้นจะใช้กุ้งทะเลราคา กก.ละ 200 บาท, ปูม้าใช้เนื้อปูม้าก้อนไซซ์จัมโบ้ ราคา กก.ละ 350 บาท, หอยเชลล์ใช้หอยเชลล์แกะเปลือกอย่างดี ราคา กก.ละ 230 บาทและปลาช่อนใช้เนื้อปลาช่อนล้วน ราคา กก.ละ 200 บาท ซึ่งของสดนี้หาซื้อได้ที่ตลาดสะพานปลา ส่วนผักสดหาซื้อในตลาดสดทั่วไป

สำหรับเครื่องแกง ชวินบุตรบอกว่า ถ้าใช้กะทิสด 1 กก. ประกอบกับเครื่องอื่น ๆ ตามสูตร จะทำห่อหมกพุดดิ้งได้ประมาณ 10 ถ้วย ซึ่งสูตรเครื่องแกงที่จะว่ากันต่อไปนี้ก็ใช้ตะไคร้, ข่าสด, ขิงแก่, พริกขี้หนู และผิวมะกรูด อย่างละ 20 กรัม โดยส่วนประกอบในส่วนของตะไคร้และข่าจะให้ความหอม ขิง และพริก จะให้ความเผ็ด ส่วนผิวมะกรูดให้รสชาติความเป็นแกง และดับกลิ่นคาวของสดด้วย ส่วนประกอบต่าง ๆ ถ้าทำในปริมาณมากก็ใช้เครื่อง ปั่นให้ละเอียด โดยหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อน ถ้าทำไม่มากใช้วิธีโขลกก็ได้

ขั้นตอนการผัดพริกแกง ใช้กะทิสด 1 กก. ใช้กะทิจากมะพร้าวห้าว ได้ความมัน ข้น และหวาน เทกะทิลงในกระทะ ใช้ไฟแรงปานกลาง เมื่อกะทิเริ่มร้อนค่อย ๆ ใส่เครื่องแกงลงไป ผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล ตามใจชอบ โดยเนื้อแกงกะทินี้ ชวิน บุตรย้ำว่า เนื้อแกงจะต้องข้นพอดี ๆ ไม่เหนียวไปและไม่ใสไป

เตรียมผักสด คือกะหล่ำปลีซอย ใบโหระพา ใส่ภาชนะ เทเนื้อพริกแกงลงคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วตักแบ่งใส่ถ้วยฟอยล์ที่เตรียมไว้ ซึ่งถ้วยฟอยล์นี้ ชวินบุตรบอกว่า ใช้ขนาด 3321 ซึ่งเป็นขนาดเรียกของถ้วยขนม

ถ้าเป็นห่อหมกกุ้ง จะใส่กุ้งสด 2 ตัว, ห่อหมกหอยเชลล์ ใส่หอยเชลล์ 2 ตัว, ห่อหมกปู ใส่เนื้อปูม้าก้อนใหญ่ 2 ก้อน และก้อนเล็กอีก 2-3 ก้อน, ห่อหมกปลา ใส่เนื้อปลา 2 ชิ้น จากนั้นนำไปนึ่ง ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ก่อน ห่อหมกจะเริ่มพองตัว จึงราดกะทิสดลงบนหน้าห่อหมกเพื่อเป็นการแต่งหน้า

นอกจากนี้ก็ตกแต่งหน้ากะทิด้วยพริกสีต่าง ๆ เพื่อสร้างสัญลักษณ์ให้กับห่อหมก เช่น พริกชี้ฟ้าเหลืองสำหรับห่อหมกหอยเชลล์, ห่อหมกปูใช้พริกชี้ฟ้าแดง, ห่อหมกกุ้งใช้พริกชี้ฟ้าเขียวธรรมดา และห่อหมกปลาใช้ใบผักชีโรย จากนั้นนำไปนึ่งอีกครั้งให้สุกดี ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เป็นอันเสร็จ

ราคาขาย “ห่อหมกพุดดิ้ง” นั้น อยู่ที่ถ้วยละ 29-35 บาท ซึ่งต่อ 10 ถ้วย ขายหมดก็จะได้ 290-350 บาท มีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 250 บาทขึ้นไป ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลกินเจ ห่อหมกพุดดิ้งนี้ก็สามารถทำแบบเจได้ด้วย โดยใช้เห็ดต่าง ๆ แทนเนื้อสัตว์ อาทิ เห็ดฟาง เห็ดเข็มทอง และเห็ดหอม

ชวินบุตรเปิดร้านห่อหมกพุดดิ้ง ข้าวแกงทวิตเตอร์ อยู่ที่ถนนเจริญนคร 28 แขวงบางลำพูล่าง เขตคลองสาน กรุงเทพฯ เบอร์โทรศัพท์คือ 0-2860-1842 และ 08-6300-0613 ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00-14.00 น. ใครสนใจชิมรสชาติก็แวะเวียนไปได้ ซึ่งการทำห่อหมกขายในรูปแบบนี้ ในพื้นที่อื่น ๆ ยังมีช่องว่างให้ลองดู.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=92649

Sunday, July 4, 2010

แนะนำอาชีพ"ขายข้าวหมกไก่"

เป็นข้าวหมกไก่ สูตร อ.ไชยแสง
เครื่องปรุง

1.เนื้อสะโพก หรือน่องไก่ 1 กิโลกรัม
2.ข้าวหอมมะลิเก่า 1.5 กิโลกรัม
3.ผงข้าวหมกไก่ 1 ขวด
4.รากผักชี 3 ราก
5.กระเทียมสับ 3 หัว
6.พริกไทยดำโขลกหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
7.ซีอิ๊วขาว 2 ทัพพี
8.ซอสหอยนางรม 2 ทัพพี
9.โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
10.น้ำมันรำข้าว 1 ขวด

วิธีทำ

1.นำไก่ใส่หม้อต้มกับรากผักชี กระเทียม พริกไทยดำ ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม ผงข้าวหมกไก่ 2 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ 30 นาที

2.ซาวข้าวหอมมะลิให้สะอาดแล้วนำไปผัดกับน้ำมันรำข้าว ใส่ผงข้าวหมกไก่ 2 ช้อนโต๊ะ ผัดจนข้าวเหนียวหนึบติดกระทะ จึงเทข้าวที่ผัดใส่หม้อหุงข้าว

3.เทน้ำซุปต้มไก่ใส่หม้อหุงข้าวพอให้หุงข้าวได้ แล้วเทโยเกิร์ตตามลงไป ใช้ไม้พายคนข้าวกับน้ำซุปไปจนข้าวพองอืดเต็มหม้อ จึงใส่ไก่ลงหมกไว้ข้างล่าง

4.ปิดฝาหุงข้าวไปจนสุก จึงกดปุ่มหุงข้าวต่อไปอีก 15 นาที เมื่อเปิดฝาหม้อให้ใช้ทัพพีคุ้ยข้าวข้างล่างขึ้นมาเกลี่ยกับข้างบนจนทั่ว แต่อย่าให้เนื้อไก่แตก จะได้ข้าวหมกไก่หอมน่ากิน
ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=496&contentId=75657&hilight=%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%81

แนะนำอาชีพ"ทำโคมไฟจากแผ่นซีดีที่ไม่ใช้ "

แผ่นซีดีที่เราไม่ใช้แล้ว หรือแผ่นรองซีดีแบบใส ๆ ที่เรามีกันเกลื่อน อย่าทิ้งเปล่าให้ไร้ค่า สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ แถมยังช่วยลดขยะได้อีกต่างหาก

นิวัฒน์ สว่างศรี บอกถึงอุปกรณ์ที่ต้องตระเตรียมว่า เตรียมแผ่นซีดีไว้ให้ได้จำนวน 19 แผ่น, หัวแร้ง, กาวปืน, ชุดอุปกรณ์ไฟ, คัตเตอร์,กระดาษวาดแบบ เริ่มต้นด้วยการวาดแบบบนกระดาษก่อน โดยขีดแบ่งเป็นเว้นระยะความห่างให้เท่ากัน จะห่างมากหรือน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับเรา แต่ตามแบบที่นำมาเว้นความห่างที่ 1.5 เซนติเมตร เมื่อวาดแล้วจะได้ 18 เส้น

จากนั้นนำแผ่นซีดีใส 1 แผ่นมาวางบนแบบ จะเห็นลายเส้นชัดเจน ใช้หัวแร้งเจาะตามลายเส้นจากริมขอบซีดีเข้าไปประมาณ 1 เซนติเมตร จนครบทุกช่อง ถ้าอยากได้โคมไฟเล็ก ให้เจาะเข้าไปลึกกว่า 1 เซนติเมตร ใช้คัตเตอร์ตัดเก็บรายละเอียดส่วนเกินออกให้เรียบร้อย นำปืนกาวมาบีบใส่ตามช่องที่ใช้หัวแร้งเจาะไว้ แล้วนำแผ่นซีดีเสียบเข้าไปในร่อง ทำจนครบทั้งหมด ทิ้งไว้ให้กาวแห้ง เวลาเสียบแผ่นซีดี ควรให้แผ่นซีดีหันด้านไปในทิศทางเดียวกันด้วย

นำ หลอดไฟเกลียวขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางฐาน 1.5 เซนติเมตร มาประกอบเข้าไปตรงกลางของแผ่นซีดี ซึ่งหลอดไฟขนาดนี้จะใส่เข้าไปได้พอดีกับรูวงกลมของแผ่นซีดี นำไปใช้ห้อยแขวนที่ผนังหรือเพดาน เก๋ไปอีกแบบ.

ที่มาจาก http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=500&contentId=75635&hilight=%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%9F

แนะนำอาชีพ"ออกแบบเว็บไซต์ "

เว็บไซต์ที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมายหลายอย่าง ทั้งในแง่การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร แสดงข้อมูลสินค้าและบริการ ตลอดจนการค้าขายผ่านเว็บไซต์ ทว่าหลายคนอาจคิดว่าการจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองนั้นคงเป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่น้อย ทั้งที่จริงแล้วถ้าคุณมีความเข้าใจในวิธีการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์มาบ้าง จะรู้ว่าการสร้างเว็บไซต์สักหนึ่งเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

Adobe Dreamweaver CS เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีผู้นิยมนำมาใช้ในการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ เนื่องจากสามารถสร้างเว็บไซต์ได้หลากหลายรูปแบบ มีเครื่องมือหลายตัวที่ช่วยให้การสร้างเว็บไซต์ที่ซับซ้อนกลับกลายทำได้ง่าย

การสร้างเว็บไซต์ มีขั้นตอนที่เริ่มจากการสร้าง Home page เป็นหน้าแรกของเว็บไซต์ โดยเปิดโปรแกรมแล้วพิมพ์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเว็บของเรา แล้วสร้างลิงก์ไปหาเว็บเพจหน้าอื่น (ที่เวลาเอาเมาส์ไปวางแล้วเป็นรูปมือ) จากนั้นบันทึกตั้งชื่อ index.html แล้วสร้างเว็บเพจ ซึ่งเป็นจุดที่ลิงก์มาจากหน้า โฮมเพจ โดยป้อนข้อมูลเพื่อแสดงรายละเอียดจากจุดที่ลิงก์มา หลังจากนั้นก็ไปจดโดเมนเนมและเช่าพื้นที่ (Host) เพื่อนำข้อมูลไปฝากไว้ เพียงแค่นี้ก็จะได้เว็บไซต์เป็นของตัวเอง

จากประโยชน์และความต้องการใช้งานโปรแกรมดังกล่าว ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดนนทบุรี จึงเปิดอบรมหลักสูตรการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ด้วยโปรแกรม Adobe Dreamweaver CS โดยผู้เข้ารับการฝึก อบรมจะได้รับความรู้เกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาเว็บไซต์ การใส่เนื้อหาให้กับเว็บเพจและการใส่ภาพประกอบเว็บเพจ การสร้าง Hyperlink จัดหน้าเว็บเพจด้วย Table Layout และ Layer การสร้างฟอร์ม (Form) การแบ่งเว็บเพจด้วย Frame การใช้ Template การจัดรูปแบบเว็บเพจด้วย Cascading Style Sheet การแทรกมัลติมีเดียและโค้ดลงในเว็บเพจ การบริหารจัดการเว็บไซต์ โดยการอบรมจะมีการนำข้อมูลที่สร้างขึ้นเอาไปฝากบน Host จริง ซึ่งจะทำให้สามารถเปิดดูเว็บไซต์ได้จากทุกสถานที่ตลอดเวลา

ผู้ผ่านการฝึกอบรมสามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพเป็นนักออกแบบ และพัฒนาเว็บไซต์ (WEB MASTER) โดยค่าทำเว็บ ไซต์จะอยู่ที่ 200-2,000 บาทต่อหน้า ขึ้นอยู่กับเนื้อหาและความซับซ้อนของเว็บไซต์เว็บมาสเตอร์ เป็นอาชีพที่ใช้เครื่องมือน้อย เพียงมีเครื่องคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตจะนั่งทำที่บ้าน หรือที่ทำงาน ในเวลาใดก็ได้

อ่านต่อที่ http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=585&contentId=75649&hilight=%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A

Saturday, July 3, 2010

แนะนำอาชีพ‘ตกแต่งรถแต่งงาน’

อาชีพบางอาชีพนอกจากจะผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายแล้ว หากรู้จักต่อยอด พลิกแพลง ปรับให้ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมาย ก็สามารถที่จะเป็นช่องทางเสริมเพิ่มรายได้ให้อีกทาง อย่างเช่นบริการ “ตกแต่งรถแต่งงาน” ที่พลิกแพลงจากอาชีพประดิษฐ์โบว์ริบบิ้นห่อของขวัญ ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ...

ปรารถนา พินิจสารภิรมย์ เจ้าของงานบริการที่ต่อยอดจากอาชีพเดิมอย่างการรับผลิตริบบิ้นและโบว์ผูกของ ขวัญ เล่าว่า เดิมทีเป็นพนักงานบริษัทต่อมารู้สึกเบื่อจึงมองหาช่องทางในการทำอาชีพอิสระ คิดได้ว่าตนเองมีวัตถุดิบเช่นโบว์และริบบิ้นอยู่เป็นจำนวนมาก จึงลองประดิษฐ์ชิ้นงานและทดลองจำหน่ายทางอินเทอร์เน็ต ประกาศขายสินค้าตามฟรีเว็บไซต์ต่าง ๆ ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี

ส่วนอาชีพบริการ “แต่งรถแต่งงาน” ให้คู่บ่าวสาวนั้น ปรารถนาบอกว่า รับทำตรงนี้มาได้ประมาณ 1 ปีเศษ โดยได้แรงบันดาลใจจากการที่มีลูกค้ารายหนึ่งโทรฯเข้ามาสั่งสินค้า โดยเน้นว่าอยากได้ชิ้นงานที่มีรูปแบบไม่เหมือนใคร และอยากให้เป็นรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อที่จะนำไปเป็นของที่ระลึกและของ ขวัญสำหรับใช้ในงานแต่งงาน เมื่อส่งชิ้นงานที่ทำเสร็จให้กับลูกค้า ปรากฏว่าลูกค้าชอบมาก จึงมองว่าน่าจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ โดยสามารถใช้วัสดุและวัตถุดิบที่มีอยู่มาต่อยอด จึงรับบริการตกแต่งรถคู่แต่งงานเรื่อยมา

“ลูกค้าชอบใจมาก จึงคิดว่าน่าจะแตกไลน์ให้กับสินค้าได้ อีกทั้งปัจจุบันยังไม่ค่อยพบว่าในตลาดมีงานบริการด้านนี้ จึงตัดสินใจให้บริการรับออกแบบและประดิษฐ์โบว์ริบบิ้นหรือผ้าผูกรถสำหรับคู่ แต่งงาน ลูกค้าหลายคนก็งง ๆ ว่ามีอาชีพแบบนี้ด้วยหรือ”ปรารถนาไม่มีหน้าร้าน แต่อาศัยการขายสินค้าและบริการผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ที่ www.jjmalls.com/9060 ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่มาก แต่ก็ต้องมีเทคนิคในการเข้าถึงลูกค้าเช่นกัน โดยปรารถนาบอกว่า “คำขึ้นต้น” สำหรับให้ลูกค้า “ค้นหา” ในอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องสำคัญ ผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องหาคำที่คาดว่าลูกค้ามักจะใช้ในการค้นหา เป็นชื่อสำหรับสินค้าหรือบริการให้ชัดเจน เพราะจะเป็นการทำให้ลูกค้ามีโอกาสเสิร์ชหรือค้นหาเข้ามาถึงสินค้าและบริการ ของเราได้ง่ายขึ้น

สำหรับรูปแบบของชิ้นงาน มีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ขึ้นกับแบบและความต้องการของลูกค้า รูปแบบอาจไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก แต่จะแตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียดและวัสดุที่ใช้งานมากกว่า ทำให้ปรารถนาบอกว่า งานบริการด้านนี้กล้าพูดได้เลยว่าไม่มีทางตัน เพราะส่วนใหญ่จะออกแบบตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะไม่ค่อยซ้ำ เพราะลูกค้าก็ต้องการชิ้นงานที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

เป็นชิ้นงานที่สื่อความหมายได้เฉพาะตัว

เจ้าของไอเดียกล่าวต่อไปว่า แม้จะเป็นงานที่ดูทำไม่ยาก แต่ก็มีเรื่องที่ต้องคำนึงถึงและเป็นหลักสำคัญในการบริการและผลิตงานให้ ลูกค้า กล่าวคือ ชิ้นงานที่ตกแต่งต้องแน่นหนา ต้องอยู่ในสภาพแข็งแรงพร้อมใช้งาน ไม่หลุด หรือเสียหายเมื่อลูกค้านำไปใช้ เพราะเป็นงานมงคลและมีความเชื่อผสมอยู่ ถ้าชิ้นงานไม่แข็งแรงคงทน ก็จะมีผลต่อความรู้สึกของลูกค้า นอกจากนี้ ชิ้นงานก็ต้องเลือกใช้วัสดุที่จะไม่ไปทำอันตรายหรือไปสร้างความเสียหายให้ กับตัวรถด้วย เพราะชิ้นงานส่วนใหญ่จะต้องติดหรือผูกกับรถของลูกค้าตลอดเวลา

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้ประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขายหรือบริการ ซึ่งราคาก็เริ่มตั้งแต่ 500 บาท ไปจนถึง 4,000 บาท ขึ้นกับรูปแบบ ขนาด และวัสดุที่ใช้

อุปกรณ์ในการทำ เจ้าของงานงานบอกว่า มีน้อยชิ้นมาก อาทิ ปืนยิงกาวร้อนหรือกาวซิลิโคน, กรรไกร, คัทเตอร์, เข็มสำหรับเย็บผ้า ส่วนวัสดุในการทำประกอบด้วย ดอกไม้ผ้าชนิดต่าง ๆ, โบว์, ริบบิ้น, ตุ๊กตาสำหรับตกแต่ง (ใช้แทนสัญลักษณ์คู่แต่งงาน), โฟม, ผ้าลูกไม้ 2 ชนิด คือ ผ้าแพร และผ้าไหมแก้ว
ขั้นตอนการทำ หลังรับทราบความต้องการของลูกค้าก็มากำหนดรูปแบบ โดยส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นช่อดอกไม้ก็มักจะเป็นรูปหัวใจ เมื่อกำหนดรูปแบบได้แล้วก็เริ่มจากการนำตุ๊กตาที่ใช้เป็นสัญลักษณ์คู่แต่ง งานมาตกแต่งให้เข้ากับแนวคิดของลูกค้า หลังจากนั้นก็ทำการประดิษฐ์ช่อดอกไม้หรือรูปหัวใจโดยการนำดอกไม้ผ้ามายึดติด เข้ากับโฟมด้วยปืนยิงกาวร้อน เสร็จแล้วก็นำตุ๊กตาคู่รักประกอบลงไป จากนั้นนำโบว์หรือริบบิ้นมายึดติดเข้ากัน นำไปผูกหรือตกแต่รอบตัวรถที่จะใช้ในพิธีแต่งงาน เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“ลูกค้ามีทั้งที่ให้เราออกไปตกแต่งนอกสถานที่ และสั่งซื้อเข้ามาโดยให้เราจัดส่งไปในรูปของพัสดุ โดยลูกค้านำไปประกอบเอง” เจ้าของอาชีพบริการตกแต่งรถแต่งงานกล่าว

สนใจติดต่อปรารถนา ติดต่อที่บ้านทองจำรัส โทร.08-8493-8155, 08-9488-2951, 08-3781-1927 หรือที่ www.jjmalls.com/9060 และที่อีเมล์ miracle2551@gmail.com ซึ่งนี่ก็เป็นอีกอาชีพแปลก แต่เงินงาม โดยเมืองไทยยังทำอาชีพทำนองนี้ได้อีกหลากหลาย แล้วแต่ใครจะมีไอเดีย.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=75653

Sunday, May 2, 2010

แนะนำอาชีพ"ทำน้ำอบน้ำปรุง"

เทศกาลสงกรานต์หรือวันปีใหม่ไทย ใกล้จะมาเยือนอีกคราว และเป็นประเพณีปฏิบัติของคนไทยเช่นทุกปีจะต้องพาลูกจูงหลานไปรดน้ำดำหัวคน เฒ่าคนแก่ หรือผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่การรดน้ำดำหัวจะครบเครื่องแบบอย่างประเพณีนิยมได้นั้น ก็ต้องใช้น้ำอบไทยและน้ำปรุงเป็นส่วนประกอบสำคัญ เพราะน้ำอบไทยและน้ำปรุงนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของวันสงกรานต์แล้วยังนิยมใช้ ในการสรงน้ำพระและรดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่เป็นการเฉพาะ

ทว่า น้ำอบและน้ำปรุงมักมีราคาสูงขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่ถ้าสามารถทำใช้เองได้ก็คงจะดีไม่น้อย ด้วยเหตุนี้กระทรวงแรงงาน จึงได้เปิดอบรมหลักสูตรการทำน้ำอบไทยและน้ำปรุงให้กับผู้สนใจที่ต้องการทำ น้ำอบไทยและน้ำปรุงด้วยตนเอง เพื่อเป็นการอนุรักษ์ประเพณีไทย และลดค่าใช้จ่าย รวมถึงเป็น การสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวอีกด้วย

สำหรับหลักสูตรการฝึกอบรม 12 ชั่วโมง (2 วัน) ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้เรียนรู้ถึงส่วนผสม ขั้นตอนและกระบวนการทำน้ำอบไทยและน้ำปรุง เทคนิคการปรุงแต่งสีและกลิ่น คุณประโยชน์ของน้ำอบไทยและน้ำปรุง วิธีการเลือกวัตถุดิบในการทำ

ส่วนผสมน้ำปรุง

1.ใบเตย 2 กำมือ
2.แอลกอฮอล์ 1 ปอนด์
3.พิมเสน 1/2 กก.
4.หัวน้ำหอม (กลิ่นดอกไม้) 7 กลิ่น
5.ดอกไม้ที่

กลิ่นหอม (ที่แช่แอลกอฮอล์) เท่าที่หาได้

วิธีการทำน้ำปรุง

1. นำใบเตยล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำมาใส่ขวดขนาด 1 ปอนด์

2. นำแอลกอฮอล์ใส่ลงไปครึ่งขวดแล้วเขย่าประมาณ 1-2 ชั่วโมง ให้กลิ่นและสีไปอยู่ในน้ำแอลกอฮอล์ที่แช่

3. นำน้ำที่ได้กรองเอากากออก

4. นำพิมเสนบดให้ละเอียดตวงน้ำแอลกอฮอล์ที่แช่ดอกไม้อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะใส่ไว้ในภาชนะที่เตรียมไว้

5. เติมน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ลงไปคนให้ เข้ากัน

6. บรรจุใส่ภาชนะที่เตรียมไว้

อนึ่ง การทำน้ำอบไทย (ขนาด 40 ซีซี) จะมีต้นทุนประมาณ 40 บาท ขายขวดละ 45 บาท ขณะที่การทำน้ำปรุงมีต้นทุน (ขนาด 10 ซีซี) อยู่ที่ 60 บาท ราคาขาย 100 บาทต่อขวด

ท่านที่สนใจเข้ารับการอบรมฟรี สามารถสมัครหรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด นนทบุรี โทรศัพท์ 08-6775-7127 นายมนตรี อาจารย์ผู้ฝึกสอน หรือ 0-2595-4046-8.

แนะนำอาชีพ"ทำน้ำมันเหลือง"

เป็นที่ทราบกันดีว่าสมุนไพรไทย นับว่าเป็นสมุนไพรที่มีคุณภาพดีในระดับต้น ๆ และเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก เนื่องจากมีส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างศาสตร์การแพทย์แผนไทยและผลิตผลที่ได้จาก ท้องถิ่น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากน้ำมัน เหลืองด้วยแล้ว ต้องบอกว่าเป็นสมุนไพรที่มีผู้นิยมใช้กันมากมาย

ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดนนทบุรี เห็นช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับประชาชนที่ต้องการประกอบอาชีพอิสระ จึงได้เปิดฝึกอบรมหลักสูตรการทำน้ำมันเหลือง ทั้งนี้นอกจากเป็นการสร้างอาชีพแล้ว ยังช่วยให้ผู้ประกอบการลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจนวดแผนไทยได้ด้วย

อุปกรณ์การทำ

1. โหล 2. ฝาปิด 3. ไซรินจ์แก้ว 4. ขวดบรรจุ 5. ผ้าขาวบาง

ส่วนผสมสำคัญ

1. ฝาง 2. ดอกจันทน์ 3. กานพลู 4. ว่านน้ำ 5. ลูกกำจัด 6. โกฐศอ 7. เกสรดอกบัวหลวง 8. เมนทอล 9. พิมเสนการบูร 10. โกฐหัวบัว

กระบวนการผลิต

1. นำการบูร พิม เสน ผสมน้ำที่เตรียมไว้ คนให้ละลายพักทิ้งไว้

2. นำสมุนไพรทั้งหมดล้างและตากให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วนำมาหักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ในผ้าขาวบางแล้วมัดไว้นำไปใส่โหล

3. เมื่อน้ำที่ผสมไว้แล้วตกตะกอนให้นำเอาเฉพาะน้ำที่ใส เทใส่ลงในโหลที่มีผ้าขาวบางห่อสมุนไพรอยู่ แช่ทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน

4. นำฝางมาผ่าเป็นซีก ๆ ใส่ไว้อีกโหลหนึ่ง แล้วนำน้ำสมุนไพร ที่แช่ไว้มาเทใส่ในโหลฝางเพื่อที่น้ำสมุนไพรจะได้มีสีเหลืองเข้ม

5. บรรจุน้ำมันเหลืองที่ได้ใส่ขวดที่สวยงาม ก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการทำน้ำมันเหลือง

ลองดูนะครับ ถ้าท่านอยากลองหาอาชีพเสริมติดตัว สามารถสมัครฝึกอบรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดนนทบุรี กระทรวงแรงงาน หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ นายมนตรี ผู้ประสานการฝึกอบรม โทร. 08-6775-7124 หรือ 0-2595-4046-8.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=585&contentId=63006&hilight=%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87

Monday, April 19, 2010

แนะนำอาชีพ"แปรรูปน้ำมันมะพร้าว "

เป็นอาชีพที่เหมาะกับคนที่มีสวนมะพร้าว
น้ำมันมะพร้าว...น้ำมันสารพัดประโยชน์ที่อยู่คู่ไทยมานาน ด้วยเห็นถึงคุณประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าว ผศ.ดร.เพ็ญศรี ศรีวับ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย (มทร.ศรีวิชัย) วิทยาเขตนครศรีธรรมราชไสใหญ่ จึงคิดต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยการนำสาร สกัดจากพืช ผัก ผลไม้ มาเป็นส่วนผสมในการผลิตน้ำมันมะพร้าว

ผศ.ดร.เพ็ญศรี กล่าวว่า น้ำมัน มะพร้าวเป็นน้ำมันพืชจากธรรมชาติที่ปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ใด ๆ เจือปน จนได้รับการยกย่องว่า เป็นน้ำมันที่มีคุณค่า ต่อสุขภาพมากที่สุด เพราะมีการวิจัยพบว่า ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคติดเชื้อ ที่รักษาไม่ได้โดยยาปฏิชีวนะธรรมดา ทั้งยังป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และยังสามารถนำมาใช้เสริมความงามได้แทบทุกส่วนของเรือนร่าง

การผลิตน้ำมันมะพร้าวมี 2 ลักษณะคือ แบบสกัดร้อน ซึ่งจะทำให้สารที่มีประโยชน์บางชนิดถูกทำลายจากความร้อนในกระบวนการผลิตและ ถ้าเก็บไว้ระยะหนึ่งจะมีกลิ่นเหม็นหืนตามมา ส่วนการสกัดเย็น กระบวนการผลิตจะไม่ผ่านความร้อน จึงได้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จากธรรมชาติ 100% สีใส มีกลิ่นของมะพร้าวตามธรรมชาติ ไม่เหม็นหืน คงสภาพกรดคลอริคและวิตามินอีที่มีอยู่ในน้ำมันมะพร้าวไว้มากที่สุด

จุดเด่นของน้ำมันมะพร้าวของ มทร. ศรีวิชัย คือ จะใช้วิธีการสกัดเย็นและไม่มีส่วนผสมของสารเคมีเจือปน ทั้งยังมีการผสมสารสกัดจากสมุนไพร ผัก ผลไม้ เข้าไปในกระบวนการผลิตเพื่อช่วยเพิ่มสรรพคุณให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ ผลิตออกมากว่า 10 สูตร ในรูปแบบของการใช้รับประทานเพื่อสุขภาพ และเพื่อเสริมความงาม เช่น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ที่มีสารสกัดจากหอมแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระ รับประทานเป็นประจำ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นลดไขมันในเส้นเลือด สามารถป้องกันการติดเชื้อ และช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ที่มีสารสกัดจากไพล อุดมไปด้วยวิตามินอี ใช้นวดบริเวณใบหน้าและลำตัว ช่วยลดการอักเสบจากสิว ฝ้า จุดด่างดำ รอยแผลเป็น ทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัย อีกทั้งยังสามารถลดการปวดเมื่อย ข้อ เอ็นและกล้ามเนื้อ

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ที่มีสารสกัดจากแตงกวา นำมาอมในปากสัก 5 นาทีก่อนแปรงฟัน ช่วยกำจัดแบคทีเรียในช่องปากได้ …เป็นต้น

ผศ.ดร.เพ็ญศรี กล่าวว่า ในอนาคตจะพัฒนาน้ำมันมะพร้าวให้เป็นผลิตภัณฑ์โลชั่นบำรุงผิว และยากำจัดสิว ฝ้า ที่ราคา ไม่แพงและมีคุณภาพดีด้วย

น้ำมันมะพร้าวเป็นภูมิปัญญาไทยที่ ปู่ย่าตายายสั่งสมสืบทอดกันมาชั่วลูกชั่วหลาน ...ผลผลิตจากธรรมชาติย่อมให้คุณค่ามากกว่าทำลาย ฤาจะเป็นเช่นคำกล่าวที่ว่า “สูงสุดคืนกลับสู่สามัญ”

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=339&contentID=60558

Tuesday, April 13, 2010

แนะนำอาชีพ'กระเป๋าจากเศษหนัง'

การผลิตสินค้าให้สามารถขายได้ในราคาไม่แพง ได้รับความนิยมเพราะมีแบบเฉพาะ หรือเอกลักษณ์ของตนเอง และยังสามารถตามแฟชั่นได้ นอกจากความสามารถในการออกแบบแล้ว การใช้วัสดุหรือวัตถุดิบที่มีคุณภาพอย่างมีประสิทธิภาพก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งทีม “ช่องทางทำกิน” ได้พบตัวอย่างหรือต้นแบบของหลักคิดดังกล่าว และนำมาเล่าสู่กันฟัง กับสินค้า “กระเป๋าจากเศษหนัง”

ปทุมทิพย์ เอี่ยมสะอาด ประธานกลุ่มอาชีพผลิตกระเป๋าหนังแท้-ชุมชนจักรสุภา อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เล่าว่า การผลิตกระเป๋าหนังแท้นี้เป็นการสร้างอาชีพในชุมชนจักรสุภา ที่ส่วนมากคนในชุมชนจะทำงานโรงงาน และช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีก็จะตกงานเสียส่วนมาก ดังนั้น จึงมีการรวมกลุ่มขึ้นมา โดยมีแกนนำคือ คุณป้าวิมล เดชะบุญ ประธานกลุ่มฯ คนเดิม ซึ่งทำอาชีพเย็บกระเป๋าจากหนังแท้

ด้วยความที่จะต้องการขายกระเป๋าในราคาไม่แพง พร้อม ๆ ไปกับการมีลวดลายการออกแบบเป็นของตนเอง จึงใช้เศษหนังแท้แทนหนังที่เป็นแผ่นใหญ่ ๆ เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน โดยมีเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนจังหวัด เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัด เข้ามาช่วยอบรม รวมไปถึงช่วยด้านการตลาดด้วย เพราะส่วนมากจะขายสินค้าตามงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ซึ่งส่วนราชการจะเป็นฝ่ายจัดหาให้ โดยกระเป๋าที่ทำนั้นมีหลายขนาด หลายแบบ และหลายราคา ตั้งแต่ 29-2,500 บาท แต่แบบที่ขายดีคือที่ราคาเฉลี่ย 29-59 บาท ด้วยราคาที่ไม่สูงจึงเป็นสินค้าที่ขายได้เรื่อย ๆ เหมาะทั้งกับการซื้อใช้เอง หรือเป็นของฝากได้ทุกเทศกาล จึงเป็นที่นิยม ขายได้เรื่อย ๆ

สำหรับการลงทุน-การจะทำอาชีพนี้ ปทุมทิพย์บอกว่า อย่างน้อยต้องพอมีฝีมือหรือทักษะทางช่างอยู่บ้าง เพราะอุปกรณ์ที่ใช้จะเป็นอุปกรณ์งานช่างต่าง ๆ รวมไปถึงจักรอุตสาหกรรมด้วย

ส่วนวัสดุผลิตกระเป๋านั้น หลัก ๆ ที่ใช้ ได้แก่ เศษหนังแท้ ซึ่งเป็นหนังวัวซื้อมาจากโรงงานผลิตกระเป๋าหนังย่านนวนคร ในราคา กก.ละ 35-150 บาท (ขึ้นกับขนาด), แผ่นโฟมทำพื้นกระเป๋าสีดำ ราคาแผ่นละ 28 บาท

วิธีทำ เริ่มที่วาดแบบกระเป๋าลงบนโฟมซึ่งแบบกระเป๋า คล้าย ๆ แบบเสื้อผ้านั่นเอง จากนั้นทากาวลงบนแผ่นโฟมบาง ๆ แล้วค่อย ๆ วางเศษผ้าลงบนโฟม ซึ่งการวางเศษผ้าลงบนโฟมเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง โดยมีหลักว่าจะต้องเรียงเศษผ้าในแนวยาว และจะต้องใช้ประโยชน์จากเศษผ้าให้มากที่สุด ตัดทิ้งให้น้อยที่สุด

ดังนั้น แม้ว่าแบบกระเป๋าจะเป็นแบบเดียวกัน แต่ลายกระเป๋าแต่ละใบก็จะไม่เหมือนกัน เพราะตกแต่งขึ้นมาด้วยเศษผ้าแต่ละชิ้น-แต่ละสีที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง

เมื่อทำลายบนกระเป๋าได้เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือ การแซกกระเป๋า ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องใช้จักรอุตสาหกรรมเพื่อเย็บริมขอบเศษผ้าให้เป็นลายดู สวยงาม และเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยด้ายที่ใช้คือสีดำและสีน้ำตาลเท่านั้น รวมไปถึงขั้นตอนต่อไปคือ การเย็บผ้าซับใน, เจาะช่องซิป, ติดกระดุม, ใส่พวงกุญแจ และประกอบเป็นตัวกระเป๋า ซึ่งจะต้องใช้จักรอุตสาหกรรมอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากประกอบตัวกระเป๋าแล้ว ก็ตรวจสอบความเรียบร้อยอีก

ครั้งว่าจะต้องแก้ไขรายละเอียดเล็ก ๆ

น้อย ๆ อะไรอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีปัญหา ขั้นตอนสุดท้ายคือ ขัดน้ำยาเพื่อเคลือบเงากระเป๋า เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย

ปทุมทิพย์บอกว่า เศษหนัง 2.5 กก. จะทำกระเป๋าใบใหญ่ได้ 1 ใบ ถ้าเป็นกระเป๋าใบเล็ก เศษหนัง 1 กก.จะทำได้ประมาณ 15 ใบ ส่วนแผ่นโฟม 1 แผ่นทำกระเป๋าใบใหญ่ได้ 2 ใบ ทำกระเป๋าใบเล็กได้ราว 25 ใบ

ทั้งนี้ สำหรับเงินลงทุนในอาชีพนี้นั้น ถ้าทำเป็นกลุ่มใหญ่ในเบื้องต้นจะใช้ทุนอุปกรณ์ประมาณ 250,000 บาท ซึ่งเป็นต้นทุนสำหรับอุปกรณ์เครื่องมือช่าง และจักรอุตสาหกรรม โดยเป็นการลงทุนครั้งแรกและครั้งเดียว ใช้ได้ไปตลอด ส่วนจะคืนทุนเร็วหรือช้านั้นขึ้นอยู่กับปริมาณยอดขาย

ขณะที่เรื่องกำไรหลักหักค่าใช้จ่ายของกระเป๋าต่อใบนั้น ปทุมทิพย์บอกว่า อยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขาย ซึ่งก็นับว่าเป็นรายได้ที่ดี และเป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจทีเดียว

ใครสนใจ “กระเป๋าจากเศษหนัง” ต้องการติดต่อกับ ปทุมทิพย์ เอี่ยมสะอาด ประธานกลุ่มอาชีพผลิตกระเป๋าหนังแท้ ก็ติดต่อได้ที่ 34/51 ชุมชนจักรสุภา หมู่ 2 ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี โทร. 0-2957-0237, 0-2957-0007 และ 08-1485-5812.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=525&contentID=57906

Wednesday, February 24, 2010

แนะนำอาชีพ'ปลูกฝรั่งไต้หวันแบบประณีตในไทย'

มีเกษตรกรไทยเป็นจำนวนมากยังไม่ทราบว่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2513 ทางไต้หวันได้มีการ นำฝรั่งจากประเทศไทยซึ่งมีขนาดผลใหญ่ เนื้อแน่นและกรอบไปปลูกได้ผลผลิตเป็นที่ชื่นชอบของคนไต้หวันในขณะนั้น เวลาผ่าน ไปไต้หวันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ฝรั่งเรื่อยมาโดยเน้นความกรอบอร่อยของเนื้อ , มีเมล็ด น้อยและนิ่ม ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มมีเกษตรกรไทยนำพันธุ์ฝรั่งจากไต้หวันมา ปลูกจนประสบผลสำเร็จในบ้านเราและที่รู้จักกันดีคือ พันธุ์เจินจู ซึ่งมีเมล็ดนิ่มและรสชาติอร่อย เริ่มมีเกษตรกรไทยขหยายพื้นที่ปลูกกันมากขึ้นในขณะนี้

ความจริงแล้ว “ฝรั่ง” จัดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมากชนิดหนึ่งและจัดเป็นผลไม้ที่ปลูกง่าย และสร้างรายได้เร็ว ปลูกไปเพียงไม่กี่เดือนก็เริ่มให้ผลผลิตนับเป็นไม้ผลที่ให้ผลตอบแทนเร็วมาก ชนิดหนึ่ง อีกทั้งผู้บริโภคหาซื้อบริโภคได้ในราคาที่ไม่สูงนัก แต่สิ่งหนึ่งที่เกษตรกรไทยที่ปลูกฝรั่งไม่ได้สนใจในเรื่องของความประณีต ในการจัดการสวน เช่น การห่อผลฝรั่งมีหลายสวนใช้เพียงถุงหิ้วพลาสติกธรรมดา, บางรายอาจจะใช้ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์และห่อทับด้วยถุงหิ้วพลาสติกอีก ชั้นหนึ่ง ฯลฯ

แต่ที่ไต้หวันไม่ว่าจะเป็นสวนเล็กหรือสวนใหญ่จะมีความประณีตในการห่อผลฝรั่ง มาก เริ่มแรกจากการปลิดผลทิ้งบ้างให้เหลือกิ่งละไม่กี่ผล เมื่อผลมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับส้มเขียวหวานจะใช้ตาข่ายโฟมห่อที่ผลก่อนเป็น ลำดับแรกและห่อตามด้วยถุงพลาสติกบางใสและเหนียว สังเกตได้ว่าถุงพลาสติกที่เกษตรกรไต้หวันใช้จะบางมาก และสามารถมอง ทะลุเห็นผลภายในอย่างชัดเจนเพื่อสะดวกต่อการเก็บเกี่ยว

นอกจากฝรั่งพันธุ์เจินจู ที่ได้กล่าวมา แล้วในข้างต้น ปัจจุบันได้มีฝรั่งไต้หวันอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการ เกษตร จ.พิจิตร ได้กิ่งพันธุ์จากไต้หวันมาปลูกที่ จ.พิจิตร เป็นกิ่งประเภทเสียบยอดมีรากแก้วจำนวน 2 ต้น (การขยายพันธุ์ฝรั่งในบ้านเราเกือบทั้งหมดจะใช้วิธีการตอนกิ่ง) และมีชื่อพันธุ์ที่ติดมากับต้นว่า “ฮ่องเต้” เริ่มปลูกฝรั่งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2552 มาจนถึงขณะนี้เริ่มเห็นผลผลิตแล้วซึ่งได้พบความแตกต่างจากฝรั่งไต้หวันสาย พันธุ์อื่น ๆ ที่ปลูกในบ้านเรา ตรงที่รูปทรงผลจะเป็นทรงกระบอกสี่เหลี่ยม เมื่อผลเจริญเติบโตเต็มที่มีน้ำหนักผลไม่ต่ำกว่า 500 กรัม เนื้อมีรสชาติหวาน กรอบ, เมล็ดน้อยมากและนิ่ม ที่สำคัญเป็นพันธุ์ที่ออกดอกและติดผลง่ายให้ผลผลิตดี

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการพัฒนาสายพันธุ์ฝรั่งของเกษตรกรไทยส่วนใหญ่จะมุ่ง เน้นในเรื่องของสายพันธุ์ที่ไม่มีเมล็ด ซึ่งหลายคนยังไม่ทราบว่าการปลูกฝรั่งไร้เมล็ดมักจะพบปัญหาในเรื่องของการติด ผลซึ่งส่วนใหญ่ติดผลน้อยมากและรสชาติไม่อร่อยเท่าที่ควร ทำให้การพัฒนาการปลูกฝรั่งในประเทศไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=568&contentID=46706

Friday, February 19, 2010

แนะนำอาชีพ'ซาลาเปาไส้แกง'

“ซาลาเปา” ยุคนี้มีการพัฒนาพลิกแพลงให้แปลกใหม่หลากหลาย ทั้งรูปร่างหน้าตา รวมถึง “ไส้แปลก ๆ” ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็จะเสนอข้อมูลการทำอาชีพขายซาลาเปาที่มีไส้ใหม่ ๆ น่าสนใจ...

ศิริพรรณ อตัญธี อายุ 43 ปี เจ้าของร้าน “บ้านซาลาเปา” ย่านรังสิต ซึ่งทำซาลาเปาขายมากว่า 10 ปี เล่าว่า อาชีพเดิมคือพนักงานออฟฟิศ เมื่อช่วง พ.ศ. 2543 ต้องตกงาน เพราะพิษเศรษฐกิจ ต้อง ออกจากงาน แต่โชคดีที่สามีมีอาชีพเป็นกุ๊กที่ภัตตาคารห้อยเทียนเหลา จึงได้ออกมาทำซาลาเปาขายแบบเล็ก ๆ ที่บ้าน

ระยะแรกเริ่มต้นจาก 3 ไส้ก่อนคือ ซาลาเปาไส้หมูแดง, ซาลาเปาไส้หมูสับ, ซาลาเปาไส้ครีม ทำแล้วนำไปฝากขายตามสถานที่ต่าง ๆ จากนั้นก็พัฒนาอาชีพให้เติบโตมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันซาลาเปาที่ทำขายมีมากกว่า 10 ไส้ ประยุกต์ พัฒนา พลิกแพลงมาเรื่อย ๆ ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป

ซาลาเปาไส้เขียวหวานไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้กะเพราไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้พะแนงหมูไข่เค็ม เป็น 3 ในกว่า 10 ไส้ที่ศิริพรรณทำขายอยู่ และได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า เพราะคนไทยกินข้าวแกงประจำ จึงคิดทำ ซาลาเปาที่มีรสแกงออกมาขาย ทดลองทำอยู่ไม่นานก็ทำได้ และขายดีด้วย

วิธีทำซาลาเปาไส้แกงต่าง ๆ ศิริพรรณอธิบายว่า ก่อนอื่นก็ต้องเริ่มที่แป้ง ตามสูตรก็เตรียมแป้งสาลี 12 กก., เชื้อ 1 กก. (เชื้อนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการหมักแป้งสาลีประมาณ 2 กำมือกับน้ำพอประมาณ นวดแล้ว ทิ้งไว้ 2-3 วัน เมื่อจะนำมาขึ้นเชื้อใหม่ ให้นวดแป้งสาลีกับน้ำในปริมาณที่ต้องการใช้ แล้วนำมาผสมกับปริมาณแป้งที่จะใช้ในแต่ละวัน เชื้อแป้งนี้อย่าใช้จนหมด ต้องแบ่งบางส่วนไว้ใช้ในคราวต่อไปด้วย เพราะถ้าใช้หมดต้องเสียเวลาหมักแป้งใหม่ ซึ่งอาจทำได้ไม่เหมือนครั้งแรก หรือจะแก้ปัญหาด้วยการไปขอเชื้อจากภัตตาคารที่ขายซาลาเปาก็ได้), น้ำตาลทราย 12 กก., แอมโมเนีย 1 ช้อนชา., ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ., น้ำมัน 3 ช้อนโต๊ะ, นมสด 12 กระป๋อง

ในส่วนของแป้งนี้ วิธีทำคือนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันให้เนียน โดยที่แป้งไม่ติดมือ จากนั้นใส่น้ำประมาณ 12 ถ้วย แล้วนวดจนเนียนอีก 20 นาที จากนั้นค่อย ๆ แบ่งแป้งออกเป็นก้อน ก้อนละ 40 กรัม เตรียมไว้

สำหรับสูตรแป้งที่ว่ามานี้จะทำซาลาเปาได้ประมาณ 30-32 ลูก

ต่อด้วยวิธีการทำ ไส้เริ่มที่ “ซาลาเปาเขียวหวานไก่ไข่เค็ม” มีส่วนผสมของไส้คือ เนื้อไก่สับ 1 กก., พริกแกงเผ็ดเขียวหวาน 2 ช้อนโต๊ะ, กะทิ 1 กล่อง, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ คลุกให้เข้ากัน ใส่แป้งข้าวโพดลงไปพอประมาณ นวดให้เข้ากันจนเหนียว จากนั้นใส่ใบโหระพาลงไป แล้วค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง

ถัดมา “ซาลาเปาพะแนงหมูไข่เค็ม” มีส่วนผสมคือ เนื้อหมู 1 กก., เครื่องแกงพะแนง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ, ใบมะกรูดหั่นฝอย ผสมส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นจึงค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง

ส่วน “ซาลาเปากระเพราหมูไข่เค็ม” ใช้หมูสับ 1 กก., กระเทียมสับ และพริกขี้หนูบด 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ และใบกะเพราพอประมาณ วิธีทำก็นำส่วนผสมมาคลุกผสมให้ เข้ากัน จากนั้นจึงนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง การห่อแป้งหุ้มไส้ต่าง ๆ นั้น เวลาจะห่อไส้ก็ให้แผ่แป้งออกขนาดประมาณฝ่ามือ ใส่ไส้ลงไปพอประมาณ แล้วจึงห่อแป้งหุ้มให้แน่น จับจีบด้านบนให้สวยงาม แล้ววางบนกระดาษ จากนั้นนำไปนึ่งประมาณ 12-15 นาที

ซาลาเปาทั้ง 3 ไส้นี้ขายได้ในราคาลูกละ 15 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 60-70% ของราคา

สนใจ “ซาลาเปาไส้แกง” ต้องการติดต่อ ศิริพรรณ อตัญธี ร้านของเธออยู่ที่ 35 ซอยบงกช 30 หมู่ 2 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120 โทร.0-2901-8369, 08-9925-6312 หรือดูใน www.bansalapao.com ซึ่งเจ้าของอาชีพขายซาลาเปารายนี้ต้องถือว่าพลิกแพลงได้น่าสนใจไม่น้อย.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=47145&categoryID=525

แนะนำอาชีพ'ข้าวหมาก'

"ข้าวหมาก” อาหารพื้นเมือง อาหารทานเล่นของคนไทยในอดีต ปัจจุบันแม้จะเลือนหายไปบ้าง แต่ก็ยังพอจะมีผู้ที่อนุรักษ์การทำอาหารภูมิปัญญาชาวบ้านชนิดนี้เอาไว้ ซึ่งก็สามารถสร้างรายได้ให้กับคนทำขายได้อย่างน่าทึ่ง แม้ยุคนี้จะมีสารพัดอาหารต่างชาติมาตีตลาดไทย ซึ่งทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมาเล่าสู่...

กุลิสรา ติณวัฒนานนท์ หรือ หนึ่ง เจ้าของสูตร “ข้าวหมากใบกล้วย” เล่าให้ฟังว่า เริ่มขายข้าวหมากมาได้ประมาณ 3 ปีแล้ว เดิมขายผักปลอดสารพิษ แต่ต้องเลิกขายเพราะมีคนขายเยอะขึ้น พอพี่สะใภ้คือ กฤษดา รุ่งหนองกะดี่ มาชวนให้ไปช่วยขาย ก็ตกลง เพราะกำลังมองหาอาชีพใหม่พอดี พี่สะใภ้ได้รับการถ่ายทอดสูตรข้าวหมากมาจากป้าซึ่งทำขายมานานหลายสิบปี ต่อมาเลิกทำไปเพราะคนรุ่นใหม่ไม่รู้จักและกินไม่เป็น อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีการโปรโมต ตลาดน้ำลัดมะยม ก็ได้ตัดสินใจทำข้าวหมาก รวมถึงข้าวเหนียวตัด ทอดมันหน่อกะลา ใส่เรือพายขาย เพื่อให้เข้าคอนเซปต์ตลาดน้ำ คือการอนุรักษ์และมีของโบราณ ซึ่งก็ขายได้ดี

“จุดประสงค์ที่ทำข้าวหมากขาย ก็มาจากความต้องการที่จะอนุรักษ์อาหารไทยโบราณให้ยังคงอยู่คู่คนไทยและ ประเทศไทย ผลพวงจากการที่ตั้งใจอนุรักษ์อาหารไทย ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์มรดกไทย เห็นถึงความสำคัญตรงจุดนี้ จึงได้คัดเลือกให้ข้าวหมากใบกล้วยได้รับรางวัลอนุรักษ์มรดกไทยในหมวดอาหาร โดยได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”

หนึ่งเล่าต่อไปว่า จากการที่ได้เข้าไปขายในมหาวิทยาลัยมหิดล ทำให้รู้ว่าปัจจุบันลูกค้าในกลุ่มนักศึกษาวัยรุ่นมีความรู้ในเรื่องคุณ ประโยชน์ของข้าวหมากมากขึ้น คือ ช่วยบำรุงผิว บำรุงเลือด และสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย และเมื่อความรู้ตรงนี้ถูกเผยแพร่ออกไปก็มีกลุ่มวัยรุ่นที่รักและใส่ใจสุขภาพ หันมากินข้าวหมากกัน

ที่ตลาดน้ำยอดขายข้าวหมากก็ดี โดยขายเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ ส่วนวันศุกร์จะเข้าไปขายในมหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากนี้ก็จะเป็นลักษณะของการขายส่ง โดยจะมีออร์เดอร์เข้ามาทุกวันเพราะมีลูกค้าที่บอกต่อ ๆ กันไป อีกทั้งก็จะมีการนำข้าวหมากไปขายแบบออกงานตามเทศกาลต่าง ๆ ด้วย

สำหรับการทำข้าวหมากนั้น วัสดุที่ใช้หลัก ๆ ก็มี... หม้อนึ่งข้าวเหนียว, ถาด, กระด้ง, กะละมัง, เตาแก๊ส, ไม้พาย, กล่องพลาสติก หรือโหลแก้วที่มีฝาปิด, ผ้าขาวบาง ขณะที่ส่วนผสม-วัตถุดิบ ประกอบด้วย... ข้าวเหนียวอย่างดี, น้ำสะอาด อาจเป็นน้ำฝนหรือน้ำบาดาลก็ได้, เชื้อลูกแป้งข้าวหมาก (นำไปบดให้ละเอียด)

เชื้อลูกแป้งนี้หาซื้อได้ตามตลาดสดทั่ว ๆ ไป ถือเป็นปัจจัยหลักสำคัญในการทำข้าวหมาก ลักษณะเป็นก้อนแป้งครึ่งวงกลม สีขาวนวล น้ำหนักเบา เห็นเส้นใยเชื้อเกาะที่แป้ง ส่วนประกอบสำคัญของลูกแป้งมีเครื่องเทศ น้ำ และแป้ง เชื้อลูกแป้งแต่ละเจ้าจะมีสูตรการทำลูกแป้งแตกต่างกันออกไป แต่ ควรเลือกซื้อลูกแป้งที่เพิ่งทำใหม่ ๆ เพราะถ้าเก่าลูกแป้งจะมีเชื้ออื่นที่ไม่ต้องการปะปน ทำให้ข้าวหมากไม่มีคุณภาพ วิธีสังเกตลูกแป้งเก่าคือดูจากสีลูกแป้งจะเริ่มเป็นสีเหลืองออกน้ำตาล บางครั้งอาจเป็นราดำขึ้นเป็นจุด ๆ

ขั้นตอนการทำ “ข้าวหมาก” เริ่มจากนำข้าวเหนียวมาล้าง แล้วแช่น้ำค้างคืน หรือแช่อย่างน้อย ๆ 3 ชั่วโมง เมื่อแช่ข้าวเหนียวได้ที่ดีแล้วก็นำขึ้นให้สะเด็ดน้ำ นำไปนึ่งให้สุกพอดี ตรงนี้สำคัญคืออย่าให้เม็ดข้าวบาน เพราะเมื่อนำไปทำข้าวหมากจะเละ ไม่สวย พอนึ่งข้าวเหนียวได้ที่ดีแล้ว ยกลงจากเตา

เทข้าวเหนียวลงในภาชนะที่แห้งและสะอาด แล้วเกลี่ยให้ทั่ว สักครู่พลิกกลับเพี่อไม่ให้ข้าวแห้งและแข็งเกินไป ผึ่งข้าวเหนียวไว้ให้เย็นสนิท แล้วจึงค่อยนำข้าวเหนียวไปล้างด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำปูนใสหลาย ๆ ครั้งจนกว่าจะหมดยาง เมล็ดข้าวจะร่วนไม่ติดกัน สงขึ้นให้สะเด็ดน้ำ ก่อนจะนำมาเกลี่ยผึ่งให้แห้งอีกครั้ง

ขั้นต่อไป โรยแป้งข้าวหมากที่บดละเอียดแล้วบนข้าวเหนียวให้สม่ำเสมอ โดยใช้อัตราส่วน ลูกแป้ง 1 ลูก ต่อข้าวเหนียว 1 กก. คลุกเคล้าให้เข้ากันเบา ๆ เสร็จแล้วนำไปใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ อย่ากดข้าวให้แน่น เพราะเชื้อจะขึ้นไม่ดี ปิดฝาให้มิดชิด ทิ้งไว้ในที่เย็น ไม่ควรโดนแดด ใช้เวลา 2-3 วัน เพียงเท่านี้ก็จะได้ข้าวหมากที่เมล็ดข้าวนุ่ม หอมหวาน มีน้ำซึมออกมา น่ารับประทาน ห่อด้วยใบกล้วยหรือใบตอง พร้อมขาย

จุดเด่นข้าวหมากสูตรโบราณห่อใบกล้วยคือจะไม่ใส่น้ำตาล แต่ก็จะมีรสชาติหวานกลมกล่อมอร่อยตามธรรมชาติ สำหรับราคาขายเป็นห่อเล็ก ๆ ก็อยู่ที่ห่อละ 5 บาท มีต้นทุนประมาณไม่เกิน 60%

“ข้าวหมาก” ห่อด้วยใบกล้วยเจ้านี้ ถ้าใครสนใจก็ไปหาซื้อ-หาชิมกันได้ตามวันและสถานที่ที่ระบุมาข้างต้น หรือใครต้องการสั่งไปจำหน่ายต่อ ก็ติดต่อกับคุณหนึ่งที่ โทร.08-4671-9275, 08-5551-2935 ได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ซึ่งกับการขายข้าวหมาก ในยุคนี้ก็ยังสร้างรายได้น่าสนใจ ถ้ามีทำเลที่เหมาะสม.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=45764&categoryID=525

Thursday, February 4, 2010

แนะนำอาชีพ'เพาะเลี้ยงสาหร่ายไก'

สาหร่ายน้ำจืดที่ เป็นอาหารพื้นบ้านของคนแถบริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำสายใหญ่ทางเหนือของไทยที่ รู้จักกันดีก็คือสาหร่ายที่เรียกกันว่า ไก ซึ่งเป็นสาหร่ายสีเขียวเป็นเส้นเหมือนเส้นผม และที่สำคัญคือสาหร่ายชนิดนี้เป็นอาหารชั้นดีของปลาบึก

ปกติแล้วไกจะพบได้มากในช่วงฤดูหนาวและร้อน ซึ่งจะเจริญได้ดีในสภาพน้ำสะอาดใสและตื้น พอมีฝนตกลงมามาก ไกก็จะหายไป ดังนั้นในแต่ละปีจะมีไกให้เราหามาปรุงอาหารได้เพียง 3-5 เดือนเท่านั้น แต่ความที่ไกเป็นที่ต้องการของตลาดได้ทั้งปี รวมทั้งตอนนี้ก็มีกิจการเลี้ยงปลาบึก ซึ่งต้องการใช้ไกเป็นอาหารจำนวนมาก จึงเกิดการเพาะเลี้ยงไกขึ้นมา

กลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งนำโดย รศ.ดร.ศิริเพ็ญ ตรัยไชยาพร เป็นหัวหน้าทีม ได้ร่วมกันศึกษาหาวิธีเพาะเลี้ยงไก โดยใช้น้ำทิ้งจากโรงอาหาร ซึ่งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุอาหารต่างๆ อยู่มาก มาเป็นเครื่องมือสำหรับเลี้ยงสาหร่าย โดยนำน้ำดังกล่าวมาผสมน้ำในอัตราส่วนต่างๆ กัน แล้วก็ไปเก็บสาหร่ายไก มาจากแม่น้ำน่าน ซึ่งปกติไกเหล่านี้จะเกาะอยู่บนก้อนหิน ก็เก็บมาทั้งก้อนหินแล้วมาลองเลี้ยงในอ่างแก้วเหมือนตู้ปลาขนาดใหญ่แล้วให้ อากาศเหมือนการเลี้ยงปลาทั่วไป

เลี้ยงไว้อย่างนั้น 1 เดือน ก็พบว่าการใช้น้ำทิ้งที่ได้มาจากโรงอาหารโดยไม่ต้องนำมาผสมน้ำให้เจือจางเลย หรือผสมน้ำเพียง 20% ทำให้สาหร่ายไกเติบโตได้ดีที่สุด เพราะสาหร่ายได้ อาหารจากน้ำทิ้งดังกล่าวให้เป็นประโยชน์ในการเติบโต ผลผลิตที่ได้ก็มากเกือบครึ่งกิโลกรัมต่อตารางเมตร สรุปก็คือน้ำทิ้งที่ปกติจะต้องปล่อยลงท่อระบายน้ำ เมื่อนำมาใช้ประโยชน์ให้ถูกทาง ก็สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน

อย่างในกรณีนี้ เมื่อนำน้ำทิ้งมาใช้ในการเพาะเลี้ยงสาหร่าย ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการสร้างรายได้ และสร้างแหล่งอาหารสำหรับการเลี้ยงปลาบึก เหตุที่ไม่ได้แนะนำให้นำมาใช้เป็นอาหารของคนก็คงเป็นเพราะว่าวัตถุดิบที่ใช้ ในการเพาะเลี้ยงนั้น ดูแล้วคงไม่เหมาะที่จะผลิตอาหารบริโภค แต่แนวคิดเรื่องการเพาะเลี้ยงไกจนได้ผลเช่นนี้ ก็หมายความว่าถ้ามีการจัดระบบการเลี้ยงที่ได้สุขลักษณะ รวมทั้งใช้สารอาหารที่เหมาะสมเหมือนกับการปลูกผักแบบใช้สารละลายหรือไฮโดรโป นิกส์ ก็น่าจะได้ไกที่มีคุณภาพสูงและถูกสุขลักษณะที่สามารถนำมาใช้เป็นอาหารคนได้ ทั้งปี แทนที่จะต้องรอเก็บจากธรรมชาติในบางฤดูเท่านั้น

และที่สำคัญคือตอนนี้ความนิยมในการบริโภคไกก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้น ไม่เฉพาะในหมู่คนพื้นบ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำเท่านั้น แต่บรรดานักท่องเที่ยวที่ได้ไปเยือนเมืองน่านหรือเชียงราย เมื่อได้ลองชิมไกในรูปแบบต่างๆ แล้ว รู้สึกพอใจในรสชาติ และอีกอย่างหนึ่งคือคุณค่าทางอาหารของไกก็สูงมากด้วยเช่นกัน กลายเป็นอาหารสุขภาพอย่างดีอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นของพื้นเมืองไทยเรา

อย่างไรก็ตาม เมื่อเราเพาะเลี้ยงสาหร่ายไก โดยการใช้น้ำทิ้งจากโรงอาหารได้แล้ว เรื่องการพัฒนาต่อโดยใช้ความรู้ดังกล่าวต่อยอดต่อไปถึงการผสมสูตรอาหารที่ เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก ก็หวังว่าคณะนักวิจัยกลุ่มนี้คงจะช่วยกันพัฒนาต่อไป เพราะมีโอกาสสร้างอาชีพให้แก่เกษตรกรหรือคนที่อยู่ใกล้แม่น้ำได้สร้างรายได้ เสริม หรือยิ่งไปกว่านั้นคือกลายเป็นอาชีพหลักก็เป็นได้ โดยสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือความสะอาดและถูกสุขลักษณะ เพราะไกเมื่อเก็บจากธรรมชาตินั้น บางครั้งก็ยังมีทรายติดมาด้วย แต่หากเพาะเลี้ยงในสภาพที่เหมาะสมก็คงจะหมดปัญหาเรื่องนี้ไป และน่าจะเป็นการขยายตลาดไกให้กว้างขวางมากขึ้นได้ครับ


รศ.ดร.พีรเดช ทองอำไพ

ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20100131/46656/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%81.html

Friday, January 29, 2010

http://www.ucancookthai.com/language-thai/th-recipes/th-spicy-salad/index.htm
http://www.hilunch.com/
http://www.horapa.com/
http://www.ezythaicooking.com/free_recipes_th.html
http://www.hewhew.com/recipe.php

Monday, January 25, 2010

แนะนำอาชีพ'เพาะเห็ดแครงในถุงพลาสติก '

"เห็ดแครง” จัดเป็นเห็ดที่บริโภคเป็นทั้งอาหารและยา เนื่องจากเป็นอาหารที่บำรุงร่างกายและยังมีสรรพคุณในการป้องกันโรคได้หลาย ชนิด เห็ดชนิดนี้สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น นำมาเจียวกับไข่ แกงกะทิ ห่อหมกและงบเห็ดแครง เป็นต้น

มีรายงานว่าที่สาธารณรัฐประชาชน จีนมีคำแนะนำให้คนไข้ที่เป็นโรคระดูขาว รับประทานเห็ดแครงที่ปรุงกับไข่เพื่อรักษาโรค ในประเทศญี่ปุ่นใช้เห็ดแครงเป็นยาเนื่องจากในเห็ดแครงมีสารที่มีคุณสมบัติใน การต่อต้านเซลล์มะเร็งและต่อต้านเชื้อไวรัส สำหรับประเทศไทยเห็ดแครงพบมากในภาคใต้ ของประเทศ ในธรรมชาติต้นยางพาราที่ตัดโค่นไว้ เมื่อท่อนไม้ตายและมีฝนตกจะพบเห็ดแครงขึ้นเป็นจำนวนมากแต่ด้วยในปัจจุบันมี การใช้ยาฆ่าตอต้นยาง ชาวบ้าน บอกว่าเห็ดแครงที่เก็บมารับประทานแล้วมีอาการคันปาก

อ.กาญจณี เตชะวรรักษ์ จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกระบี่ ได้ทดลองการเพาะเห็ดแครงในถุงพลาสติกในเชิงพาณิชย์จนประสบผลสำเร็จ เป็นที่น่าพอใจ สามารถส่งเสริมให้เกษตรกรได้นำไปประกอบอาชีพได้ โดยได้สรุปในเบื้องต้นว่าเห็ดแครง จำนวน 1 ถุง มีต้นทุนในการผลิตเฉลี่ยประมาณ 4.86 บาท เมื่อนำเห็ดแครงไปเปิดถุงจะได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 110-130 กรัม ปัจจุบันราคาเห็ดแครงสดที่มีขายในท้องตลาดราคากิโล กรัมละ 100-150 บาท ทำให้เกษตรกรที่ซื้อเห็ดแครงไปเปิดดอกจะได้กำไรจากการขายเห็ดแครงก้อนละ 5-10 บาท

แต่ในการเพาะเห็ดแครง ในถุงพลาสติกมีข้อควรระวังดัง นี้ ในการทำก้อนเห็ด ผู้ผลิตจะต้องเจาะก้อนเห็ดให้มีความลึก ประมาณ 2 นิ้วเพื่อป้องกันไม่ให้เห็ดออกดอกที่จุก, ในระยะที่พักบ่มเชื้อ จำเป็นจะต้องบ่มเส้นใยในที่มืด มิฉะนั้นแสง จะกระตุ้นให้เส้น ใยสร้างดอกทั้ง ๆ ที่เส้นใยยังเจริญไม่เต็มถุงมีผลทำให้ผลผลิตต่ำไม่คุ้มค่าในแง่เศรษฐกิจ, ในระยะเปิดดอกเกษตรกรจะต้องมีการดูแลให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้นจะเกิดการปนเปื้อนจากราเขียวและราสีส้ม ราสีส้มมักจะเกิดเป็นกระจุกบริเวณปากถุงมีลักษณะเป็นผลหรือเป็นก้อนติดกันมี สีชมพูอมส้ม บาง ถุงอาจจะเกิดที่ก้นถุงทำให้เส้นใยเห็ดไม่สามารถเจริญได้ เพราะเชื้อราชนิดนี้เจริญปกคลุมเส้นใยอย่างรวดเร็ว

เทคนิคในการเปิดดอก อ.กาญจณีแนะให้ใช้วิธีกรีดข้างถุงให้เป็นมุมเฉียงจาก บนลงล่างทั้ง 4 มุมของถุง เพราะถ้ากรีด 3 แถวดอกที่ออกจะแน่นทำให้ดอกเห็ดเจริญไม่เต็มที่ ในระยะแรกของการรดน้ำ ควรรดเฉพาะที่พื้นโรงเรือน รอให้เส้นใยเจริญประสานกันก่อน ถ้ารดน้ำไปถูกก้อนเชื้อจะทำให้เห็ดออกดอกช้าและถ้าน้ำไม่สะอาดจะทำให้เชื้อ จุลินทรีย์เข้าทำลายรอยแผล

ในการให้น้ำก้อนเชื้อควรจะติดระบบ สปริงเกลอร์ ให้น้ำเช้า-เย็น ถ้าอากาศแห้งควรเพิ่มจำนวนครั้งขึ้นอีก.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=568&contentID=44094

Sunday, January 17, 2010

แนะนำอาชีพ'ขนมเปี๊ยะอบเทียน'

วันนี้ทางทีมงานมีข้อมูลอาชีพการทำ-การขายของกินที่รู้จักกันในวงกว้าง ราคาไม่แพง สามารถขายได้ตลอดทั้งปี และยิ่งขายดีในช่วงเทศกาล มานำเสนอ นั่นก็คือ “ขนมเปี๊ยะอบเทียน”

ธนพร ปิยะชัยศิริกุล หรือ คุณใหญ่ เป็นเจ้าของธุรกิจ “ขนมเปี๊ยะอบเทียน” ที่ใช้ชื่อว่า “จันทร์เอ๋ย” เจ้าตัวเล่าว่า ดำเนินธุรกิจนี้มาประมาณ 3 ปีแล้ว ด้วยความที่เป็นคนชอบทานขนมเปี๊ยะมาก และอยากจะมีขนมเปี๊ยะสูตรของตนเอง จึงเริ่มศึกษาการทำธุรกิจนี้เรื่อยมา พร้อมกับการทำขายไปในตัวด้วย
เมื่อมองว่าขนมเปี๊ยะเป็นตลาดขนมที่ขายได้เรื่อย ๆ และเป็นที่นิยมในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ อาทิ ปีใหม่ ตรุษจีน ในช่วงปลายปี 2552 จึงเริ่มทำการตลาดอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในการสร้างตราสินค้า พร้อม ๆ ไปกับความพยายามในการหาตลาดใหม่ ๆ ขึ้นมา ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีมากในระดับหนึ่ง

การลงทุนทำขนมเปี๊ยะขายนั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากการทำขนมอื่น ๆ สำหรับขนมเปี๊ยะนั้นหลัก ๆ เป็นการลงทุนเครื่องกวนแป้ง สำหรับกวนไส้ถั่วเหลือง ซึ่งหากสามารถกวนได้ด้วยตนเองก็ไม่ต้องลงทุนซื้อ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ราคาค่อนข้างสูง ส่วนเครื่องตีแป้งไม่ต้องใช้ เพราะขนมเปี๊ยะส่วนใหญ่จะใช้มือและใช้ไม้คลึงแป้งนวด สิ่งอื่นที่ต้องลงทุนซื้อคือเตาอบ และตู้อบควันเทียน ซึ่งตู้อบควันเทียนนั้นประยุกต์ใช้ตู้กับข้าวแทนก็ได้

วิธีทำขนมเปี๊ยะอบเทียน เริ่มที่ส่วนผสมของ แป้งชั้นใน ตามสูตรใช้แป้งสาลีเอนกประสงค์ 350 กรัม ต่อเนยขาว 160 กรัม โดยผสมแป้งและเนยขาวให้เข้ากัน แล้วแบ่งแป้งให้ได้ 40 ชิ้น หรือ 40 ก้อน

สำหรับส่วนผสมของ แป้งชั้นนอก ตามสูตรคือ แป้งสาลีเอนกประสงค์ 250 กรัม ต่อน้ำมันพืช 100 กรัม, น้ำตาลทราย 75 กรัม, น้ำเปล่า 75 กรัม, ไข่แดงสำหรับทาหน้า 2 ฟอง และไข่เค็ม 10 ฟอง วิธีทำคือละลายน้ำตาล น้ำเปล่า น้ำมันพืช ให้เข้ากัน ผสมกับแป้ง นวดให้เข้ากัน จนแป้งเนียน พักไว้ 10 นาที แบ่งแป้งเป็นก้อนให้ได้ 40 ก้อนเช่นกัน

ลำดับถัดมานำแป้งชั้นนอกหุ้มแป้งชั้นใน คลึงเป็นแผ่นยาว ม้วนเป็นแท่ง แล้วตัดแบ่งออกเป็น 2-4 ชิ้น

จากนั้นนำแป้งมาคลึงเป็นแผ่นกลม แล้วนำมาใส่ไส้ พร้อมไข่แดงของไข่เค็มซึ่งตัดออกเป็น 4 ชิ้น แป้งแต่ละชุดใส่ไข่เค็ม 1 ชิ้น ใส่ลงไปพร้อมไส้ถั่วเหลืองลงตรงกลาง แล้วหุ้มแป้งให้มิด ทาหน้าด้วยไข่แดง เพื่อทำให้ขนมน่าทาน นำเข้าเตาอบแล้วอบที่ความร้อนประมาณ 200 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 10-15 นาที จนกระทั่งสุก จากนั้นนำขนมเข้าอบเทียนประมาณ 1-2 คืน

ในส่วนของ ไส้ขนมเปี๊ยะ ซึ่งเป็นไส้ถั่วเหลืองนั้น ส่วนผสมประกอบด้วยถั่วเขียวกะเทาะเปลือกเป็นหลัก ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือ และใช้น้ำมันพืชด้วย วิธีทำเริ่มที่แช่ถั่วเขียวกะเทาะเปลือก นำไปต้มจนเปื่อย และน้ำเริ่มแห้ง เติมน้ำตาลทรายพอประมาณ และเกลือนิดหน่อย กวนจนกระทั่งแห้ง จึงเติมน้ำมันพืช กวนจนแห้งอีกครั้ง ก็พร้อมใช้เป็นไส้ขนมเปี๊ยะ

“ขนมเปี๊ยะอบเทียน” นี้ มีจุดเด่นคือไม่ใส่สารกันบูด แต่สามารถเก็บไว้รับประทานให้หมดได้ภายใน 3 วัน โดยไม่ต้องใส่ตู้เย็น แต่หากใส่ตู้เย็นจะเก็บไว้ได้นานขึ้น แต่ก็ไม่ควรเกิน 1 สัปดาห์

สำหรับราคาขายนั้นมี 3 ราคาตามปริมาณการบรรจุแพ็คเกจคือ ขนมเปี๊ยะ 8 ชิ้น ราคา 60 บาท, 14 ชิ้น ราคา 100 บาท และบรรจุ 24 ชิ้น ราคา 170 บาท

ธนพรแนะนำว่า วิธีขายขนมเปี๊ยะให้ขายได้คล่องนั้นขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ ซึ่งแม้ว่าขนมเปี๊ยะ ส่วนมากจะขายดีมากในช่วงเทศกาล แต่ในแต่ละปีจะมีเทศกาลไม่กี่ครั้ง ดังนั้นในแต่ละวันจะต้องหาตลาดขายให้ได้มากที่สุด เช่นหมุนเวียนขายไม่ต่ำกว่าวันละ 3 แห่ง หรือมากกว่านั้น เพื่อจะได้กระจายขนมเปี๊ยะออกไปให้ได้มากที่สุด และการได้ส่งออกไปขายหลาย ๆ ที่ภายในวันเดียวนั้น หมายความว่าขนมเปี๊ยะจะเป็นที่รู้จักมากขึ้น

นอกจากนี้ การทำตราสินค้าที่ทันสมัย และมีหมายเลขโทรศัพท์แจ้งบอกลูกค้าไว้ที่บรรจุภัณฑ์ด้วย เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ตัวเองไปในตัว ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน

ใครสนใจขนมเปี๊ยะอบเทียน “จันทร์เอ๋ย” ต้นตำรับชาววัง ต้องการติดต่อ คุณใหญ่-ธนพร ปิยะชัยศิริกุล ติดต่อได้ที่ โทร.08-5353-3863 และ 08-7697-7678 หรือ http://topdessert.igetweb.com

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=41853&categoryID=525

Wednesday, January 6, 2010

แนะนำอาชีพ"พิซซ่าสมุนไพร"

พิซซ่าสมุนไพร เอาใจคนรักสุขภาพ

"อินเตอร์พิซซ่า” หน้ามุนไพร เช่น ธัญพืช,เห็ดหอม,สาหร่าย,ผักรวม,แกงเขียวหวาน,พะแนง,ผงกะหรี่,ต้มยำ,ต้มข่า ,เบค่อน,ปูอัดไอแลนด์และซีฟู้ด

ถ้า พูดถึงพิซซ่าแล้วหลายคนคงจะมีพิซซ่าเมนูโปรดประจำตัวอยู่แล้วแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นฮาวายเฮี้ยน ซีฟู้ด และอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคอพิซซ่าหน้าไหนวันนี้ชุมทางอาชีพมีพิซซ่าหน้าใหม่มาแนะนำให้ ท่านผู้อ่านได้ลองลิ้มชิมรสกัน ซึ่งโดยปกติแล้วพิซซ่าที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วๆ ไป จะเป็นรสชาติแบบเบสิกที่หากินได้ง่ายและรสชาติไม่แตกต่างกันมากนัก แต่รสชาติหน้าใหม่ที่จะมาแนะนำในวันนี้รับรองว่าถูกปากคนไทยที่ชื่นชอบอาหาร ที่มีรสชาติจัดจ้านเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอย่างแน่นอน

คุณศิริวรรณ สัจจะเวนะ เจ้าของอินเตอร์พิซซ่า พิซซ่าที่ฉีกความจำเจของพิซซ่าหน้าเดิมๆและเพิ่มคุณค่าด้วยการโรยหน้าด้วย สมุนไพร ใจคนรักสุขภาพ ซึ่งจากประสบการณ์ทางด้านอาหารที่สั่งสมมากว่า 30 ปี ทั้งในประเทศอย่างภัตตาคารชั้นนำ รวมทั้งวิทยากรตามร้านอาหารชื่อดังในต่างประเทศอย่างดูไบและคูเวต รวมทั้งเป็นวิทยากรสอนการทำอาหารอีกด้วย จากความสามารถและความตั้งใจในการถ่ายทอดวิชาทางด้านการทำอาหาร จึงทำให้เกิดร้าน อินเตอร์พิซซ่าขึ้นมา

“หลังจากที่ลองผิดลองถูกอยู่นานกว่า 3 เดือน จนกระทั่งได้พิซซ่าที่รสชาติใช้ได้ก็เอาไปลองให้เพื่อนบ้านได้ลองทานกัน ก็มีคนชื่นชอบและทำให้มีคนที่ชอบสั่งเข้ามามาก จนทำให้หลายคนมาบอกให้เปิดเป็นร้านขึ้นมา เราก็เลยเปิดร้านขายอยู่ที่หมู่บ้านเคหะธานี 4 ซึ่งตั้งแต่เปิดร้านขึ้นมาทำให้มีกระแสตอบรับดีเกินคาด รวมทั้งพิซซ่าของเราจะแหวกแนวไปจากพิซซ่าทั่วไป ทั้งในเรื่องของรสชาติที่เป็นไทยๆ และเน้นไปทางกลุ่มคนรักสุขภาพด้วย”

จากการปรับสูตรและปรับปรุงแก้ไขจนสามารถปรับสูตรให้เข้ากับคนไทยได้รวมถึง 12 หน้า ไม่ว่าจะเป็น ธัญพืช,เห็ดหอม,สาหร่าย,ผักรวม,แกงเขียวหวาน,พะแนง,ผงกะหรี่,ต้มยำ,ต้มข่า ,เบค่อน,ปูอัดไอแลนด์และซีฟู้ด ในราคาเริ่มต้นที่ 49 บาท เท่านั้น

“แรกๆที่ทำออกมาก็มีคนถามว่าจะทานได้เหรอ? แต่เราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทานได้และรสชาติดีไม่เป็นรองใครอีกด้วย ที่สำคัญก็คือมากด้วยคุณค่าทางอาหารจากสมุนไพรชนิดต่างๆที่เป็นส่วนประกอบใน พิซซ่า ซึ่งดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน พิซซ่าสมุนไพรจึงไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อยเท่านั้น”

จากความพยายามที่จะสรรหาความแปลกใหม่มาต่อยอดกับสิ่งที่ทำอยู่ จึงทำให้คุณศิริวรรณคิดที่จะเปิดกิจการธุรกิจตรงนี้ขึ้นมาซึ่งคิดว่าตัวเอง สามารถทำได้ด้วยดี ซึ่งเธอมองครอบคลุมในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของทำเลซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และวันนี้อินเตอร์พิซซ่าก็สามารถขยายกิจการไปได้กว่า 40 สาขาทั่วประเทศ ทั้งเกาะช้าง สมุย กระบี่ ฯลฯ พร้อมกับให้ความช่วยเหลือปรึกษาสำหรับผู้ที่ต้องการจะมีธุรกิจหรือเปิด กิจการอะไรสักอย่างเป็นของตัวเอง โดยหวังเพียงได้แบ่งปันความรู้ที่มีอยู่เท่านั้นเอง
“คือเราจะเน้นช่วยมากกว่าหวังเพียงแค่จะเอากำไรหรือเอารัดเอาเปรียบ ลองคิดดูซิว่าถ้าหากวันนี้เรามานั่งคิดว่าจะได้กำไรเท่าไหร่ เข้าเป้าที่ตั้งไว้ไหม ก็ทำให้เราเป็นทุกข์เปล่าๆ หากกลับกันเรามาคิดว่าวันนี้เราช่วยคนได้กี่คนแล้วพรุ่งนี้เราจะช่วยคนได้ อีกกี่คน แบบนี้จะทำให้เราสบายใจที่เราได้ช่วยเหลือเพื่อนๆที่เดือดร้อน คิดแค่นี้ก็เป็นสุขแล้ว เรามาคิดดูว่าลูกค้าที่เข้ามาปรึกษาเราแล้วเขาสบายใจ เขามีความสุขเราก็มีความสุขไปด้วย มีอะไรสามารถปรึกษาได้ทุกอย่าง อย่างเวลาให้สูตรหรือให้คำปรึกษาถือว่าให้เป็นวิทยาทานไป ไม่หวงความรู้”

จากความที่คุณศิริวรรณมีความคิดที่อยากจะนำความรู้ที่ได้มาแบ่งปันให้กับผู้ อื่นที่กำลังมองหาช่องทางในการหารายได้หรือนำไปประกอบอาชีพ ร้านอินเตอร์พิซซ่าสมุนไพรจึงสามารถเปิดกิจการได้ด้วยเงินลงทุนเพียง 3,250-40,000 เท่านั้น

“ทุกๆขั้นตอนการทำ ลูกค้าจะสัมผัสได้เลยว่า เราตั้งใจทำขึ้นมาจริงๆ และวิชาที่ถ่ายทอดต่อๆให้ไปเราก็ถือว่าเป็นวิทยาทาน เราแค่คิดว่าเราช่วยใครได้บ้าง อย่างคุณจะทำอาชีพอะไรสักอย่าง ซึ่งความจริงแล้วมีอาชีพเยอะแยะมากมายให้เเลือก มีหลายเส้นทางให้เลือกทำ ถ้าเราตั้งใจทำอย่างจริงจัง ทุกอย่างก็ไม่ยากอย่างที่คิด อย่างถ้าจะนำเงินก้อนหนึ่งมาลงทุนกับเรา เราก็ต้องช่วยเหลือเขาให้มากเหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะเราร็ว่าทุกคนที่ลงทุนย่อมหวังผลที่จะตามมาจากการลงทุนนั้นอย่างแน่ นอน”

หากท่านใดอยากปรึกษาหรืออยากทำอาหารอย่างอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศก็ สามารถรวมกลุ่มไปขอคำแนะนำได้เช่นเดียวกัน ติดต่อสอบถามได้ที่เบอร์ 0-2927-5979, 08-0912-5757 โดยทั้งนี้คุณศิริวรรณเห็นว่าการลงทุนแต่ละอย่างเป็นเรื่องใหญ่มาก ฉะนั้นสามารถโทรเข้าไปคุยและปรึกษาก่อนได้หากยังไม่พร้อมในการลงทุน หรือลองแวะเข้าไปทักทายที่ร้านยินดีต้อนรับ

ทีมา นิตยสาร ชุมทางอาชีพ

แนะนำอาชีพ"ส้มตำทอดกรอบ"

คมชัดลึก : ย้อนกลับดูการต่อสู้ชีวิตบนเส้นทางสายธุรกิจร้านอาหารอีสานของลูกผู้หญิงคน หนึ่งที่ชื่อ "รัญชิดา ปทุมมานุรักษ์" หรือแคท เจ้าของสูตรไก่ย่างสมุนไพร ส้มตำปูม้า และส้มตำผลไม้ สูตร "คุณแคท" ดูทำท่าจะไปได้สวยมาหลายครั้งหลายครา แต่รุ่งเรืองได้ไม่นานจะต้องมีอุปสรรคขัดขวางแทบทุกครั้ง

บางแห่งพอขายดิบขายดีครบ 1 ปี เจ้าของที่ยึดที่คืน พอได้ทำเลใหม่ก็เข้ารอบเดิมอีกเจ้าของที่ขอขึ้นค่าเช่าอีก 1 เท่าตัวอย่างไม่มีเหตุผล บางแห่งเปิดร้านใหญ่มีลูกน้องนับสิบคน มีลูกค้าแน่นร้าน เธอกลับเจอโรคร้ายนรุมเร้า ต้องนอนโรงพยาบาลและพักฟื้นหลายเดือน หลังจากตัดเนื้อก้อนร้าย ชีวิตเข้าสู่ปกติ เธอลุกขึ้นสู้อีกครั้งด้วยการเช่าที่เล็กๆ ในโรงอาหารของโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ย่านดอนเมือง กรุงเทพฯ พร้อมเปิดตำรับอาหารอีสานสูตรใหม่ "ส้มตำทอดกรอบ" บรรจุแพ็กและกล่อง ปรากฏว่าขายดีมาก

"แคทรู้สึกว่าตัวเองเหมือนแมวเก้าชีวิตล้มลุกคลุกคลานมาตลอด ดวงชะตาชีวิตดูเหมือนว่าจะรวยมาหลายครั้ง แต่ก็ต้องมีอุปสรรคทุกที แต่แคทก็ไม่ถอยนะ เราเกิดมาเพื่อสู้ เพื่อใช้กรรมเก่าด้วย ขนาดแคทเป็นโรคร้ายแคทก็ยังไม่ตาย คราวนี้คงหมดกรรมแล้วล่ะ จากนี้ไปแคทจะสู้ต่อ แคทมานึกว่าเราเปิดร้านเล็กๆ อย่างที่ทำอยู่ก็ดีนะ เพราะกำไรเห็นๆ ขายดี แต่เราไม่ต้องรับผิดชอบมากนัก ตอนเย็นกลับพักผ่อน" รัญชิดา กล่าวอย่างมั่นใจ

รัญชิดา ตัดสินใจอำลาชีวิตมนุษย์เงินเดือนในฐานะพนักงานบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจ ด้านจิวเวลรี่ของชาวเกาหลีเกือบ 10 ปีก่อน ตั้งใจจะเปิดร้านอาหารอีสานเป็นของตัวเอง จึงเก็บทั้งเงินเดือน เงินโบนัสประจำปี และค่าคอมมิชชั่นได้ 6 แสนบาท เปิดร้านอาหารสไตล์อีสาน ชูเมนูเด็ดไก่ย่างสมุนไพรโบราณ-ส้มตำปูม้า และส้มตำผลไม้รวม และอีกสารพัดส้มตำ ร้านแรกย่านร่มเกล้า เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ และย้ายอีก 3-4 แห่งในย่านร่มเกล้าด้วยเหตุต่างๆ นานา กระทั่งเธอตัดสินใจย้ายที่เปิดร้านใหม่ในย่านดอนเมืองแต่อยู่ได้ไม่ถึง 2 ปี เจอโรคร้ายคุกคามถึงขนาดต้องผ่าตัดนอนโรงพยายบาล และพักฟื้นอีกหลายเดือน

"พูด ถึงร้านดอนเมืองแคทก็เสียดายนะ แต่ทำไงได้ แคทเข้าโรงพยาบาลให้ลูกน้องดูแล เละหมดเลย ขาดทุน เงินหมด แคทต้องขายอุปกรณ์ทั้งหมดแบบเลหลัง ได้เงินมากว่า 1 แสนบาท ในที่สุดพี่ๆช่วยเหลือหาที่ในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นที่แคบๆ เน้นขายส้มตำอย่างเดียว รวมถึงส้มตำทอดกรอบบรรจุกล่อง ตามที่ลูกค้าสั่ง"

เธอบอกว่า ร้านใหม่ที่โรงพยาบาลภูมิพลฯ นั้นเป็นร้านในโรงอาหารของโรงพยาบาล เปิดขายเฉพาะส้มตำอย่างเดียว เป็นสารพัดตำทั้งส้มตำปูม้า หอยดอง ปลาร้า ส้มตำปู ส้มตำไทย ขายตั้งแต่เวลา 08.00-12.00 น.หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ ในแต่ละวันโดยเฉพาะตอนเที่ยงจะมีลูกค้ายืนรอคิวซื้อส้มตำแน่นไปหมด ขายได้ละ 3,000 บาท บางวันขายดีถึง 5,000 บาท นอกจากนี้จะมีเมนูพิเศษคือส้มตำทอดกรอบทั้งมะละกอ ดอกขจร และล่าสุดเตรียมทำส้มตำกรอบจากบรอกโคลี เน้นเฉพาะบรรจุแพ็กตามออเดอร์เท่านั้น

"ตอนแรกแคททำคนเดียว ขายคนเดียว ตอนหลังลูกค้าติดแล้ว มีลูกค้ามากขึ้น แคทก็เหนื่อย ต้องจ้างลูกน้องมาช่วย 2 คน แคทคิดจะทำร้านเล็กอย่างนี้ไปก่อน เพราะเหนื่อยน้อยกว่า มีเวลาพักผ่อนเยอะด้วย" เธอ กล่าว

นับเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ต่อสู้ชีวิตอีกคนหนึ่ง แม้ชีวิตจะเจออุปสรรคนานัปการ แต่ รัญชิดา ไม่เคยถอย หากใครสนใจเทคนิคการตำส้มตำปูม้า ส้มตำผลไม้รวม ส้มตำทอดกรอบ และ ไก่ย่างสมุนไพรสูตรโบราณ เธอยินดีที่จะถ่ายทอดวิชาให้ทุกอย่างในโครงการ "คม ชัด ลึก ฝึกอาชีพ" ในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2552 สอบถามได้ที่โทร.0-2338-3356-7

ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20091113/36961/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%97.html

แนะนำอาชึพ'กล้วยเมืองลุง'

“กล้วย” จึงจัดเป็นผลไม้ลำดับต้น ๆ ที่คนไทยรู้จักและนิยมรับประทานในทุกพื้นที่ รวมถึงมีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการแปรรูปกล้วยเป็นอาหารทานเล่นประเภท “สแน็ค” ของกลุ่มแม่บ้านลำสินธุ์ มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...

ประทิน นาคมิตร ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านลำสินธุ์ จ.พัทลุง เล่าว่า ชาวสวนในชุมชนนี้จะนิยมปลูกกล้วยน้ำว้าและกล้วยไข่ควบคู่กับการทำสวนยางพารา เพราะให้ผลผลิตดีและขายได้ราคา แต่เมื่อปี 2530 ราคากล้วยตกต่ำขายไม่ออก จึงมีการแปรรูปกล้วยไข่เป็นกล้วยกรอบแก้วรสต่าง ๆ และเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในท้องถิ่น ต่อมามีการขอคำแนะจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ เพื่อปรับให้การทำงานของกลุ่มเป็นระบบ จนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จนสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และพัฒนาเรื่อยมาจนเป็น “กล้วยเมืองลุง” ในปัจจุบัน

“ทั้งอุตสาหกรรม พัฒนาชุมชน เกษตรอำเภอ อบต. เข้ามาสนับสนุนความรู้ทางวิชาการ เงินทุนจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ ทำให้สมาชิกมีกำลังใจในการทำงาน ขณะเดียวกันเราก็ขยันหาความรู้ เข้าอบรมสัมมนา ศึกษาดูงาน โรดโชว์กับหน่วยงานราชการ นำประสบการณ์ที่ได้มาพัฒนาปรับปรุงสินค้าจนได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน โอทอป 4 ดาว และได้วางจำหน่ายในห้างเทสโก้ โลตัส สาขาพัทลุง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้เรามีทุนในการพัฒนาสินค้าให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นอีก”

จุดเด่นของ “กล้วยเมืองลุง” คือมีหลายรสชาติให้เลือก อาทิ รสมาตรฐาน รสหวาน รสเค็ม รสบาร์บีคิว รสปาปริก้า รสสาหร่าย แต่ละรสชาติก็จะแตกต่างกันไป โดยที่การผลิตจะเน้นความสะอาด ปลอดภัย ไม่ใส่สารกันบูด และเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่การเลือกกล้วยไข่ ต้องเป็นกล้วยก่อนแก่เท่านั้น รสชาติจะหวานกรอบ

อุปกรณ์ในการทำก็มี... กระทะ, เตาแก๊ส, ไม้พาย, กระด้ง, กะละมังใหญ่, เครื่องหั่นกล้วย, ตะแกรง, ทัพพี, เครื่องปั่นไฟฟ้า, กระดาษซับมัน, มีด, เขียง และเครื่องครัวเบ็ดเตล็ด ส่วนวัตถุดิบก็มี... กล้วยไข่ก่อนแก่, น้ำมะนาว, น้ำมันปาล์ม, น้ำตาลไอซิ่ง (มีส่วนผสมของแป้งสาลี 3 % ช่วยลดความชื้น), พริกไทยป่น, เกลือ

ขั้นตอนการทำ “กล้วยไข่เมืองลุง” (หากต้องการรสชาติแบบไหนก็เพิ่มส่วนผสมนั้น ๆ ลงไป) เริ่มจากนำกล้วยไข่สดก่อนแก่มาล้างด้วยน้ำสะอาด 2 ครั้ง จากนั้นนำไปปอกเปลือกแช่ในน้ำมะนาวอ่อน ๆ เพื่อไม่ให้ผิวกล้วยดำ แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกที ก่อนนำไปสไลด์เป็นแผ่นบาง ๆ ลงกระทะน้ำมันที่ความร้อน 160 องศา

ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที สังเกตว่ากล้วยมีสีเหลืองทองจึงตักขึ้นใส่ตะแกรงวางให้สะเด็ดน้ำมัน พักไว้จนเย็น ก่อนนำมาปรุงแต่งรสชาติตามต้องการ จากนั้นนำเข้าตู้อบอีก 3-10 นาที ซับน้ำมันและไล่ความชื้นเพื่อป้องการเชื้อรา ก่อนแพ็กลงบรรจุภัณฑ์เตรียมจำหน่าย ซึ่งลูกค้าสามารถเก็บไว้รับประทานได้นานถึง 3 เดือน

สำหรับการปรุงเป็นรสต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น รสสาหร่าย ก็ให้นำสาหร่ายอบแห้งที่เตรียมไว้มาฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพอประมาณ จากนั้นก็นำไปคลุกเคล้ากับกล้วยตอนที่ทอดเสร็จแล้ว ปรุงรสเพิ่มเติมด้วย พริกไทยป่น เกลือป่น และน้ำตาลไอซิ่ง ทำการผสมคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันทั่ว ก็จะได้กล้วยไข่เมืองลุง รสสาหร่าย

ผลิตภัณฑ์ “กล้วยเมืองลุง” หรือ Phatthalung Banana Chips เจ้านี้มีทั้งแบบม้วน แบบแว่น แบบสไลด์ และแบบแท่ง บรรจุในถุงใสน้ำหนัก 150 กรัม และซองสีเขียวน้ำหนัก 140 กรัม ราคาส่ง 16 บาท ส่วนราคาขายปลีกขึ้นอยู่กับพื้นที่ เริ่มต้นที่ 20 บาท 25 บาท และ 35 บาท

ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนบ้านลำสินธุ์มีสมาชิกกว่า 160 ชีวิต แบ่งหน้าที่กันตามความถนัด ผลิตสินค้าหลากหลายชนิด เฉพาะ “กล้วยเมืองลุง” สร้างรายได้เสริมให้กับสมาชิกเดือนละ 4-5 พันบาทต่อคน อีกทั้งชาวสวนกล้วยไข่ก็พลอยมีรายได้ดีจากการขายกล้วยดิบอีกด้วย

หากสนใจต้องการศึกษาวิธีการแปรรูปกล้วยไข่ติดต่อได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านลำสินธุ์ 104 หมู่ที่ 3 ต.ลำสินธุ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง โทร. 0-7460-5659, 08-6292-1923 แล้วจะได้รู้ว่า “กล้วย” ก็มิใช่ผลไม้บ้าน ๆ เชย ๆ ใครอาจจะมองว่าก็แค่ “กล้วย” แต่เมื่อบวกไอเดียดี ๆ เข้าไป ก็อาจทำให้ “รวย” ได้ !!

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=38330&categoryID=525