จากอดีต "ส้มแขก"
ส่วนใหญ่จะนำมาแปรรูปเป็นส้มแขกตากแห้งที่ใช้สำหรับปรุงอาหารจำพวกแกงส้มใต้
หรือแกงเหลือง ต้มส้มปลา
แต่หลังจากที่ผลงานวิจัยพบว่าส้มมีสรรพคุณทางสมุนไพรหลายอย่าง
โดยเฉพาะช่วยลดความอ้วน ทำให้มีการส้มแขกมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลายชนิด
อย่างที่ "กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรแปรรูปส้มแขก" หมู่ 3
บ้านทรายขาว ต.ทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
ซึ่งเป็นแหล่งปลูกส้มแขกจำนวนมาก มีการนำส้มโอทั้งส้มแขกผลสดนำมาทำเป็น
"ส้มแขกแช่อิ่ม-ส้มแขกกวน" ส่วนส้มแขกแห้งมาทำเป็น "ส้มแขกหยี"
ส่งขายในแต่ละเดือนมีรายได้กว่า 1.2 แสนบาท
นวลพรรณ พรหมสุข
หัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรแปรรูปส้มแขกหมู่ 3 บ้านทรายขาว
บอกว่า สภาพหมู่บ้านทรายขาวนั้น มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรมชาติ
เนื่องจากติดกับชายเทือกเขาสันกาลาคีรี หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า
"ควนใหญ่" เกษตรกรส่วนใหญ่มีอาชีพการเกษตร ส่ง
ผลให้มีผลผลิตทางการเกษตรหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นยางพารา และไม้ผล
ที่ถูกส่งขายนอกพื้นที่ทั้งผลสด ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปรูปออกจำหน่าย
หลายอย่างในจำนวนนี้มีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากส้มแขก เนื่องจากในชุมชนทรายขาว
ส้มแขกแซมในสวนผลไม้ผลเป็นจำนวนมาก และมีการปลูกส้มแขกแทบทุกบ้านด้วย
"เดิมที่เราปลูกส้มแขกเพื่อนำมาตากแห้ง
ที่ใช้สำหรับในการปรุงอาหารที่จะให้มีรสเปรี้ยว
เนื่องจากส้มแขกนั้นมีความเปรี้ยวพอๆกับมะขามเปียก
จึงเป็นที่นิยมนำมาปรุงอาหารของบรรดาแม่บ้านทั่วไป ในปี 2546
รัฐบาลมีการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนภายใต้โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
เราจึงมอว่า บ้านเรามีส้มแขก ที่สำคัญคนในชุมชนส่วนใหญ่เป็นชาวสวนยางพารา
กรีดยางช่วงเช้าพอบ่ายมีเวลาว่าง เราจึงรวมบรรดาสตรีและแม่บ้านในหมู่ 3
บ้านทรายขาว มาตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อแปรรูปผลผลิตทางการเป็นอาชีพเสริม
เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวนอกเหนือจากการขายยางพาราและผลไม้อื่นๆ“
นวลพรรณ กล่าว
สำหรับการแปรรูปรูปส้มแขกมาเป็นผลิตภัณฑ์นั้น นวลพรรณ บอกว่า
มีส้มแขกแช่อิ่มอบแห้ง
คือนำผลส้มแขกสดมาแช่อิ่มในน้ำเชื่อมมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวรับประทานแล้วทำ
ให้ชุ่มคอแก้กระหายและช่วยระบายอ่อนๆ ส่วนส้มแขกแห้ง
ที่สมาชิกนำมาแปรรูปจากส้มแขกนอกจากนั้นมีส้มแขกหยี ส้มแขกกวน
ที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานเช่นกัน แต่จะนุ่มและรู้สึกหนึบหนับเวลาเคี้ยว
ซึ่งเด็กๆ จะชอบมาก นอกจากนี้ยังมีส้มแขกผง ที่สามารถนำไปชงพร้อมดื่ม
หรือจะเป็นส้มแขกแคปซูล สำหรับคนที่ชอบความสะดวกรวดเร็วในการรับประทาน
โดยเฉพาะกลุ่มคนรักสุขภาพ
เนื่องจากคุณสมบัติของส้มแขกเป็นที่รับรู้กันดีว่ามีสรรพคุณในการช่วยบรรเทา
อาการปวดท้องในสตรีมีครรภ์ เป็นยาระบายอ่อนๆ ทั้งยังช่วยลดไขมัน
ทำให้ลดความอยากอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยฟอกโลหิต
ขับเสมหะและมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะอีกด้วย จึงถูกใจสาวๆ
ที่ต้องการลดความอ้วน แต่ปัจจุบันส้มแขกผง และแคปซูล หยุดทำไปก่อน
ในจำนวนผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากส้มแขกนั้น
หัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรหมู่ 3 บ้านทรายขาว บอกอีกว่า
ส้มแขกแช่อิ่มจะขายดีที่สุดกว่าผลิตภัณฑ์อื่นถึง 70% ที่เหลือเป็นส้มแขกหยี
20% ตามด้วยส้มแขกกวน โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะผลิตใน 2 รูปแบบ คือ บรรจุซอง
และชั่งขายเป็นกิโลกรัม โดยส้มแขกแช่อิ่มบรรจุซองมี 2 ขนาด คือ ขนาด 100
กรัม ขายส่งซองละ 20 บาท ขนาด 150 กรัม ซองละ 25 บาท หากชั่งขายราคา กก.ละ
200 บาท ส่วนส้มแขกหยี บรรจุซองขนาดเดี่ยว 120 กรัม ราคา 35 บาท
ขายเป็นกิโล ราคา กก.ละ 250 บาท โดยตลาดหลักส่งเข้ากรุงเทพฯ 60%
ที่เหลือเป็นตลาดในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งสงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
เป็นต้น
และอีกส่วนหนึ่งนำสินค้าออกเดินสายออกงานที่ทางราชการจัดงานแสดงสินค้าต่างๆ
ทั่วประเทศ ซึ่งในแต่ละเดือนจะผลิตออกสินค้าออกมา รวมแล้วราว 700-1,000
กก. ทำให้มีรายเดือนละไม่ต่ำกว่า 1.2 แสนบาท
“การทำงานงานของกลุ่ม เราให้สมาชิกแปรรูปวัตถุดิบอยู่ที่บ้าน
เสร็จแล้วนำผลผลิตที่มีการแปรรูปแล้วมาส่งยังที่ทำการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่
บ้านเกษตรกรหมู่ 3 บ้านทรายขาว ก่อนจะคัดแยกสินค้าออกเป็นหมวดหมู่
เพื่อส่งจำหน่ายให้ลูกค้าตามชุมชน ในตัวเมือง
เพื่อกระจายไปยังร้านค้าในพื้นที่อื่น
รวมถึงการนำสินค้าออกเดินสายร่วมงานกับทางราชการในการจัดแสดงสินค้าต่างๆ
ทั่วประเทศ ตรงนี้ทำให้สมาชิกเรามีรายได้เสริมเฉลี่ยคนละ 3,000-5,000
บาทต่อเดือน" หัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรแปรรูปส้มแขกหมู่ 3
บ้านทรายขาว
เธอบอกด้วยว่า
ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากส้มแขกนั้น จะมีเอกลักษณ์โดดเด่น
สินค้าที่แปรรูปมาจากส้มแขกจากพื้นที่ชุมชนมีความสดใหม่
เนื่องจากสินค้าแต่ละประเภทจะไม่เน้นผลิตในปริมาณมาก
เพราะต้องการจำหน่ายให้หมด และมีการผลิตอยู่อย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นผู้บริโภคหรือลูกค้าจะได้ลิ้มรสของอร่อยที่ผลิตใหม่อยู่ตลอดเวลา
ที่สำคัญจะไม่ปล่อยให้มีสินค้าค้างสต็อกแน่นอน
ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากส้มแขกของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรแปรรูปส้ม
แขกหมู่ 3 บ้านทรายขาว นับว่าเป็นผลผลิตที่น่าสนใจ
นอกจากจะทำให้สมาชิกกลุ่มมีรายเสริมจากการทำสวนยางพาราแล้ว
ผู้บริโภคก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
เนื่องจากส้มแขกมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรหลายอย่าง
หากใครสนใจสามารถสอบถามที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรแปรรูปส้มแขก
โทร.08-7293-8089
--------------------
สูตรสำเร็จ"ส้มแขกหยี"
ผู้ที่สนใจอยากทำส้มแขกหยีเพื่อบริโภคเอง มีสูตรง่ายๆ ดังนี้
1. นำส้มแขกแห้ง 1 กก.
2. น้ำตาลทราย 1.5 กรัม
3. เกลือป่น 0.5 กรัม
4. พริกป่น 0.5 กรัม
วิธีทำ
นำส้มแขกแห้ง ผสมกับน้ำตาลทราย เกลือ พริกป่น บดให้ละเอียด
แล้วมากวนจนแห้งเหนียว เสร็จยกขึ้นมารอให้เย็น มาปั้นเป็นก้อน
แล้วมาคลุกกับน้ำตาลทรายที่ผสมกับเกลือป่น และพริกป่นอีกครั้ง
จะได้ส้มแขกหยีที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน และเผ็ดเล็กน้อย
และสามารถเก็บได้นานถึง 4 เดือน
ส่วนวิธีการถนอมส้มแขกให้มีความสด เนื่องจากส้มแขกจะออกผลผลิตปีละ 1 ครั้ง
คือ ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ขณะที่การผลิตส้มแขกแช่อิ่มตลอดทั้งปี
จะนำส้มแขกสดใส่โอ่งราว 300 กก. ใส่เกลือ 2 กก.ดองไว้
จึงสามารถทำเป็นวัตถุดิบตลอดทั้งปี
--------------------
(แปรรูปส้มแขกทำ "ขนมขบเคี้ยว" ของดี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ : คอลัมน์ เกษตรทำกิน : โดย ... สุพิชฌาย์ รัตนะ)
http://www.komchadluek.net/detail/20120901/138971/แปรรูปส้มแขกทำขนมขบเคี้ยว.html#.UEFUzCKwUp4
ทุกวันนี้เชื่อว่าหลายต่อหลายคนกำลังโหยหาอดีต
รวมถึงเรื่องอาหารการกินที่ไม่เจือปนสารเคมีมากเกินไป
สินค้าหรืออาหารที่ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ
กรรมวิธีการทำเน้นรูปแบบเก่าหรือสมัยโบราณ จึงหวนกลับมาขายดี
ซึ่งขนมโบราณชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ในงานพิธี เช่น บวงสรวง แก้บน ไหว้ครู คือ
“ขนมต้ม” ที่รื้อฟื้นความโบราณกลับมา ที่ทำขายโดยเน้นคุณภาพ
สร้างภาพลักษณ์ความเป็นไทย ได้สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า จนเป็นอีก
“ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ
และวันนี้ทางทีมงานก็มีกรณีศึกษาจากตลาดสามชุกมานำเสนอให้ลองพิจารณากัน กับ
“ขนมต้ม(จิ๋ว)ใบเตย” …
ปิ่นศักดิ์ อินประสิทธิ์ หรือ “โอ้” อายุ 30 ปี เจ้าของร้านน้องขนมต้ม
ตลาดสามชุก ซอย 4 จ.สุพรรณบุรี ทำ “ขนมต้ม(จิ๋ว)ใบเตย” ขาย
เจ้าตัวเล่าให้ฟังถึงที่มาของการทำขนมชนิดนี้ขายว่า
เดิมทีทำงานเป็นพนักงานบริษัทเครื่องกรองน้ำแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
ทำอยู่หลายปีก็รู้สึกเบื่อ เงินก็ไม่เหลือเก็บ และไม่มีอิสระ
จึงคิดลาออกแล้วหางานอื่นทำ อยากทำอะไรที่มีอิสระ
หรือไม่ก็ทำธุรกิจส่วนตัวที่ไม่ต้องใช้เงินทุนเยอะนัก
“พอดีช่วงกลับบ้านที่ตลาดสามชุกร้อยปี
เห็นคนมาเที่ยวที่นี่กันมากมายเพราะอยากดูวิถีการดำรงชีวิตโบราณของคนไทย
ก็เกิดปิ๊งไอเดีย อยากทำขนมโบราณขาย
ผมชอบทานขนมพวกนี้อยู่แล้วจึงนำสิ่งที่ใกล้ตัวและชื่นชอบมาเป็นโจทย์
มีตัวเลือกอยู่ 2-3 อย่าง แล้วก็มาลงตัวที่ขนมต้ม
เพราะขนมอื่นมีคนทำขายมากแล้ว”
เมื่อมีความมุ่งมั่น ก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด
ก็เริ่มด้วยการสำรวจตลาดก่อน ศึกษาว่าตัวแป้งต้องเป็นแบบไหน
ไส้ขนมแบบไหนที่ลูกค้าชอบ รสชาติต้องเป็นอย่างไร
มะพร้าวชอบแบบนึ่งหรือแบบสด
เมื่อได้ผลสำรวจแล้วก็เริ่มฝึกทำจากสูตรขนมต้มแดง-ขนมต้มขาว
และด้วยความคิดที่ไม่อยากให้เหมือนใคร จึงปรับสูตรให้มีความแตกต่าง
โดยตัวแป้งจะเนียนนุ่มแบบที่เรียกว่าละลายในปาก ตัวไส้ทำให้เหนียวนุ่มพอดี ๆ
ใช้มะพร้าวน้ำหอมมาผัดทำไส้ และใช้คลุกด้วย
นอกจากนี้ ตัวแป้งจะผสมน้ำใบเตยหอมแท้ ๆ 100% เพื่อเพิ่มความหอมอร่อย
และปรับขนาดขนมให้มีขนาดเล็กจิ๋ว ให้ดูน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น
เมื่อฝึกทำจนสูตรทุกอย่างลงตัว คนชิมบอกว่าอร่อย จึงทำออกมาขาย
อุปกรณ์ในการทำขนม หลัก ๆ ก็มี เตาแก๊ส, หม้อสเตนเลส, กระชอน, กระทะ, ถาด,
อ่างผสม, ผ้าขาวบาง, ตะหลิว, กะละมัง, ที่ขูดมะพร้าวเล็บแมว, เครื่องปั่น
เป็นต้น
สำหรับส่วนผสมที่ใช้ ประกอบไปด้วย แป้งข้าวเหนียว, แป้งข้าวเจ้า, มะพร้าวน้ำหอม, น้ำตาลมะพร้าว, ใบเตยหอม, หัวกะทิ และน้ำสะอาด
ขั้นตอนการทำ “ขนมต้ม(จิ๋ว)ใบเตย” เริ่มที่ “ตัวขนมต้ม”
เริ่มโดยการเตรียมผสมสีสันของแป้ง คือสีเขียว
ซึ่งนำเอาใบเตยหอมมาล้างให้สะอาด แล้วปั่นกับน้ำสะอาด
กรองเอาแต่น้ำใบเตยข้น ๆ ใส่ภาชนะเตรียมไว้
นำมะพร้าวน้ำหอมมาผ่าซีกแล้วขูดเตรียมไว้ในภาชนะที่สะอาด
ลำดับถัดมาก็เตรียมผสมแป้งให้ออกมาไม่แข็งเกินไป และไม่นิ่มเกินไปจนเละ
โดยใช้แป้งข้าวเหนียวผสมกับแป้งข้าวเจ้านิดหน่อย
แล้วจึงใส่สีเขียวของน้ำใบเตย และหัวกะทิลงไปในแป้ง
นวดให้ส่วนผสมแป้งเข้ากัน นวดต่อไปเรื่อย ๆ จนแป้งเนียนได้ที่ แล้วพักไว้
โดยเอาผ้าขาวบางชุบน้ำหมาด ๆ คลุมไว้
ต่อไปเป็นขั้นตอนของการทำ “ไส้ขนมต้ม”
สูตรไส้ที่หวานหอมคือการนำมะพร้าวขูดมาคั่วกับน้ำตาลมะพร้าว คั่วไฟอ่อน ๆ
จนหอม แล้วทำการเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ ไปเรื่อย ๆ จนไส้เหนียว จนหอมได้ที่
ยกลงพักไว้ให้เย็น แล้วจึงทำการปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ ใส่ถาดเตรียมไว้
และก็ขูดมะพร้าวทึนทึกเป็นเส้น ๆ ใส่ถาดเตรียมไว้ด้วย
เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็นำแป้งที่เตรียมไว้มาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดตามต้องการ
แล้วแผ่เป็นแผ่นบาง ใส่ไส้ที่เตรียมไว้ลงไป ปั้นแป้งหุ้มไส้ให้มิด
แล้วนำขนมใส่ลงในน้ำเดือด เมื่อขนมสุกจะลอยขึ้นมา
ใช้กระชอนตักขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำ
แล้วนำขนมลงคลุกในมะพร้าวที่ขูดเตรียมไว้ทันที
เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย พร้อมขาย
เคล็ดไม่ลับที่ทำให้ขนมต้มและขนมไทยชนิดอื่น ๆ ขายดิบขายดีคือ
ความสดใหม่ของวัตถุดิบ ของขนม ที่ทำใหม่ทุกวัน ไม่ค้างคืน
รวมถึงสีสันความสวยงามที่ได้จากพืชผักธรรมชาติ
สำหรับเทคนิคการขายเพื่อสร้างจุดขายที่น่าสนใจ นอกเหนือไปจากตัวขนมแล้ว
คือภาชนะที่ใส่ โดยเจ้านี้จะใช้กะลามะพร้าวที่ขูดเนื้อออกแล้ว
นำมาเป็นภาชนะใส่ขนมขาย ดูเก๋ไก๋
และลูกค้านักท่องเที่ยวก็ถือเดินรับประทานได้สะดวก
ราคาขายขนมต้ม(จิ๋ว)ใบเตย คือ 8 ลูก 10 บาท มีต้นทุนเฉพาะในส่วนของวัตถุดิบประมาณ 60% ของราคา
“ขนมต้ม(จิ๋ว)ใบเตย” เจ้านี้ เสาร์-อาทิตย์ขายที่ซอย 4 ตลาดสามชุกร้อยปี
จ.สุพรรณบุรี และขายที่ตลาดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ กรุงเทพฯ เดือนละครั้ง
นอกจากนี้ทางร้านยังมี “ช่องทางทำกิน”
เพิ่มเติมจากการรับสั่งทำขนมต้มแดง-ขนมต้มขาว สำหรับใช้ในงานพิธี
และรับออกงาน-จัดเลี้ยง ซึ่งหากต้องการติดต่อกับ โอ้-ปิ่นศักดิ์
ก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-1252-6467 ทั้งนี้ ขนมไทยที่ทำได้รสชาติดี
ราคาไม่แพง เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจบ้านเรา นี่น่าสนใจในเชิงอาชีพ
แต่ที่สำคัญคือควรฝึกฝนการทำให้เชี่ยวชาญ และอย่าคิดแต่ลอกเลียนแบบ
ต้องสร้างเอกลักษณ์เป็นของตนเองจึงจะดี
เชาวลี ชุมขำ :เรื่อง / วรัญญู เหมือนเดช :ภาพ
.........................................
คู่มือลงทุน...ขนมต้ม(จิ๋ว)ใบเตย
ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 4,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย
รายได้ ขายราคา 8 ลูก 10 บาท
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ตลาดนัด, ตามแหล่งท่องเที่ยว
จุดน่าสนใจ ขนมโบราณทานง่ายขายคล่อง
http://www.dailynews.co.th/article/384/148945