Saturday, April 30, 2011

แนะนำอาชีพ 'ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง'

เก็บตกจากงานสื่อมวลชนสัญจร มา’ยอง โอทอป จ.ระยอง ระหว่าง 25-26 มี.ค. ที่ผ่านมา อีกอาชีพที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ เก็บข้อมูลมาให้ลองพิจารณากันคือ การแปรรูปปลาหมึกเป็น ’ปลาหมึกปรุงรส“ แบบต่าง ๆ เป็นอาหารว่างทานเล่นที่หลายคนโปรดปราน และก็เป็นอาชีพที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ทำออกจำหน่ายรายนี้...

มงคล ไตรรัตน์จรัสพร เป็นหัวเรือใหญ่ในการทำ “ปลาหมึกปรุงรส” ขาย โดยใช้ชื่อแบรนด์ เปี๊ยก ปลาหมึก ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อใน ต.บ้านเพ จ.ระยอง โดย เปี๊ยก ปลาหมึก ดำเนินการเป็นวิสาหกิจชุมชนด้านผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งชื่อเปี๊ยกก็มาจากชื่อเล่นของหัวเรือใหญ่ผู้ริเริ่มก่อตั้ง ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารทะเลมานานกว่า 30 ปี

เปี๊ยก-มงคลเล่าว่า แต่เดิมก็ไม่ได้ทำธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป เคยค้าขายอะไหล่รถยนต์มาก่อน ซึ่งจุดเริ่มต้นของการก้าวมาสู่ธุรกิจทำปลาหมึกแปรรูปคือมีลูกค้าชาวญี่ปุ่น ต้องการปลาหมึกแปรรูปจากประเทศไทย เพราะได้มาสำรวจพื้นที่แหล่งผลิตปลาหมึกในประเทศไทย พบว่าที่ย่านบ้านเพมีปลาหมึกที่นำมาแปรรูปแล้วรสชาติดี

“ลูกค้าญี่ปุ่นแนะนำให้ทดลองทำปลา หมึกแปรรูปในรูปแบบย่างสุกส่งไป โดยทางญี่ปุ่นบอกว่ายินดีรับซื้อของเราทั้งหมดในช่วงเริ่มต้น พร้อมกับให้คำแนะนำในเรื่องของวิธีการผลิต และแนะนำเครื่องจักรที่จะเข้ามาช่วยในการผลิตด้วย แต่ปัญหาของการส่งออกปลาหมึกแปรรูปไปญี่ปุ่นคือลูกค้าต้องการให้ทุกส่วนอยู่ ครบทั้งตัว ทั้งหัว และหนวด ซึ่งถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งขาดหายไป ไม่สมบูรณ์ ราคาก็จะถูกลดลงมาครึ่งหนึ่ง ก็เป็นปัญหาทำให้ขาดทุนในบางลอตที่ส่งไป

ในระยะหลัง ๆ จึงเริ่มหันมาทำปลาหมึกขายในประเทศมากขึ้น ทำปลาหมึกปรุงรสในแบบต่าง ๆ ขายให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวระยอง ภายใต้แบรนด์ เปี๊ยก ปลาหมึก” มงคลกล่าว

ปัจจุบันปลาหมึกปรุงรสเจ้านี้ได้พัฒนาสูตรการทำออกมาหลายชนิดหลายแบบ ได้แก่ ปลาหมึกชุบน้ำจิ้ม ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง ปลาหมึกอบแห้ง-อบกรอบ ปลาหมึกฝอย ปลาหมึกหยอง ปลาหมึกทอดฉาบน้ำตาล-ฉาบน้ำเชื่อม ซึ่งแต่ละแบบก็ขายดีพอ ๆ กัน โดยการขายก็มีทั้งขายแบบตักและแบบบรรจุซอง

มงคลบอกว่า ปลาหมึกที่ใช้ทำปลาหมึกแปรรูป คือ “ปลาหมึกกล้วย” ทุกขนาด คือเล็ก-กลาง-ใหญ่ แต่ที่นำมาแปรรูปมากคือ ขนาดกลางและเล็ก ส่วนขนาดใหญ่ส่วนมากจะเข้าไปอยู่ ในร้านซีฟู้ดมากกว่าที่จะถูกนำมาแปรรูป

สำหรับสูตรปลาหมึกที่จะนำมาฝากกันวันนี้คือ ’ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง“ ซึ่งเป็นปลาหมึกที่ขายดีในตลาดนักท่องเที่ยว กรรมวิธีเริ่มที่นำปลาหมึกกล้วยขนาด 4-6 นิ้ว มาผ่า และล้างให้สะอาด จากนั้นนำตากแดด ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในขั้นตอนนี้มีเพียงแค่กะละมัง มีด และตะแกรงตากแห้ง โดยขั้นตอนการตากแดดครั้งแรก ใช้แดด 2 แดด

จากนั้นนำปลาหมึกมาย่างให้สุก แล้วนำไปบดให้ยืดด้วยเครื่องบด ขั้นต่อไปก็นำไปชุบน้ำจิ้ม แล้วนำไปตากแดดอีกครั้ง โดยครั้งนี้ตากประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วถึงจะนำไปเข้ากระบวนการอบ หรืออบแห้ง-อบกรอบ

น้ำจิ้มนั้น มงคลบอกว่า ถ้าใช้ปลาหมึก 30 กก. สูตรน้ำจิ้มจะใช้น้ำ 45-50 ลิตร, น้ำตาลทราย 12 กก., น้ำผึ้งขวดขนาด 700 ซีซี 1 ขวด, นมสด 1 กระป๋อง, เนย 200 กรัม, พริก (บด) 500 กรัม, กระเทียม (บด) 250 กรัม เคี่ยวให้เข้ากัน

เมื่อตากปลาหมึกครั้งที่ 2 ประมาณ 3 ชั่วโมง ครบตามเวลาแล้ว ก็นำไปเข้ากระบวนการอบ ด้วยความร้อน 100 องศาเซลเซียส ซึ่งจะมีเครื่องอบโดยเฉพาะ โดยขนาดเครื่องที่เจ้านี้ใช้อยู่ราคา 100,000 กว่าบาท ทั้งนี้ การอบธรรมดาจะใช้เวลา 15 นาที ถ้าเป็นกระบวนการอบกรอบใช้เวลา 2 ชั่วโมง จากนั้นก็ใส่บรรจุภัณฑ์พร้อมจำหน่าย

’ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง“ ขายราคา 300 บาท/กก. หาก เป็นแบบอบกรอบ ราคา กก.ละ 600 บาท เพราะการอบกรอบน้ำหนักจะหายไปครึ่งต่อครึ่ง ส่วนต้นทุนวัตถุดิบนั้นหลัก ๆ ก็จะอยู่ที่ราคาปลาหมึก ซึ่งมีขึ้นมีลง โดยหลังจากหักต้นทุนวัตถุดิบทั้งหมด รวมทั้งหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว จะมีกำไรสุทธิประมาณ 10% ของราคาขาย

มงคลบอกอีกว่า ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวที่ขายตามร้าน ก็มีวิธีการทำคล้ายกับอบน้ำผึ้งตามที่ว่ามาข้างต้น แต่เปลี่ยนตรงที่สูตรน้ำจิ้ม คือเพิ่มแบะแซลงไปประมาณ 18-20 ลิตร เพื่อให้น้ำจิ้มเหนียวมากขึ้น และอบระยะเวลาสั้นลง คือ 3-5 นาที ก็นำใส่ถุงขาย โดยราคาขายก็ขายราคา กก.ละ 300 บาทเช่นกัน

ใครสนใจเรื่องการแปรรูปปลาหมึก สนใจผลิตภัณฑ์ปลาหมึกแปรรูป ต้องการติดต่อ มงคล ไตรรัตน์จรัสพร หรือ เปี๊ยก ปลาหมึก ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-1628-3304 ซึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ รายนี้ก็เป็นอีกกรณีศึกษาการ ’นำวัตถุดิบเด่นในพื้นที่มาสร้างอาชีพ“ ได้อย่างน่าสนใจ.

คู่มือลงทุน....ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง

ทุนอุปกรณ์ ขึ้นอยู่กับขนาดกิจการ

ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 90% ของราคา

รายได้ ราคา 300 บาท / กก.

แรงงาน ขึ้นอยู่กับขนาดกิจการ

ตลาด ย่านอาหาร, ร้านของฝาก

จุดน่าสนใจ มีผู้นิยมรับประทานทั่วไป

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=135877

แนะนำอาชีพ 'มะนาวพันธุ์พิจิตร 1 ในวงบ่อ'

มะนาวพันธุ์พิจิตร 1 นี้เป็นสายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมของ มะนาวแป้นรำไพ กับ มะนาวน้ำหอมอุดร และตั้งชื่อว่า “มะนาวพันธุ์พิจิตร 1” หรือ “มะนาวแป้นพิจิตร 1” มะนาวพันธุ์ใหม่ที่มีความทนทานต่อ “โรคแคงเกอร์” ได้สูง

มะนาวพันธุ์พิจิตร 1 มีข้อเด่นคือติดผลดกมาก ผลมีขนาดใหญ่ เปลือกผลค่อนข้างบาง ให้น้ำเยอะ มีรสเปรี้ยวจัด จึงได้รับความนิยมปลูกกันแพร่หลายในปัจจุบัน โดยเฉพาะเกษตรกรทางภาคใต้ และประเทศมาเลเซีย เนื่องจากเป็นมะนาวปลูกง่ายเป็นไม้พุ่มสูง 2-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนาม ใบเป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียว ออกเรียงสลับเป็นรูปรีหรือรูปไข่แกมขอบขนาน เนื้อใบมีจุดน้ำมันกระจายทั่ว ก้านใบมีครีบเล็ก ๆ สีเขียวเข้ม ใบเมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอม

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยว ๆ หรือเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด กลีบดอกเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมแบบ สะอาด ๆ ชื่นใจดี กลีบดอกร่วงง่าย “ผล” เป็นรูปทรงกลมกึ่งแป้น ก้นผลตัดเรียบ เนื้อในฉ่ำน้ำ เปลือกผลค่อนข้างบาง เมล็ดมีน้อย ให้น้ำเยอะ รสเปรี้ยวจัด น้ำมีกลิ่นหอม ขนาดของผลมีขนาดใหญ่กว่ามะนาวทั่วไปชัดเจน

ผลติดเป็นพวง 3-5 ผล ขยายพันธุ์ ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง สำหรับดินปลูก ควรเลือกหน้าดินที่มีอินทรียวัตถุเพียงพอ ใช้หน้าดิน 2 ส่วน ผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1 ส่วน หรือใช้ดินร่วนผสมปุ๋ยหมักในอัตรา 3 ต่อ 2 หรือดินร่วนผสมปุ๋ยคอกในอัตรา 3 ต่อ 1 ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันดี ใส่ดินที่ผสมแล้วลงในวงบ่อให้เต็มถึงขอบบ่อโดยให้ดินแน่นพอควรแล้วพูนดิน เป็นรูปหลังเต่าสูงประมาณ 6–8 นิ้ว เลือกกิ่งพันธุ์ที่แข็งแรงเจริญเติบโตสมบูรณ์จากแหล่งที่เชื่อถือได้และต้อง เป็นกิ่งพันธุ์ที่ทนต่อโรค เพื่อป้องกันโรคแคงเกอร์

เจาะหลุมตรงกลางวงบ่อซีเมนต์ให้ลึกพอประมาณ นำกิ่งพันธุ์มะนาวที่เตรียมไว้วางในหลุมให้ลึกประมาณ 5 นิ้ว โดยแผ่รากมะนาวไม่ให้ขดเป็นก้อน กลบดินที่โคน ปักไม้และผูกกับต้นมะนาวเพื่อป้องกันการโยกของต้นเพื่อไม่ให้รากกระเทือน แล้วใช้เศษหญ้าคลุมหน้าดิน รดน้ำให้ชุ่มหลังจากใช้เศษหญ้าคลุมหน้าดินแล้ว

สัปดาห์แรกรดน้ำทุกวัน วันละ 1-2 ครั้งให้ดินชุ่ม (ถ้าฝนไม่ตก) และควรให้น้ำครั้งละน้อย ๆ โดยเปิดสปริงเกอร์ ใช้เวลาเพียง 5 นาทีต่อครั้ง ถ้าให้น้ำมากกว่านี้น้ำจะชะล้างเอาดินออกมาด้วยทำให้ดินยุบตัวเร็ว จากนั้นรดน้ำวันเว้นวัน หรือรดน้ำเมื่อดินแห้งหรือใบสลด

จากนั้นก็รอวันออกดอกบำรุงต้นด้วยการให้น้ำตามระยะดังที่กล่าวมาข้างต้น แล้วรอวันเก็บเกี่ยวเมื่อมะนาวออกลูกพร้อมใช้ประโยชน์ต่อไป.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=344&contentID=135698

แนะนำอาชีพ 'เลี้ยงจิ้งหรีดเสริมรายได้'

จิ้งหรีด เป็นแมลงที่มีลักษณะปากเป็นแบบปากกัด มีตารวมหนวดยาวขาคู่หลังมีขนาดใหญ่และแข็งแรง เพศเมียปีกเรียวและมีอวัยวะวางไข่ยาวแหลมคล้ายเข็มยื่นออกมาจากส่วนท้อง เพศผู้มีปีกคู่หน้าย่นสามารถทำเสียงได้ จิ้งหรีดจัดเป็นแมลงชนิดหนึ่งที่พบได้ในทุกภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะเขตร้อนอย่างประเทศไทย จิ้งหรีดมักกัดกินต้นกล้าของพืช ใบพืช ส่วนที่อ่อน ๆ เป็นอาหาร จิ้งหรีดมีหลายชนิด หลายขนาดแตกต่างกันไปตามพฤติกรรม

สำหรับจิ้งหรีดที่พบในประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย มี 5 ชนิด 1. จิ้งหรีดดำ ลำตัวกว้างประมาณ 0.70 ซม. ยาวประมาณ 3 ซม. ตามธรรมชาติมี 3 สี คือ สีดำ สีทอง สีอำพัน 2. จิ้งหรีดทองแดง ลำตัวกว้างประมาณ 0.60 ซม. ยาวประมาณ 3 ซม. มีลำตัวสีน้ำตาล 3. จิ้งหรีดเล็ก มีขนาดเล็กที่สุด สีน้ำตาล 4. จิ้งโกร่ง เป็นจิ้งหรีดขนาดใหญ่ สีน้ำตาล โดยจะขุดดินสร้างรังอาศัยได้เอง และ 5. จิ้งหรีดทองแดงลาย มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีปีกครึ่งตัว และชนิดที่มีปีกยาวเหมือนจิ้งหรีดทั่วไป

โดยปัจจุบัน จิ้งหรีด เป็นแมลงเศรษฐกิจที่นิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลาย รสชาติอร่อย มีโปรตีนสูง อีกทั้งยังมีความต้องการทางตลาดสูง โดยจะนำจิ้งหรีดมาเป็นอาหารโดยการแปรรูปคั่วหรือทอดขายตามตลาดทั่วไป หรือทำเป็นจิ้งหรีดอัดกระป๋องเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับจิ้งหรีดและเพิ่มช่อง ทางการขายด้วย

ในพื้นที่บ้านใหม่ป่าแขม อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เป็นจุดหนึ่งที่มีการส่งเสริมเกษตรกรเลี้ยงจิ้งหรีด เพื่อเสริมรายได้ให้กับครอบครัว โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ที่ส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืชผักปลอดสารพิษ และส่งเสริมอาชีพอิสระ โดยใช้เวลาว่างมาเลี้ยงจิ้งหรีดเสริมรายได้ด้วย

นางเล็ก พวงรังกา อายุ 55 ปี เกษตรกรบ้านใหม่ป่าแขม เป็นหนึ่งที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพ กล่าวว่า จะใช้เวลาหลังจากที่เสร็จสิ้นจากการปลูกพืชผักปลอดสารพิษมาเพาะเลี้ยง จิ้งหรีดส่งไปขายตามตลาด ทั้งนี้ขั้นตอนการเลี้ยงจิ้งหรีดก็ไม่ยุ่งยากอะไร มีเพียงบ่อจิ้งหรีด ที่จะนำมาเป็นสถานที่เพาะเลี้ยง หรือจะใช้วงปูน ก่อนจะปล่อยแม่พันธุ์ 3 ตัว ต่อพ่อพันธุ์ 1 ตัวลงในบ่อ โดยนำรังไข่เปล่า หรือ กาบมะพร้าว วางในวงท่อปูนสำหรับเป็นที่หลบซ่อนของจิ้งหรีด ทั้งนี้ควรป้องกันแสงสว่างและให้ความอบอุ่นแก่จิ้งหรีด เนื่องจากจิ้งหรีดเป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน

สำหรับไข่จิ้งหรีดที่ฟักจะอยู่ในขันที่มีการเตรียมดิน สำหรับให้จิ้งหรีดฟักไข่ ออกมาเป็นตัว นอกจากนั้นมีเพียงถาดที่ไม่ลึกมาก เพื่อให้จิ้งหรีดได้ขึ้นกินอาหารและน้ำได้สะดวก 1 วง จะมีถาดอาหารและน้ำอย่างละ 2 ที่ ขั้นตอนของการเลี้ยงจิ้งหรีด เพียง 45 วัน เกษตรกรก็สามารถจับจิ้งหรีดขายได้แล้ว การเลี้ยงจิ้งหรีดจึงเป็นอาชีพเสริมให้กับเกษตรกรที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว ต้นทุนต่ำ จึงเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=344&contentID=135470

แนะนำอาชีพ 'เทียนโคมไฟ'

“เทียนหอม” ยังคงเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม แต่ก็มีผู้ผลิตออกมาสู่ตลาดกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ตลาดการค้าขายเทียนหอมมีส่วนแบ่ง-มีการแข่งขันทางการตลาดเยอะ เพื่อที่สินค้าจะคงอยู่ในตลาดและสามารถสู้กับเจ้าอื่น ๆ ได้ ก็จะต้องมีไอเดียใส่ลงไปในสินค้า เพิ่มความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร สินค้าถึงจะมีที่ยืนอยู่ในตลาดได้ต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่ง ’เทียนโคมไฟ“ เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดขึ้นมาเพื่อสร้างความต่างให้กับสินค้าเทียน หอม สามารถดึงผู้บริโภคให้หันมาสนใจได้มากขึ้น พร้อมไปกับการเป็น ’ช่องทางทำกิน” สร้างรายได้เข้ากระเป๋าให้ผู้ที่ทำจำหน่ายได้เป็นอย่างดี...

ทิพย์-ทิพย์สุดา แสงเทียน เจ้าของร้านเทียนบางกอก เจ้าของไอเดียนำ “เทียน” มาสร้างสรรค์เป็น “โคมไฟ” ใส่รูปหรือตัวอักษรลงไป จนเป็นผลิตภัณฑ์ที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เป็นงานแฮนด์เมดทำมือทั้งหมด โดยเจ้าตัวเล่าว่า ปกติก็ทำงานเป็นพนักงานบริษัท การทำเทียนขายนี้จึงเป็นอาชีพเสริม เริ่มทำออกมาจำหน่ายได้ประมาณ 2 ปีแล้ว

“เริ่มมาจากการที่โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบพวกเทียนหอมอยู่แล้ว มักจะซื้อมาใช้บ้าง ซื้อมาเก็บบ้าง เพราะเห็นว่าเป็นสินค้าที่สวย เราก็เห็นว่าเทียนหอมเป็นสินค้าที่ขายดี และตัวเราเองก็ชอบอยู่ จึงมีความคิดที่จะทำออกจำหน่ายบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้เริ่ม เพราะเราคิดว่า โดยทั่ว ๆ ไป มีผู้ค้าอยู่เยอะในตลาด เราจึงคิดว่าถ้าจะทำขายจริงจะต้องคิดหาแนวใหม่ ๆ ไม่เหมือนใคร ชอบคอนเซปต์ที่ว่าเป็นสินค้าที่เป็นชิ้นเดียวในโลก เราจึงมานั่งคิดว่าจะทำอะไร จนมาลงตัวที่จะทำเป็นโคมไฟ แล้วมีรูปอยู่ในโคมไฟด้วย เพราะเป็นสินค้าที่ยังไม่มีใครทำ จึงตัดสินใจที่จะทำสินค้าตัวนี้ออกมาสู่ตลาด”

หลังจากมีไอเดียว่าจะทำสินค้าอะไร-อย่างไรแล้ว จากนั้นทิพย์ซึ่งไม่มีความรู้เรื่องการทำเทียนหอมมาก่อน ก็ไปเรียนวิธีทำเทียนหอมเป็นคอร์สเรียนสั้น ๆ 1 วัน เป็นการเรียนรู้พื้นฐานการทำเทียน หลังจากที่เรียนจบคอร์สก็กลับมาทดลองทำเองที่บ้าน พอเริ่มทำได้ ก็เริ่มทดลองทำสินค้าที่คิดไว้อย่าง “เทียนโคมไฟ”

ทิพย์บอกว่า สำหรับเทียนโคมไฟที่คิดจะทำนั้น ลองทำผิดทำถูกอยู่ประมาณ 7 เดือน กว่าที่จะได้ผลงานที่น่าพอใจ หลังจากที่ทำสำเร็จก็นำลงขายในเว็บไซต์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะเป็นสินค้าที่แปลกใหม่แหวกแนว สวยงามลงตัว ที่สำคัญลูกค้าสามารถเลือกภาพถ่ายของตัวเองหรือคนที่รักมาติดบนตัวโคมไฟได้ หรือสามารถเขียนคำอวยพรเพื่อใช้เป็น ของแต่งบ้าน, ของขวัญ, ของที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ ทุกเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นวันขึ้นปีใหม่, วันวาเลนไทน์, วันเกิด, วันรับปริญญา ฯลฯ

สำหรับอุปกรณ์ในการทำนั้น หลัก ๆ ก็มี...บล็อกเทียน, หม้อต้ม, ถังแก๊ส, ทัพพี, เครื่องชั่งน้ำหนัก, มีด เป็นต้น ส่วนวัตถุดิบนั้นก็มี... พาราฟิน (ใช้ทำเทียน), พี.อี. (Polyester Easterien) เป็นตัวช่วยให้เทียนแข็งตัวและจุดติดไฟได้นานขึ้น เมื่อจุดเทียนจะมีควันน้อย, แวกซ์ ช่วยทำให้เทียนสีสดและเป็นมันเงา, สี, น้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ

“บล็อกเทียนนั้นเราทำขึ้นมาเอง โดยทำจากแผ่นอะคริลิก เคลือบด้วยเรซิ่น เพราะต้องการให้โคมได้ขนาดที่เราต้องการ ก็คือขนาด 5x5x5.5 นิ้ว เป็นขนาดที่ดีที่สุด เวลาวางเทียนทีไลต์ไว้ด้านในโคม เทียนจะไม่ละลาย ที่สำคัญทำบล็อกเองก็ประหยัดกว่าซื้อบล็อกสำเร็จรูปด้วย”

วัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ทำเทียนนั้น สามารถหาซื้อได้ตามร้านที่ขายอุปกรณ์ทำเทียนที่สวนจตุจักร

ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากนำรูปภาพที่ต้องการใช้ไปตกแต่งในคอมพิวเตอร์ด้วยโปรแกรมโฟโต้ช็อป เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด หรือจะใส่ลูกเล่นอะไรต่าง ๆ ก็ได้ตามต้องการ กำหนดไซซ์ของภาพให้ได้ขนาดเท่ากับโคมไฟ ขนาด 5x5.5 นิ้ว เมื่อแต่งภาพ กำหนดไซซ์เรียบร้อยแล้ว ก็พิมพ์ภาพนั้นออกมา แล้วนำไปติดในบล็อกเทียนทั้ง 4 ด้าน

ต่อไปก็เป็นการทำโคมไฟจากเทียน เริ่มจากการนำพาราฟิน ประมาณ 2 กิโลกรัม, พี.อี. ประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ และแวกซ์เล็กน้อย คิดเป็นก้อนก็ประมาณ 4-5 ลูกบาศก์เซนติเมตร ใส่รวมกันลงไปในหม้อต้ม นำขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟปานกลาง ไม่ใช้ไฟแรงเพราะจะทำให้ไหม้ คนไปเรื่อย ๆ ให้ส่วนผสมทั้งหมดละลายรวมจนเป็นเนื้อเดียวกัน

เมื่อส่วนผสมละลายเข้ากันแล้วก็ใส่น้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ ที่ต้องการลงไปประมาณ 2 หลอดหยด คนต่อไปเรื่อย ๆ จนได้เนื้อเทียนที่ผสมผสานเข้ากันเป็นอย่างดี จากนั้นก็ยกไปเทใส่บล็อกเทียนที่เตรียมไว้ เทจนเต็มพอดีบล็อก หลังจากที่เทใส่บล็อกแล้ว ปล่อยทิ้งไว้สักพัก สังเกตดูขอบของบล็อกเทียนเริ่มแข็งตัวแต่ตรงส่วนกลางยังไม่แข็งตัวดี ให้เทน้ำเทียนที่อยู่ตรงส่วนกลางออกให้ตรงส่วนกลางนั้นกลวง แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ให้เทียนแห้งสนิท ใช้เวลาประมาณ 1 คืน เมื่อเทียนแห้งแล้วก็แกะออกจากบล็อก ใช้มีดค่อย ๆ แต่งภายในให้เรียบร้อยที่สุด ให้ขอบของโคมเทียนนั้นหนาประมาณ 1 เซนติเมตร ตกแต่งเสร็จก็จะได้เป็นโคมไฟที่มีลักษณะเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยม จากนั้นก็นำไม้มาตัดให้เป็นสี่เหลี่ยมเล็กพอประมาณ วางใส่ลงไปตรงพื้นในโคมไฟ ไว้สำหรับลองเทียนทีไลต์ เพื่อไม่ให้ก้นโคมนั้นละลาย

เทียนโคมไฟ 1 ชิ้น ใช้เวลาทำประมาณ 3 วัน ราคาขายอยู่ที่ชิ้นละ 350 บาท แถมเทียนทีไลต์ 4 ก้อน สำหรับการลงทุนในการทำอาชีพนั้นเจ้าของไอเดียบอกว่า ทุนค่าอุปกรณ์ก็ตกอยู่ที่ประมาณ 3,500 บาท ไม่รวมวัตถุดิบที่ใช้ทำเทียน ซึ่งตกประมาณ 60% ของราคาขาย โดยวัตถุดิบอย่างพาราฟิน กระสอบ 50 กิโลกรัม ราคาประมาณ 3,000 กว่าบาท

นอกจากเทียนโคมไฟตกแต่งรูปได้ตามใจลูกค้าแล้ว สำหรับคนที่ไม่ชอบเทียน ที่ร้านนี้ก็มีโคมไฟกรอบรูปที่ทำจากอะคริลิกไว้ให้ลูกค้าได้เลือกด้วย

สนใจ ’เทียนโคมไฟ“ ลองคลิกเข้าไปดูตัวอย่างสินค้าได้ที่เว็บไซต์ www.bangkokcandle.com หรือใครต้องการติดต่อทิพย์-ทิพย์สุดา ก็ติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-7313-3536 ซึ่งกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน” รายนี้ ก็เป็นอีกบทพิสูจน์ว่าการทำอาชีพนั้น ขอเพียงมีไอเดียใหม่ ๆ ต่อให้เป็นสินค้าหรือบริการเก่า ๆ ก็ทำเงินได้ ไม่ตกยุค.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=135723

Sunday, April 24, 2011

แนะนำอาชีพ 'ปลากริมไข่เต่า'

“ปลากริมไข่เต่า” เป็นชื่อขนมโบราณ ในอดีตเป็นขนมหาบไทย ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือมีหม้อดิน 2 ใบ วางคู่กัน หม้อหนึ่งใส่ “ปลากริม” จะเป็นตัวแป้งที่มีสีขาว เน้นรสมัน เค็มนิด ๆ อีกหม้อใส่ “ไข่เต่า” เป็นตัวแป้งอยู่ในน้ำตาลเคี่ยว มีสีน้ำตาลอ่อน ๆ เน้นหอมหวาน เมื่อกินคู่กันจะอร่อยลงตัว ซึ่งปัจจุบันขนมชนิดนี้มีการทำขายน้อยลง แต่ใครที่ทำขาย หากมีสูตรโบราณอร่อย ๆ ก็อาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี อย่างเช่นรายที่เราจะมาดูกันในวันนี้...

ซ่อนกลิ่น คงเสือ หรือ ยายซ่อนกลิ่น อายุ 73 ปีเศษ ทำขนม “ปลากริมไข่เต่า” สูตรโบราณขาย ในชื่อแม่ซ่อนกลิ่น-นนทบุรี ยายเล่าให้ฟังว่า ตนเองกับ ตาย้อม สามี พื้นเพอยู่จังหวัดปราจีนบุรี พอแต่งงานแล้วก็ย้ายมาทำมาหากินที่กรุงเทพฯ สองคนตายายเคยทำอาชีพมาหลายอย่าง ต่อมาพอลูก ๆ เริ่มโต ยายก็อยากทำขนมขาย เลยลองเอาสูตรขนมปลากริมไข่เต่าสูตรโบราณดั้งเดิมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เคยทำกินกันในหมู่ญาติมิตร มาทำขายเพื่อหารายได้ ก็ปรากฏว่าเสียงตอบรับดีมาก ออกขายประมาณ 7 โมงเช้า ไม่ถึงเที่ยงก็หมดเกลี้ยง จึงทำขนมขายเรื่อยมา จนถึงปัจจุบันนี้ก็นานกว่า 40 ปีแล้ว โดยใช้อุปกรณ์เครื่องใช้แบบโบราณ ไม่เคยคิดเปลี่ยนไปใช้เครื่องทุ่นแรงแบบสมัยใหม่

“ขนมที่ทำขายอยู่ในปัจจุบันยังใช้สูตรเดิมที่เคยทำกันมาตั้งแต่เด็ก สิ่งสำคัญในการทำขนมคือใส่ใจ ยายจะพิถีพิถันในการทำทุกขั้นตอน จะเน้นคุณภาพ เพราะยายคำนึงถึงความรู้สึกของคนกิน แม้ข้าวของหลักที่ใช้ในการทำจะมีราคาแพงขึ้น แต่ยายจะไม่ลดปริมาณหรือปรับเปลี่ยนวัตถุดิบลง แต่อาจจะขอเพิ่มราคาอีกนิดหน่อยเท่านั้น ที่ผ่านมายายกับตาย้อมจะทำงานกันเป็นทีม แบ่งหน้าที่กันชัดเจน ยายจะตื่นขึ้นมาทำขนมตั้งแต่ตอนตี 2 กว่า ๆ จะเสร็จก็เกือบ 6 โมงเช้า จากนั้นตาย้อมก็จะมารับช่วงด้วยการยกใส่รถซาเล้งไปตระเวนขาย ตอนนี้ยายได้ถ่ายทอดวิชาให้ลูกสาวกับลูกสะใภ้เป็นทายาทอนุรักษ์ขนมไทยโบราณ ไว้จนครบถ้วน” ยายซ่อนกลิ่นเล่า

สำหรับอุปกรณ์หลัก ๆ ที่ใช้ในการทำขนมก็มี... ตะแกรงกดทำตัวขนมปลากริมไข่เต่า ซึ่งทำขึ้นเอง (ลักษณะเป็นกระบอกเจาะรู คล้ายกับเครื่องกดทำตัวลอดช่อง), เตาแก๊ส, กระทะทอง, หม้อสเตนเลสขนาดใหญ่, กะละมัง, กระบวย, หม้อดิน ส่วนเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ หยิบยืมเอาจากในครัวได้

ส่วนผสมในการทำปลากริมไข่เต่า หลัก ๆ ก็มี... แป้งข้าวเจ้า, แป้งมันสำปะหลัง, น้ำตาลปี๊บ, น้ำตาลโตนด, น้ำตาลมะพร้าว, หัวกะทิ, หางกะทิ, เกลือป่น, ใบเตยสดหั่นท่อน, น้ำสะอาด

ขั้นตอนการทำ “ปลากริมไข่เต่า” เริ่มจาก นำแป้งข้าวเจ้าใส่กะละมัง เติมน้ำสะอาดลงผสม นวดแป้งให้พอปั้นได้ แล้วนำไปนึ่งประมาณ 5 นาที พอแป้งสุกก็ยกลง เทใส่กะละมังผสมกับแป้งมันสำปะหลัง แล้วนวดกับน้ำอุ่น ระหว่างนวดแป้งต้องเติมแป้งมันและน้ำกะทิลงไปเล็กน้อย นวดไปเรื่อย ๆ นานประมาณ 2 ชั่วโมง จนแป้งนุ่มได้ที่ (ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญพอสมควร) จากนั้นก็ตั้งพักไว้

นำน้ำสะอาดใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟ ใส่ใบเตยสดลงไปต้มจนน้ำมีกลิ่นหอม จากนั้นนำตะแกรงกดตัวปลากริมมาวางพาดบนหม้อ นำแป้งมากดลงบนตะแกรงกดตัวปลากริม (ต้องใช้แรงเยอะหน่อย) แป้งจะหลุดออกมาเป็นตัว ๆ หล่นลงไปในน้ำใบเตยที่เดือดกรุ่น ๆ ให้สังเกตดูเมื่อตัวแป้งสุกจะลอยเหนือน้ำ เอาช้อนตักออกแช่ในน้ำเย็นสักครู่ ก่อนจะตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ แล้วแบ่งตัวแป้งสุกออกเป็นสองส่วน เพื่อใส่ลงในหม้อปลากริม และหม้อไข่เต่า

ต่อไปเป็นขั้นตอนการทำ “ปลากริม” หรือ “ตัวเค็ม” รสชาติจะเค็ม ๆ มัน ๆ น้ำสีขาว นำหัวกะทิผสมกับหางกะทิ เกลือเล็กน้อย และใบเตยสดตัดท่อน ใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟต้มให้เดือด เคี่ยวกะทิจนได้ที่จึงใส่แป้งสุกส่วนที่หนึ่งลงไปคนพอเข้ากัน จากนั้นทำ “ไข่เต่า” หรือ “ตัวหวาน” รสชาติจะออกหวาน ๆ หอม ๆ น้ำสีแดง นำหางกะทิ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลโตนด น้ำตาลมะพร้าว ใส่ลงในหม้อยกขึ้นตั้งไฟเคี่ยวรวมกัน จนมีสีแดงอมน้ำตาล ยกลง ใส่แป้งสุกอีกส่วนที่เหลือลงไป

หลังจากนำแป้งใส่ลงไปในหม้อปลากริม-หม้อไข่เต่าแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือนำไปอบเทียนให้กลิ่นอบอวลอยู่ในหม้อ ก่อนจะนำออกขาย

ยายซ่อนกลิ่นบอกถึงเทคนิคการกินว่า จะให้อร่อยต้องตักปลากริมใส่ถ้วยก่อน แล้วถึงจะตักไข่เต่าราดซ้ำลงไป ก่อนกินต้องคนให้เข้ากัน ขนมจะมีรสหวานมันกลมกล่อม อร่อย คนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า “ขนมปลากริมไข่เต่า” โดยเส้นขนมจะต้องมีความเหนียวนุ่มกำลังดี ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป ยาวพอประมาณ ขาวอวบอ้วน เคี้ยวสนุกปาก

ราคาขายขนม “ปลากริมไข่เต่า” ของยายซ่อนกลิ่น คือถ้วยละ 20 บาท ใช้ถ้วยพลาสติกแบบมีฝาปิด


“ปลากริมไข่เต่า” เจ้านี้เป็นอีกหนึ่งของดีประจำท่าน้ำนนท์ ที่ซอยเรวดี ลูกเขยยายซ่อนกลิ่นจะขับรถซาเล้งติดเครื่องยนต์ตระเวนขายทุกวันพุธและวัน อาทิตย์ ที่กระทรวงการคลังขายวันอังคารและวันศุกร์ ที่ทีโอทีและกระทรวงพาณิชย์ขายวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ใครต้องการสั่งทำไปใช้ในงานต่าง ๆ ติดต่อได้ที่ แก้ว โทร. 08-6814-7079, แหม่ม โทร.08-4073-4634, น้อง โทร. 08-7694-3520 และนอกจากนี้ ตาย้อมยังมีคณะกองยาวระดับมืออาชีพไว้บริการอีกด้วย.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=134530

Saturday, April 16, 2011

แนะนำอาชีพ'ขนมเปี๊ยะนมสด'

จากขนมเปี๊ยะชาวจีนสูตรดั้งเดิม นำมาผสมผสานความเป็นไทยและความรู้สมัยใหม่ จนเป็นขนมเปี๊ยะร่วมสมัยแห่ง จ.ฉะเชิงเทรา มีทั้งขนมเปี๊ยะกุหลาบ ขนมเปี๊ยะคุณหนู ขนมเปี๊ยะนมสดที่มีความหอมหวาน นุ่มอร่อย อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เป็นแหล่งปลูกมะม่วงที่อร่อยของประเทศไทย จึงมีการนำมะม่วงขึ้นชื่อของท้องถิ่นมาพัฒนาทำขนมผสมผสานกันอย่างลงตัว จนเกิดเป็น “ขนมเปี๊ยะนมสดไส้มะม่วง” ซึ่งทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ได้นำข้อมูลมาฝากกัน เพื่อเป็นแนวทาง เป็นไอเดีย สำหรับผู้ที่มองหาช่องทางอาชีพใหม่ ๆ

บุญมี ศรีสุข หรือที่ชาวบ้านตลาดบางคล้ารู้จักกันในนาม “ป้าบุญมี” เป็นเจ้าของสูตร “ขนมเปี๊ยะนมสดไส้มะม่วง” ที่อร่อย และเป็นเจ้าแรกของขนมเปี๊ยะสูตรไส้มะม่วง ป้าบุญมีเล่าว่า แรงบันดาลใจที่คิดทำเพราะที่บางคล้านั้นขึ้นชื่อเรื่องของมะม่วงมาก ชาวบ้านที่นี่ปลูกมะม่วงกันเยอะ จึงคิดอยากที่จะนำมะม่วงมาแปรรูปเป็นไส้ของขนมเปี๊ยะ เพราะยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ถือว่าเป็นของที่แปลกและแตกต่างจากขนมเปี๊ยะที่มีอยู่ในตลาด

“ขนมเปี๊ยะนมสดของเรามีไส้หลากหลายมาก แต่ที่ยังไม่ได้ทำคือไส้มะม่วง ทั้งที่แปดริ้วเป็นแหล่งปลูกมะม่วงที่อร่อยที่สุดของประเทศ ก็มานั่งคิดว่าเอ๊ะ! ทำไมเราถึงไม่ทำไส้มะม่วงดูบ้างนะ ก็ลองทำดู โดยใช้ มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ที่มีจุดเด่นเรื่องความอร่อยตามธรรมชาติ ทดลองทำอยู่นานเป็นเดือนจนได้รสชาติคงที่ ลองให้คนอื่นชิมดู ทุกคนก็พูดเหมือนกันว่า อร่อยมาก จึงทำออกขายจริงจัง และก็นำผลิตภัณฑ์ตัวนี้ส่งเข้าประกวดผลิต ภัณฑ์ระดับประเทศ ปี 2553 ปรากฏว่าได้รับรางวัลชนะเลิศผลิตภัณฑ์โอทอป ระดับ 5 ดาวด้วย” ป้าบุญมีกล่าว

และยังบอกอีกว่า ขนมเปี๊ยะนมสดที่ทำขาย ได้มีการปรับปรุงและพัฒนามาเรื่อย ๆ จนรสชาติถูกใจผู้บริโภคและเป็นที่ต้องการของตลาด จากไส้ถั่วเพียงอย่างเดียว ได้พัฒนาจนปัจจุบันมีถึง 10 กว่าไส้เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้า

อุปกรณ์หลักที่ใช้ในการทำขนมเปี๊ยะนมสดไส้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ก็เหมือนอุปกรณ์ทำขนมทั่วไป แต่ต้องมีเครื่องนวดแป้งและเตาอบขนมด้วย ส่วนเครื่องไม้เครื่องมืออื่น ๆ ถ้ามีอยู่ในครัวอยู่แล้วก็ไม่ต้องซื้อ หยิบยืมเอามาใช้ได้

ส่วนผสม/วัตถุดิบในการทำตัวขนมเปี๊ยะ ตามสูตรก็ประกอบด้วย...แป้งเค้ก 1,000 กรัม, ผงฟู 10 กรัม, โซดาไบคาร์บอเนต 10 กรัม, นมผง 20 กรัม, นมข้นหวาน 900 กรัม, ไข่แดง 2 ฟอง, เนยสด 50 กรัม, มาการีน 100 กรัม, น้ำเปล่า 150 กรัม และส่วนผสมในการทำไส้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง ประกอบด้วย... มะม่วงดิบ, มะม่วงสุก, น้ำตาล และเกลือ

ขั้นตอนการทำ “ขนมเปี๊ยะนมสดไส้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง” อันดับแรกเริ่มจากการทำไส้ขนมก่อน โดยการนำเอามะม่วงสุกและมะม่วงดิบมาล้างให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วหั่นบาง ๆ เป็นชิ้นเล็ก ใส่เครื่องปั่นให้ละเอียด ก่อนจะนำไปใส่กระทะ ตามด้วยน้ำตาลทราย เกลือนิดหน่อย ทำการกวนด้วยไฟอ่อน กวนไปเรื่อย ๆ จนแห้งพอจับได้ ยกลงพักไว้ให้เย็นแล้วจับแบ่งเป็น
ก้อน ก้อนละ 10 กรัม เตรียมไว้

ต่อไปทำตัวขนมเปี๊ยะ เริ่มจากนำแป้งเค้ก ผงฟู โซดาไบคาร์บอเนต และนมผง มาร่อนรวมกันแล้วตั้งพักไว้ นำนมข้นหวาน ไข่แดง เนยสด มาการีน และน้ำเปล่า ใส่ลงรวมกันในอ่างผสม คนส่วนผสมดังกล่าวให้เข้ากันดี จากนั้น ค่อย ๆ เทผสมแป้งที่เตรียมไว้ลงไป ตะล่อมเบา ๆ นวดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน แล้วตั้งพักไว้ประมาณ 10-15 นาที

นำส่วนผสมแป้งที่ได้มาแบ่งเป็นก้อน ก้อนละ 15 กรัม เสร็จแล้วหยิบแป้งทีละก้อนมาแผ่เป็นแผ่นกลม ๆ ใส่ไส้มะม่วงแล้วห่อให้มิด วางบนถาดที่ทา รองด้วยเนยขาวให้ทั่ว ก่อนจะนำเข้าอบที่อุณหภูมิ 300 องศาฯ อบประมาณ 20 นาที หรือจนกระทั่งสุก นำออกจากเตาอบมาพักให้เย็น แล้วบรรจุภาชนะตามที่ต้องการ เช่นบรรจุกล่อง กล่องละ 10 ชิ้น ขายราคา 55 บาท โดยต้นทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 60% ของราคาขาย

ขนมเปี๊ยะสูตรนี้เป็นที่ต้องการของตลาด เพราะรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย รสชาติกลมกล่อม มีความหอมหวานของไส้มะม่วง และตัวแป้งก็มีความนุ่มอร่อย เหมาะสำหรับเป็นอาหารว่าง หรือเป็นของฝากในเทศกาลต่าง ๆ อีกทั้งการจำหน่ายสู่ท้องตลาดก็ไม่ยาก วางจำหน่ายได้ทั้งร้านของฝาก ตลาดสด หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป

สนใจผลิตภัณฑ์ของ บุญมี ศรีสุข ติดต่อได้ที่ โทร. 08-1928-8216 หรือ 0-3813-3174 หรือที่ร้านแม่บุญมี ขนมเปี๊ยะบางคล้า ตลาดน้ำบางคล้า เลขที่ 58/4 หมู่ 3 ถนนฉะเชิงเทรา-บางปะกง ต.บางกรูด อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา 2410 โทร. 0-3859-5662 ซึ่งตลาดน้ำบางคล้าเปิดจำหน่ายวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=516&contentId=133129

Friday, April 15, 2011

แนะนำอาชีพ 'เลี้ยงไก่บ้าน'

ไก่บ้านหรือไก่พื้นเมือง เป็นไก่ที่เลี้ยงง่าย ผู้บริโภคนิยมรับประทานไก่ประเภทนี้เพราะว่าเป็นไก่ที่มีเนื้อเหนียว นุ่มแน่น รสชาติดี ที่สำคัญปริมาณไก่บ้านที่ออกมาสู่ตลาดยังมีไม่สม่ำเสมอ จึงทำให้ไก่บ้านมีราคาที่สูง ซึ่งผู้บริโภคก็ยังมีความต้องการอีกมาก อาชีพ ’เลี้ยงไก่บ้าน“ จึงเป็นอีก ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าสนใจ และการทำอาชีพนี้ภายใต้การส่งเสริมของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ก็เป็นอีกรูปแบบของการทำอาชีพเลี้ยงไก่บ้าน...

“สมนิต และอารีย์ แก้วเกษ” สองสามีภรรยา ทำอาชีพเลี้ยงไก่บ้าน เลี้ยงไก่บ้านมากว่า 4 ปี โดยสมนิตเล่าว่า เดิมนั้นทำอาชีพขับรถสิบล้อขนส่ง ทำอยู่ได้ระยะหนึ่งก็พอที่จะมีเงินเก็บอยู่บ้าง จึงตัดสินใจเลิกขับสิบล้อ และพาภรรยากลับไปอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่บ้านเกิดของภรรยา นำเงินที่มีเก็บทั้งหมดไปลงทุนค้าขาย ขายของอยู่ที่เชียงใหม่อยู่หลายปี พอถึงช่วงปี 2540 ก็เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ตนเองก็โดนพิษเศรษฐกิจไปด้วย ทำให้ขาดทุนจนต้องเลิกกิจการ

หลังจากเลิกค้าขายก็พาภรรยาไปอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งตอนนั้นเพื่อนของลูกชายเลี้ยงไก่อยู่ ก็รับจ้างเพื่อนลูกชายเลี้ยงไก่ ซึ่งก็เป็นการหาประสบการณ์ในการเลี้ยงไก่ไปด้วย เลี้ยงไก่มานานจนพอจะมีเงินเก็บจึงตัดสินใจลงทุนทำฟาร์มเลี้ยงเองบ้าง เนื่องจากเห็นว่าอาชีพเลี้ยงไก่มีรายได้ที่ดี เป็นอาชีพที่มั่นคงได้ โดยได้ไปสมัครเข้าโครงการเลี้ยง ไก่พันธุ์สีทอง กับทางซีพีเอฟ ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยง หลังจากได้รับคัดเลือกแล้ว ก็ต้องเข้าไปฝึกอบรมและฝึกปฏิบัติการเลี้ยงไก่ในฟาร์มของบริษัทก่อน โดยพนักงานจะให้คำแนะนำต่าง ๆ เพื่อให้เกษตรกรมีคุณภาพในการเลี้ยงมากขึ้น

การเลี้ยงไก่บ้านนั้นจะเลี้ยงแบบ ’ฟาร์มระบบปิดด้วยโรงเรือนเปิด“ คือการสร้างโรงเรือนที่มั่นคง มุงหลังคาด้วยกระเบื้อง จะไม่ใช้อิฐก่อเป็นกำแพงปิดมิดชิด แต่ใช้ตาข่ายขึงปิดรอบด้าน และมีม่านที่ใช้ถุงกระสอบหรือสแลนอีกชั้นหนึ่ง โดยจะต้องเปิด-ปิดได้รอบโรงเรือน เพื่อไว้สำหรับปิดกันฝนให้ไก่ ปิดช่วงเวลากลางคืนให้ไก่นอน ส่วนบนหลังคาโรงเรือนนั้นก็ทำการเดินระบบสปริงเกอร์น้ำไว้สำหรับเปิดให้ไก่ ในช่วงที่อากาศร้อน

ส่วนพื้นของโรงเรือนเป็นพื้นดินเกลี่ยให้เรียบ และภายในก็ใส่ถังใส่น้ำและรางอาหารเข้าไป โดยถังน้ำไก่นั้นจะวางห่างกันประมาณ 1-2 เมตรต่อถัง รางอาหารก็วางคั่นอยู่ตรงกลาง อัตราส่วนของโรงเรือนในการนำไก่เข้าเลี้ยงนั้นจะอยู่ที่ประมาณ ไก่ 10 ตัว ต่อ 1 ตารางเมตร อย่างโรงเรือนของสมนิตนั้น กว้าง 10 เมตร ยาว 80 เมตร เลี้ยงไก่ได้ทั้งหมด 8,000 ตัว ทุนในการสร้างโรงเรือนขนาดเท่านี้ก็อยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท

การเตรียมโรงเรือนก่อนที่จะนำไก่เข้าเลี้ยง ต้องใช้แกลบใหม่โรยปูลงพื้นของโรงเรือนให้มีความหนาประมาณ 3-5 นิ้ว จากนั้นใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคทำการฉีดให้ทั่วโรงเรือน ก่อนที่จะนำลูกไก่เข้าเลี้ยงตามปกติก็ต้องทำการอบลูกไก่เหล่านั้นก่อน เพื่อให้ลูกไก่แข็งแรง โดยเตรียม “หัวกก” แบบใช้แก๊ส เปิดให้มีอุณหภูมิประมาณ 34-35 องศาเซลเซียส เป็นการกกให้ความอบอุ่นไก่ ซึ่งไก่ที่นำเข้ามาจะเพลีย เพราะฉะนั้นน้ำที่ให้ไก่นั้นจะต้องผสมกลูโคสเข้าไปด้วยเพื่อให้ไก่แข็งแรง ขึ้น ซึ่งในช่วงที่อบไก่จะใช้เวลาประมาณ 14 วัน จากนั้นก็ปล่อยเลี้ยงตามปกติ

การดูแลให้อาหารในช่วงแรก ให้น้อย ๆ แต่ให้บ่อยครั้ง เพื่อกระตุ้นการกินของลูกไก่ หลังจากนั้นก็ให้อาหารปกติ 3 ครั้งต่อวัน เช้า-กลางวัน-เย็น ส่วนน้ำต้องให้ตลอดอย่าให้ขาด ที่สำคัญจะต้องเปลี่ยนน้ำใหม่ทุกวันเพื่อความสะอาด

ส่วนการดูแลทั่วไป ถ้าอากาศร้อนก็จะต้องมีพัดลมมาเปิดให้ไก่และเปิดสปริงเกอร์น้ำบนหลังคาเพื่อ ลดความร้อน ถ้าฝนตกหรืออากาศเย็นก็ทำการปิดม่านเพื่อให้ความอบอุ่นกับไก่ การเลี้ยงไก่แบบโรงเรือนเปิดผู้เลี้ยงจะต้องใส่ใจดูแลพฤติกรรมของไก่อยู่ เสมอว่าอยู่สบายหรือไม่ ต้องไม่ให้ร้อนหรือหนาวเกินไป

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงไก่นั่นก็คือเรื่องของความสะอาดภายในโรงเรือน ต้องทำความสะอาดโรงเรือน และอุปกรณ์ พวกถังใส่น้ำ รางอาหาร วันละ 2-3 ครั้ง ต้องให้สะอาดอยู่เสมอ และดูแลการเข้า-ออกฟาร์มเป็นพิเศษ ก่อนเข้าฟาร์มควรเปลี่ยนชุด สวมรองเท้าบู๊ตยาง ใช้หน้ากากอนามัยปิดปาก-จมูก สวมหมวกให้เรียบร้อย และที่สำคัญต้องผ่านน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนด้วย เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาเรื่องสุขภาพไก่

การเลี้ยงไก่บ้านจะใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงประมาณ 56-60 วัน หรือประมาณ 8-9 สัปดาห์ ไก่จะมีน้ำหนักประมาณ 1.1 กิโลกรัม ก็สามารถจับขายได้ ค่าอาหารในการเลี้ยงไก่ต่อ 1 รุ่น อยู่ที่ประมาณ 20 กว่าบาทต่อตัว หลังจากที่เลี้ยงรุ่นแรกแล้วควรจะพักเล้าไว้ประมาณ 21 วัน เพื่อทำความสะอาด ฉีดยาฆ่าเชื้อโรคในเล้า ก่อนจะนำไก่รุ่นใหม่มาเลี้ยง

สำหรับการเข้าโครงการเลี้ยงไก่ของซีพีเอฟ ทางบริษัทจะจัดส่งอาหารให้ตั้งแต่เริ่มเลี้ยง และจะมีสัตวแพทย์เข้ามาดูแลให้คำแนะนำปรึกษาอยู่ตลอด เลี้ยงครบอายุขาย ทางบริษัทก็จะเข้ามาจับส่งตลาด ซึ่งผู้เลี้ยงจะได้ราคาตัวละ 6 บาท เลี้ยง 8,000 ตัว ก็จะได้ 48,000 บาท ต่อ 8-9 สัปดาห์ เกษตรกรผู้เลี้ยงก็จะมีรายได้เฉลี่ยเดือนละประมาณ 24,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเรือนในการเลี้ยง ถ้าโรงเรือนใหญ่หรือมีหลายโรงเรือน เลี้ยงไก่ได้เยอะ รายได้ก็เพิ่มสูงขึ้น

สมนิตฟาร์ม ตั้งอยู่ที่เลขที่ 100/4 หมู่ 6 ต.หนองบัวน้อย อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ส่วนใครที่สนใจอาชีพ “เลี้ยงไก่บ้าน” ต้องการเข้าโครงการของซีพีเอฟ ก็สอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานของซีพีเอฟ โทร.08-3988-0987, หรือที่ สมบัติ ปิยะพันธุ์ โทร. 08-3797-9973, บุญช่วย การะเกตุ โทร.08-9190-6190, ประสิทธิ์ หนองขุ่นสาร โทร. 08-3461-0188.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=133010

Sunday, April 10, 2011

แนะนำอาชีพ 'ผลไม้กวน'

การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เป็นการเพิ่มมูลค่า และก็เป็นอีกรูปแบบ “ช่องทางทำกิน” ซึ่งจากงานสื่อมวลชนสัญจร มา’ยอง OTOP จ.ระยอง ศูนย์ของฝากคุณภาพเยี่ยมแห่งภาคตะวันออก เมื่อปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีการแนะนำเกษตรกรที่นำผลไม้มาแปรรูปเป็น “ผลไม้กวน” สร้างอาชีพได้อย่างน่าสนใจ วันนี้เราลองมาดูกัน...

ละออ สุวรรณสว่าง ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรสาวน้อย 45 อ.บ้านค่าย จ. ระยอง เล่าว่า ที่กลุ่มแปรรูปผลไม้ทุกชนิด ได้แก่ สับปะรด กล้วย มะละกอ ขนุน กระท้อน แก้วมังกร โดยผลไม้ 3 อย่างแรกจะเป็นผลไม้ประจำที่ใช้ในการแปรรูป ส่วนอีก 3 อย่างหลังจะแปรรูปตามฤดูกาล ตามผลผลิตที่ออกในช่วงนั้น ๆ โดยผลิตภัณฑ์ของกลุ่มถือเป็นอันดับต้น ๆ ของผลิตภัณฑ์แปรรูปในจังหวัดระยอง ซึ่งเมื่อก่อนทำกันเยอะ แต่รายที่จะอยู่รอดได้ก็ต้องมีตลาดให้การยอมรับ

“เริ่มมาจากสับปะรดกวนก่อน ซึ่งเป็นผลไม้ที่ปลูกแซมในสวนยางพารา และส่งขายให้โรงงาน แต่เมื่อไม่ได้เกรด ก็ต้องขนกลับบ้าน ด้วยความเสียดายของจึงคิดมาแปรรูปเป็น สับปะรดกวน สูตรก็คิดเองทำเองทั้งหมด มาจนบัดนี้ก็ 20 ปีมาแล้ว มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น และมีการจ้างงานในหมู่ลูกหลานสมาชิกด้วย” ป้าละออเล่า

สับปะรดกวนมีการทำแยกย่อยเป็น 5 ชนิด คือ สับปะรดกวน, สับปะรดกะทิ, ทอฟฟี่สับปะรด, สับปะรดบ๊วย, สับปะรดแก้ว และยังมี กล้วยกวน แยกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ กล้วยกวน, กล้วยกวนสามรส เป็นอีกสินค้าหลักของกลุ่มที่ขายดิบขายดี ซึ่งป้าละออมาบอกถึงการทำให้ฟัง เริ่มกันที่อุปกรณ์ที่ใช้ ก็เป็นเครื่องครัวทั่ว ๆ ไป อาทิ เตาแก๊ส กระทะสเตนเลส หรือกระทะทองเหลือง ไม้พาย มีดเขียง ถาด ฯลฯ ซึ่งถ้าไม่ใช้เครื่องจักรอย่างเครื่องสไลซ์ หรือเครื่องกวน ก็ใช้ทุนอุปกรณ์ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป (แล้วแต่ขนาดกิจการ) หากใช้เครื่องก็จะต้องมีงบประมาณมากอีกหน่อย

สูตรสับปะรดนั้น เริ่มที่ สับปะรดกวน ใช้เนื้อสับปะรด 5 กก. เมื่อได้สับปะรดมาแล้ว นำไปล้างให้สะอาด ปอกเปลือก ล้างให้สะอาด เข้าเครื่องสไลดซ์หรือสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ กวนกับน้ำตาลทราย 1.5 กก. แบะแซ 2 กก. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ นำลงกวนในกระทะทองเหลือง หรือกระทะสเตนเลสก็ได้ โดยตั้งกระทะให้ร้อน ใส่เนื้อสับปะรดลงไป ใส่น้ำตาล แบะแซ และเกลือลงไป กวนให้เข้ากัน การกวนนี้จะใช้เครื่องกวนก็ได้ หรือกวนด้วยมือก็ได้ ถ้าเป็นเครื่องกวนจะใช้เวลากวน 1 ชั่วโมง หากใช้มือกวนจะต้องใช้เวลานานขึ้นอีก 30 นาที กวนเหนียวได้ที่เสร็จแล้ว ยกขึ้นผึ่งไว้ให้เย็น แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ขาย โดยขาย กก.ละ 70 บาท โดยมีกำไร กก.ละประมาณ 15-20 บาท

สับปะรดกะทิ ใช้สับปะรดที่กวนเสร็จแล้ว 5 กก. กวนกับกะทิ 5 กก. และน้ำตาลทรายอีก 1 กก. กวนให้เข้ากัน จนเหนียวได้ที่ เสร็จแล้วผึ่งไว้ให้เย็น แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ ขาย กก.ละ 100 บาท มีกำไรประมาณ 20 บาท

ทอฟฟี่สับปะรด ใช้เนื้อสับปะรดกวน 5 กก. กะทิ 5 กก. น้ำตาลปี๊บ 3 กก. แบะแซ 3 กก. เนย 1.5 กก. และนมข้น 4 กระป๋อง กวนให้เข้ากันจนเหนียว ผึ่งให้อุ่น หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กขนาดเม็ดทอฟฟี่ ห่อพลาสติก และกระดาษสี ๆ ขาย กก.ละ 120 บาท ส่วน สับปะรดบ๊วย และ สับปะรดแก้ว ทำเหมือนกัน คือ ใช้เนื้อสับปะรดกวน 10 กก. แบะแซ 2 กก. และน้ำมะนาว 15 ลูก กวนให้เข้ากัน ซึ่งจะกวนนานกว่าปกติ 1 ชั่วโมง จากนั้นนำออกผึ่ง พอใกล้เย็น ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดเล็กกว่าเม็ดทอฟฟี่เล็กน้อย แล้วนำไปคลุกผงบ๊วย (หากทำเป็นสับปะรดบ๊วย) หรือคลุกพริกเกลือ (หากทำเป็นสับปะรดแก้ว) ขาย กก.ละ 80-120 บาท (แล้วแต่รูปแบบบรรจุภัณฑ์) กำไรก็ประมาณ 20%

สำหรับ กล้วยกวน และ กล้วยสามรส ก็มีวิธีทำที่ไม่ยาก เริ่มที่กล้วยกวน ใช้กล้วยสุกแบบใดก็ได้ 10 กก. น้ำตาลทราย 2 กก. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ แบะแซ 2 กก. และ/หรือ นมสด 5 กระป๋อง, นมข้น 4 กระป๋อง, กะทิ 5 กก. (เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง) กวนให้เข้ากัน ผึ่งให้เย็น แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ ขาย กก.ละ 100 บาท ส่วนกล้วยสามรส ใช้กล้วยกวน 10 กก. แบะแซ 3 กก. น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วย น้ำมะนาว 15 ลูก กวนให้เข้ากันจนเหนียว จากนั้นผึ่งให้ใกล้เย็น ตัดเป็นชิ้นเล็กขนาดเล็กกว่าเม็ดทอฟฟี่เล็กน้อย นำไปคลุกพริกและเกลือ แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ ขายกก.ละ 80-120 บาท (แล้วแต่รูปแบบบรรจุภัณฑ์) ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกล้วยจะมีกำไรประมาณ 40%

นอกจากสับปะรดและกล้วยแล้ว ที่กลุ่มฯนี้ยังแปรรูป มะละกอ ขนุน กระท้อน แก้วมังกร ซึ่งเป็นผลไม้ตามฤดูกาลด้วย สนใจเรื่องผลไม้กวนของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรสาวน้อย 45 ติดต่อ ป้าละออ สุวรรณสว่าง ได้ที่ 7/1 หมู่ที่ 4 ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โทร. 0-3864-1046 และ 08-7124-9422 ป้าละออยินดีต้อนรับ.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=131934

Friday, April 8, 2011

แนะนำอาชีพ 'ไผ่กระถางแก้ว'

ทำง่าย-ขายได้ตลอดปี!

ความคิดสร้างสรรค์-การต่อยอด ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของทุก ๆ อาชีพ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีกับการเพิ่มจุดขายให้กับสินค้า จากสินค้าธรรมดาเมื่อนำมาประยุกต์ดัดแปลงก็สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่าง น่าสนใจ อย่างเช่นงาน ’ไผ่ในกระถางแก้ว“ ที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ มีข้อมูลมานำเสนอให้พิจารณากันในวันนี้...

“จักรพันธ์ วรรณพุฒ” เจ้าของไอเดีย เล่าว่า มีอาชีพขายต้นไม้จำพวกไม้ประดับอยู่ที่สวนจตุจักร โดยตอนแรกเน้นจำหน่ายต้นอโกลนีมา ต่อมากระแสความนิยมลดลง อีกทั้งตลาดต่างประเทศซึ่งเคยเป็นตลาดใหญ่ซบเซาลง จึงหันมาสนใจไม้ประดับอย่าง ’ไผ่กวนอิม“ ไม้ชื่อมงคลที่สวยงาม และสามารถดัดตกแต่งรูปทรงได้มากมายหลายแบบ โดยแรก ๆ
ก็จำหน่ายต้นไผ่ให้กับลูกค้าเฉย ๆ ต่อมามองว่าสามารถนำมาต่อยอดโดยเพิ่มลูกเล่นและการประดับตกแต่งเข้าไป น่าจะทำให้สินค้าขายได้ราคาสูงขึ้น จึงมองไปที่การจัดวางไผ่กวนอิม ลงภาชนะเครื่องแก้ว เพราะรูปทรงสวยงาม แปลกตา มีหลากหลายแบบ จึงทดลองจำหน่ายที่หน้าร้าน ปรากฏว่าลูกค้าให้การตอบรับ จึงต่อยอดโดยใช้หินสีมาเพิ่มสีสันเข้าไปอีก

“ที่เลือกทำต้นไม้ในกระถางแก้ว เพราะอยากทำอะไรที่แปลกใหม่ออกไปจากตลาดที่มีอยู่ โดยต้นไผ่กวนอิมแต่ละต้นจะดีไซน์และตกแต่งไม่เหมือนกัน แต่หลัก ๆ จะเน้นความน่ารักสวยงาม เช่นปลูกต้นไผ่ให้เป็นแนวกำแพง ส่วนที่เลือกใช้หินและกรวดสีนั้น ตอนแรกคิดจะใช้ดินวิทยาศาสตร์เหมือนกัน แต่ปรากฏว่าต้นไผ่มีอายุสั้น เพราะรากไม่มีที่ยึดเกาะ จึงเปลี่ยนมาใช้หินและกรวดสีแทน เพื่อให้รากไผ่มีที่ยึดเกาะ ทำให้ลำต้นแข็งแรง และมีอายุยาวนานขึ้น” เจ้าของงานกล่าว

สำหรับเหตุที่เลือกไผ่กวนอิมมาใช้เป็นพืชหลักในการผลิตชิ้นงาน จักรพันธ์บอกว่าไผ่กวนอิมอยู่ได้นานกว่าไม้ชนิดอื่น ถ้าหมั่นบำรุงรักษา รดน้ำไปเรื่อย ๆ ก็จะอยู่ได้ยาวนาน ลำต้นก็จะสูงใหญ่ และแตกยอดออกมาเรื่อย ๆ อีกทั้งยังสามารถนำมาดัดหรือเปลี่ยนรูปทรงได้หลากหลาย จึงไม่ค่อยมีปัญหากับการจัดวางลงในภาชนะแก้วหลากหลายรูปทรง

แต่ที่สำคัญ และถือว่าเป็นจุดเด่นก็คือ เรื่อง ’ชื่อเป็นมงคล“ ซึ่งเหมาะกับการให้เป็นของขวัญในโอกาสต่าง ๆ เช่น วันเปิดร้านค้า ขึ้นบ้านใหม่ วันเกิด วันขึ้นปีใหม่ เทศกาลตรุษจีน รวมถึงมอบเป็นของที่ระลึกในโอกาสสำคัญ ๆ ต่าง ๆ จึงสามารถทำขายได้ตลอดทั้งปี โดยไผ่นั้นราคาในตลาดจะขายส่งอยู่ที่ประมาณ 12-18 บาท ต่อหนึ่งกอ แต่ถ้าซื้อปลีกราคาจะสูงขึ้น อยู่ที่ประมาณต้นละ 25-30 บาท สำหรับภาชนะกระถางและขวดแก้วที่นำมาใช้นั้น ราคาอยู่ที่ประมาณ 15 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปทรง ส่วนหินและกรวดสีราคาอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 20 บาทขึ้นไป

“ไผ่ที่เหมาะจะนำมาปลูก สามารถใช้ได้ทั้งขนาดลำต้นอ้วนและลำต้นผอม ตามแต่ชอบ ซึ่งชนิดของไผ่กวนอิมที่ตลาดนิยมจะประกอบไปด้วย ไผ่เงิน ซึ่งจะมีสีเขียวอ่อนมากถึงขาว ลำต้นจะเล็ก ไผ่หยก ลำต้นจะมีสีเขียวเข้ม และ ไผ่ทอง ลำต้นจะมีสีเหลืองนวล ๆ หรือออกเขียวอ่อน ๆ”

นอกจากไผ่กวนอิมแล้ว การเลือกภาชนะจัดวางก็ถือว่าสำคัญ ต้องเน้นรูปแบบสวยงาม สามารถเลือกใช้ได้ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ในส่วนของหินและกรวดสี ก็ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับภาชนะและการจัดวาง โดยในส่วนหินและกรวดสีนี้ จะมีหลากหลายสีสันเพื่อให้ลูกค้าเลือก เพราะบางคนอาจต้องการสีที่ถูกต้องหรือเหมาะกับโฉลกตนเอง

ทุนเบื้องต้น ใช้ประมาณ 5,000 บาทในการลงทุนครั้งแรก ส่วนทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขาย ซึ่งเมื่อจัดเป็นชุดแล้ว ราคาขายเริ่มต้นที่ 69 บาท จนถึง 500 บาท ขึ้นกับขนาดของต้นไผ่และภาชนะแก้วที่ใช้

วัสดุอุปกรณ์การทำหลัก ๆ ประกอบด้วย ไผ่กวนอิม, กระถางและขวดแก้ว, หินและกรวดสี อุปกรณ์ทั้งหมดหาซื้อได้ไม่ยาก มีจำหน่ายตามร้านขายของตกแต่งสวนทั่วไป

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำไผ่กวนอิมที่จะนำมาจัด มาแช่น้ำจนกว่าต้นไผ่จะแทงรากออกมา เหตุที่ต้องนำไปแช่น้ำเพื่อให้ต้นไผ่แทงรากเพิ่ม เพราะจะทำให้ได้ต้นไผ่ที่แข็งแรง และมีรูปทรงที่คงทนและตั้งต้นได้ดี เมื่อได้ต้นไผ่มาแล้วก็นำมาจัดวางลงในภาชนะแก้ว จากนั้นนำหินหรือกรวดสีที่เตรียมไว้ค่อย ๆ เทใส่ลงไป ซึ่งขั้นตอนนี้ค่อนข้างยาก ใช้เวลา และต้องพิถี พิถันเป็นพิเศษ เพราะต้องจัดเรียงให้หินหรือกรวดสีอยู่ในแนวเดียวกัน โดยขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับจินตนาการ

“จากราคาขายที่ไม่แพงมาก ประกอบกับรูปแบบที่ดูสวยงาม ทำให้มีลูกค้าหลายกลุ่ม เหมาะสำหรับเป็นของฝาก ของขวัญในเทศกาลต่าง ๆ หรือจะนำไปตั้งโชว์ประดับในที่ทำงานหรือที่บ้านก็ได้ ต้นไม้ในกระถางแก้วทำได้ไม่ยาก หลาย ๆ คนสามารถทำเป็นงานอดิเรกได้ในยามว่าง” จักรพันธ์ เจ้าของผลงาน กล่าว

สนใจชิ้นงานของจักรพันธ์ ไปดูได้ที่ ร้านอุษาไม้ประดับ โครงการ 15 ตลาดนัดสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี โทร.08-1900-2706 หรืออีเมล jackyja71@gmail.com ซึ่งนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่ทำไม่ยาก.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=131724

Monday, April 4, 2011

แนะนำอาชีพ"เลี้ยงปลาทับทิม"

เมื่อกระแสความนิยมบริโภคเนื้อปลามีมากขึ้น แต่ปลาทะเลกลับลดปริมาณลงเรื่อย ๆ กลุ่มธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จึงได้เริ่มวางโครงการพัฒนาสายพันธุ์ปลา ด้วยการนำ ปลานิลจิตรลดาพระราชทาน มาเป็นต้นตระกูลเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ตามแนวพระราชดำริ พร้อมกับคัดเลือกสายพันธุ์ปลาที่มีลักษณะเด่นมากในด้านต่าง ๆ ทั้งจากอังกฤษ อเมริกา อิสราเอล และไต้หวัน มาผสมข้ามพันธุ์กันและปรับปรุงสายพันธุ์ทางด้านคุณภาพให้ดีขึ้นโดยวิธีตาม ธรรมชาติ ไม่ใช้การตัดแต่งพันธุกรรม กระทั่งได้ปลาเนื้อพันธุ์ใหม่ ที่มีลักษณะภายนอกอันโดดเด่น คือ สีของเกล็ดและตัวปลาที่มีสีแดงอมชมพูดูเป็นมงคล และเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2541 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามปลาชนิดใหม่นี้ว่า ปลาทับทิม

นอกจากปลาทับทิมจะมีข้อดีด้านคุณค่าทางโภชนาการ ปลาชนิดนี้ยังมีปริมาณเนื้อมากสามารถบริโภคได้ต่อน้ำหนักตัวสูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และมีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็วในระยะเวลาเพียง 4-5 เดือน หน่วยงานราชการได้ส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงปลาทับทิมเป็น อาชีพในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใสสะอาด ปราศจากมลพิษ ไม่มีการใช้ยาและสารเคมีที่ทำให้เกิดสารพิษตกค้างในตัวปลา และได้วางมาตรฐานการปฏิบัติทางการประมงที่ดีสำหรับฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ (Good Aquaculture Practice : GAP) ที่เป็นเหมือนเครื่องหมายยืนยันคุณภาพของสินค้า ซึ่งจะทำให้ปลาที่เลี้ยงออกมามีมาตรฐาน ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟก็ดำเนินโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงปลาทับทิมในกระชังตามมาตรฐาน นี้ เพื่อให้เกษตรกรไทยมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง เนื่องจากเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย การเลี้ยงดูไม่ยุ่งยาก เกษตรกรสามารถเลี้ยงได้แม้จะมีทุนน้อย ทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค จึงกลายเป็นปลาเศรษฐกิจจนถึงปัจจุบัน

สำหรับการเลี้ยงปลาทับทิมในเชิงพาณิชย์ มีเคล็ดลับอยู่ที่การคัดเฉพาะปลาตัวผู้ไปเลี้ยง เพราะปลาตัวผู้มีลักษณะเด่นคือ โตเร็ว เนื้อเยอะ มีไขมันเยอะกว่า ส่วนสาเหตุที่ไม่นิยมเลี้ยงปลาตัวเมีย เพราะปลาจะออกไข่ก่อนที่จะได้ขนาดที่ตลาดต้องการ ทั้งยังมีพฤติกรรมการอมไข่ และเลี้ยงลูกในปาก ที่สำคัญปลาทับทิมหรือแม้แต่ปลานิลนั้นเป็นปลาที่สามารถออกไข่ได้บ่อย ทำให้ปลาไม่ค่อยกินอาหาร จึงโตช้ามาก หากเลี้ยงตัวผู้ปนกับตัวเมียจะทำให้ไม่สามารถจับปลาพร้อมกันได้ในคราวเดียว จำเป็นต้องยืดอายุการเลี้ยงปลาที่เหลือออกไป จึงไม่คุ้มกับการลงทุน เหล่านี้เป็นเหตุผลให้เกษตรกรนิยมเลี้ยงปลาตัวผู้มากกว่าการเลี้ยงปลาคละเพศ

นายนิกร สุขมารถ เกษตรกรผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพการเลี้ยงปลาในโครงการส่งเสริมอาชีพการ เลี้ยงปลาทับทิมครบวงจร ถ่ายทอดประสบการณ์ว่า ตนเองมีความสนใจในการเลี้ยงปลามาตั้งแต่เด็ก ทันทีที่ซีพีเอฟเริ่มเข้ามาส่งเสริมการเลี้ยงปลาทับทิม ในจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปี 2544 จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการโดยไม่รีรอ ควักกระเป๋าลงทุนประมาณ 1 แสนบาท เริ่มต้นเลี้ยงปลาทับทิม 8 กระชังในแม่น้ำแม่กลอง ต่อมาได้ผลการเลี้ยงอยู่ในระดับที่ดีสามารถสร้างกำไรให้เป็นที่น่าพอใจและ มองเห็นอนาคตที่สดใสของอาชีพ จึงตัดสินใจเลี้ยงเป็นธุรกิจหลักมาตลอด 9 ปี กระทั่งสามารถซื้อที่ดิน เลขที่ 99/1 หมู่ 1 ต.ท่ามะขาม อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี บนพื้นที่กว่า 140 ไร่ สำหรับเลี้ยงปลาโดยไม่ต้องเช่าเหมือนอดีต และกลายเป็นเจ้าของกระชังปลา 260 กระชังในปัจจุบัน

สำหรับเพื่อนเกษตรกรที่สนใจจะเลี้ยงปลาก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ใส่ใจ และตั้งใจจริง เพราะทางซีพีเอฟจะส่งนักวิชาการมาคอยให้ความรู้เป็นประจำ อีกทั้งยังจัดหาตลาดรองรับผลผลิตให้ทั้งหมด อีกด้วย

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=676&contentID=130720

Saturday, April 2, 2011

แนะนำอาชีพ 'กระทงเปรี้ยวหวาน'พ่วงสูตร'ข้าวแต๋นทรงเครื่อง'

าก “งานมหกรรมส่งเสริมสินค้าเกษตรไทย รายได้สู่เกษตรกร” เมื่อปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา นอกจากจะมีการแสดงผลผลิตและเทคโนโลยีด้านการเกษตรแล้ว ยังมีการฝึกอาชีพที่น่าสนใจหลายอย่างด้วย รวมถึง “กระทงเปรี้ยวหวาน” และ “ข้าวแต๋นทรงเครื่อง” ซึ่งก็น่าจะเป็นแนวทาง “ช่องทางทำกิน” ได้ในปัจจุบัน...

จันทรา สวัสดิบุตร พนักงานเคหกิจเกษตร เจ้าของสูตร และผู้ฝึกอบรม เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการเปิดสูตรอาหารดังกล่าวมาจากการที่กรมส่งเสริมการเกษตรต้อง การส่งเสริมอาชีพเกษตรกร และกลุ่มแม่บ้าน รวมทั้งอยากให้คนไทยทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะลองทำขนม 2 ชนิดนี้ และสอนให้บุคคลทั่วไป ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ทำนั้น เป็นอุปกรณ์ทำอาหารทั่วไป หาได้ในครัวเรือน อาทิ เตาแก๊ส กระทะ กะละมัง และภาชนะอื่น ๆ

เริ่มที่ “กระทงเปรี้ยวหวาน” ซึ่งก็ทำได้ไม่ยาก ในส่วนของตัวกระทงแป้งนั้นซื้อแบบสำเร็จรูปจากห้างสรรพสินค้าได้ ซึ่งจะมีกระทงแป้ง 2 ชนิดคือ รสเค็ม กับรสหวาน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้วครึ่ง เก็บรักษาโดยไม่ให้โดนความชื้น โดยที่อาหารในกระทงนั้นถ้าเป็นของคาวก็ใช้กระทงแบบเค็ม ถ้าเป็นของหวานก็ใช้กระทงแบบหวาน

กระทงแป้งนี้จะทำเองก็ได้ โดยใช้แป้งสาลี ผสมกับเนยแข็ง นวดให้เข้ากัน จากนั้นเอาไปใส่ในแท่นพิมพ์กระทง แล้วจึงนำไปอบทิ้งไว้ แต่เลือกซื้อกระทงสำเร็จรูปก็จะประหยัดเวลา และทำกระทงเปรี้ยวหวานได้ง่ายขึ้น ไม่ซับซ้อน

วัตถุดิบต่อการทำกระทงเปรี้ยวหวาน 40 กระทง ประกอบด้วย ปลาฉิ่งชั้งหรือปลาตัวเล็ก 50 กรัม, พริกหวาน (พริกยักษ์) สีแดง เขียว เหลือง อย่างละ 100 กรัม (มีหลายสีทำให้ดูน่ารับประทาน), สับปะรด 100 กรัม, มันฝรั่ง 100 กรัม, เมล็ดถั่วลันเตาต้มหรือนึ่ง 50 กรัม, ผักชีหรือพาร์เล่ย์ 50 กรัม ส่วนน้ำเปรี้ยวหวาน มีส่วนผสมคือ น้ำปลา 1/4 ถ้วยตวง, น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง, ซอสพริก 1/4 ถ้วยตวง, น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันพืช 1 ถ้วยตวง, พริกขี้หนูแห้งทอด 5 กรัม

วิธีทำ ล้างพริกหวาน ปอกสับปะรด มันฝรั่ง แล้วหั่นเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ ทอดมันฝรั่งพอให้สีออกเหลือง ล้างผักชีหรือพาร์เล่ย์แล้วเด็ดเป็นใบเล็ก ๆ ในส่วนของน้ำเปรี้ยวหวาน ปรุงโดยผสมน้ำปลา น้ำตาลทราย ซอสพริก น้ำมะนาว คนให้เข้ากันจนน้ำตาลละลาย จะได้สีน้ำเปรี้ยวหวานที่คล้าย ๆ กับสีของซอสพริก ถ้าทำให้เด็ก ๆ ทานก็ใช้ซอสมะเขือเทศแทน

จากนั้นนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้มาคลุกเคล้ากับน้ำเปรี้ยวหวานให้ เข้าเนื้อกัน แล้วตักใส่กระทงแป้ง แต่งหน้าให้สวยงามด้วยผักชี ปลา และพริกขี้หนูแห้งทอด ซึ่งเคล็ดลับในการทำ “กระทงเปรี้ยวหวาน” คือวัตถุดิบทุกอย่างต้องสดใหม่ การใส่ผลไม้ พริกสด ทำให้กรอบอร่อย การโรยด้วยผักชีช่วยดับกลิ่นคาวของปลาและพริกหวานด้วย

สำหรับ “ข้าวแต๋นทรงเครื่อง” คุณจันทราอยากให้คนหันมากินข้าวแต๋นที่ทำจากข้าวเหนียว ให้คุณค่าทางโภชนาการและอิ่มท้อง และยังเป็นการผสมผสานอาหารแบบไทย ๆ กับการตกแต่งอาหารแบบฝรั่งด้วย เหมือนอาหารฝรั่งที่ใช้แครกเกอร์หรือขนมปัง แต่ใช้ข้าวแต๋น นอกจากนี้ ข้าวแต๋นทรงเครื่องยังเหมาะที่จะเป็นอาหารในเวลารีบเร่งอีกด้วย

ส่วนผสมในการทำข้าวแต๋นทรงเครื่องหาซื้อได้ง่ายตามตลาดสดหรือห้างสรรพสินค้า ทั่วไป โดยตัวข้าวแต๋นนั้นใช้แบบที่ทอดแล้วสำเร็จรูปได้ มีกลุ่มแม่บ้านทำขายหลายจังหวัด เช่น ปราจีนบุรี, ลำปาง, พะเยา เป็นต้น มีวางขายในศูนย์ศิลปาชีพ โดยคุณจันทราเลือกใช้ข้าวแต๋นที่มีขนาดเท่ากับเหรียญ 10 บาท ซึ่งเวลาทานจะสะดวก พอดีคำ ถ้าใครจะทำข้าวแต๋นเองก็นำข้าวเหนียวมาแช่น้ำแล้วนึ่งให้สุก จากนั้นเอาไปใส่พิมพ์แล้วตาก หรือนำไปอบก็ได้

การทำข้าวแต๋นทรงเครื่อง 180 ชิ้น จะใช้ข้าวแต๋น 300 กรัม, ปูอัด 150 กรัม, ทูน่า 150 กรัม, ไก่ต้มฉีกฝอย 150 กรัม, พริกแดง 50 กรัม, ผักชีหรือพาร์เล่ย์ 50 กรัม, มายองเนส หรือน้ำสลัด (แบบสำเร็จ) 1 ถ้วยตวง ถ้าจะทำน้ำสลัดเองก็นำไข่ไก่ น้ำตาลทราย นมข้น น้ำมันพืช น้ำมะนาว น้ำส้มสายชู พริกไทยป่น เกลือป่น ผสมและตีให้เข้ากัน จะใช้ส่วนผสมตัวไหนมากน้อยแล้วแต่ความชอบ

วิธีทำ “ข้าวแต๋นทรงเครื่อง” เริ่มจากผสมปูอัด ทูน่า หรือไก่ต้มฉีกฝอย กับมายองเนสที่เตรียมไว้ คนให้เข้าเนื้อกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ทาบนแผ่นข้าวแต๋น แล้วแต่งหน้าด้วยพริกแดงหรือผักชีก็ได้ตามใจชอบ เป็นอันเสร็จ

สำหรับต้นทุน ถ้าเป็นกระทงเปรี้ยวหวานจำนวน 40 ชิ้น ต้นทุนจะตกกระทงละประมาณ 5 บาท ราคาขายกระทงละ 7 บาทขึ้นไป ส่วนข้าวแต๋นทรงเครื่อง 180 ชิ้น มีต้นทุนประมาณ 120 บาทขึ้นไป ราคาขายชิ้นละ 3 บาทขึ้นไป โดยในการขายก็อาจจะจัดเป็นแพ็ก มีหลายชิ้น กระทงเปรี้ยวหวานก็อาจจะแยกตัวกระทงแป้งและน้ำเปรี้ยวหวานออกจากกัน ในส่วนของข้าวแต๋นทรงเครื่องก็อาจจะแยกน้ำที่เป็นเครื่อง ให้ผู้บริโภคไปทาเองตามใจชอบ

ทั้ง “กระทงเปรี้ยวหวาน” “ข้าวแต๋นทรงเครื่อง” เหมาะที่จะเป็นอาหารว่าง อาหารในชั่วโมงเร่งด่วน หรืออาหารในงานเลี้ยงงานสัมมนา เป็นอาหารที่มีจุดขายคือทานสะดวก มีคุณค่าทางโภชนาการ มีแคลอรีต่ำ ทานได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งใครสนใจฝึกทำกระทงเปรี้ยวหวาน ข้าวแต๋นทรงเครื่อง ติดต่อ คุณจันทรา สวัสดิบุตร ได้ที่ โทร. 08-1827-3563.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=130565

แนะนำอาชีพ 'ไอศกรีมมะม่วง'

หนึ่งในของหวานทานเล่นที่ได้รับความนิยมยามที่อากาศร้อน หรือแม้แต่ช่วงที่ไม่ร้อน คือ “ไอศกรีม” ซึ่งไอศกรีมก็สามารถทำได้หลากหลายรสชาติ อย่างรายของ “สุพัตรา พัชรารัตน์” เจ้าของสวนมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ในช่วงนี้เป็นช่วงมะม่วงออกผลผลิต นอกจากขายผลสดแล้ว ก็ยังนำมะม่วงมาผลิตเป็น ’ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้“ เป็นการนำผลผลิตมาแปรรูปจำหน่ายสร้างรายได้เสริม เป็นอีกหนึ่งรูปแบบ ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าพิจารณา..

สุพัตรา พัชรารัตน์ ซึ่งทำสวนมะม่วงอยู่ที่ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ชื่อสวนมะม่วงน้องปลื้ม เล่าว่า ครอบครัวทำสวนมะม่วงมานาน ปลูกมะม่วงกว่า 100 ไร่ มีมะม่วงหลากหลายพันธุ์ ที่ปลูกมากที่สุดก็คือ “มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง” เป็นพันธุ์ที่ขึ้นชื่อและได้รับความนิยมที่สุด และในช่วงหน้ามะม่วงจะมีผลผลิตออกมามาก เร่งขายผลสดแล้วก็ยังมีเหลืออีกมาก ซึ่งก็จะต้องหาวิธีแปรรูปเพื่อไม่ให้มะม่วงเน่าเสียหายแบบเปล่าประโยชน์ โดยส่วนใหญ่ก็จะนำไปทำเป็นมะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงดอง มะม่วงกวน และล่าสุดก็ได้นำมะม่วงมาแปรรูปเป็น “ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้” ขายอีกด้วย

“เนื่องจากคุณย่านั้นทำไอศกรีมกะทิขายมานานหลาย 10 ปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังทำขายอยู่ และในช่วงที่มะม่วงออกผลผลิตนั้นจะตรงกับช่วงหน้าร้อนพอดี เราจึงมีความคิดที่จะนำมาทำเป็นไอศกรีม เพราะยังไงคุณย่าก็มีสูตรการทำไอศกรีมอยู่แล้ว เราจึงไปให้คุณย่าทดลองทำไอศกรีมมะม่วง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ยาก คุณย่าทดลองทำอยู่ไม่นานก็ได้สูตรการทำไอศกรีมมะม่วง และก็ทำขายตั้งแต่ปี 2553 เรื่อยมา”

ไอศกรีมมะม่วง ใช้สูตรการทำคล้ายไอศกรีมกะทิ แต่จะเพิ่มเนื้อมะม่วงลงไปปั่นผสมเพื่อให้มีกลิ่นหอมและมีรสชาติของมะม่วง ด้วย โดยเลือกใช้มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง เพราะมีรสชาติหวาน เนื้อแน่น ไอศกรีมมะม่วงที่ทำออกมานั้นจะไม่หวานมาก แต่จะต้องมีกลิ่นหอม และได้ความมันของกะทิแบบกลมกล่อมไอศกรีม 1 ถังจะมีอยู่ 3 ปั่น โดย 1 ปั่น เทียบได้ประมาณ 8 กิโลกรัม ซึ่งในการทำไอศกรีม 8 กิโลกรัมจะใช้มะม่วงน้ำดอกไม้ประมาณ 5 กิโลกรัม เนื่องจากมีมะม่วงเป็นต้นทุนอยู่แล้ว จึงใส่มะม่วงได้เต็มที่ ส่วนมะม่วงที่นำมาใช้ได้ จะเป็นมะม่วงที่สุกงอมกำลังพอดี ไม่สุกมากหรือน้อยเกินไปเพราะจะทำให้ไอศกรีมที่ทำออกมามีกลิ่นไม่หอมและไม่ อร่อย

“สำหรับการทำไอศกรีมมะม่วงนั้นเราจะจำกัด ทำออกมาจำหน่ายเฉพาะในช่วงหน้ามะม่วงออกผลผลิตเท่านั้น เพราะเราต้องการคุณภาพของไอศกรีม เนื่องจากมะม่วงนอกฤดูนั้นเป็นมะม่วงที่จืด ไม่หอมไม่หวาน เวลานำมาทำเป็นไอศกรีมก็จะไม่อร่อย”

การทำไอศกรีม 8 กิโลกรัม มีส่วนประกอบในการทำไอศกรีมดังนี้... เนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สุกประมาณ 5 กิโลกรัม, น้ำตาลทราย 5 กิโลกรัม, น้ำกะทิ 10 กิโลกรัม, นมสด 3 กระป๋อง, ไวท์มอลต์ 2 ช้อนชา, กลิ่นวานิลลาเล็กน้อย

ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากนำมะม่วงน้ำดอกไม้สุกมาทำการปอกเปลือก หั่นเอาแต่เนื้อ จากนั้นนำไปใส่ในเครื่องปั่น เทน้ำกะทิผสมลงไป ทำการปั่นให้เนื้อมะม่วงละเอียดเข้าเป็นเนื้อเดียวกับกะทิ พักทิ้งไว้

นำน้ำตาลทรายผสมกับไวท์มอลต์และนมสดส่วนหนึ่ง (แยกนมสดไว้อีกส่วนหนึ่ง) ใส่ลงในหม้อนำขึ้นตั้งไฟอ่อนค่อย ๆ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ ตอนเคี่ยวนั้นก็ให้ค่อย ๆ เทนมสดส่วนที่แยกไว้ผสมลงไปเรื่อย ๆ จนหมด จากนั้นก็เคี่ยวต่อ โดยนำมะม่วงที่ปั่นผสมกับน้ำกะทิใส่ลงไปเคี่ยวให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 5-7 นาที จนส่วนผสมที่เคี่ยวเดือดก็ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้ให้เย็น เติมกลิ่นวานิลลาลงไปเพื่อเพิ่มความหอม และเพื่อให้สีสันออกเหลืองนวลขึ้นมามากขึ้น แต่หากต้องการให้เป็นสีธรรมชาติก็ไม่ต้องใส่ก็ได้

หลังจากส่วนผสมที่เคี่ยวไว้เย็น ก็ให้ตักใส่ถุงนำไปแช่ตู้เย็น เพื่อให้เนื้อส่วนผสมเข้ากันและจับตัว ใช้เวลาแช่ประมาณ 4 ชั่วโมง หลังจากเนื้อส่วนผสมจับตัวแข็งเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็ให้นำออกมาใส่ลงไปในเครื่องปั่นสำหรับทำไอศกรีม ทำการปั่นไปเรื่อย ๆ ประมาณ 30-40 นาที ก็จะได้ไอศกรีมที่มีเนื้อเนียนนุ่ม จากนั้นก็นำไปบรรจุไว้ในถังใส่ไอศกรีม เตรียมขาย

การตัก “ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้” ขาย ก็จะใช้ถ้วยขนาด 260 กรัม ตักไอศกรีมใส่ประมาณ 4 ลูก โรยหน้าด้วยเนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้สุกที่หั่นเป็นลูกเต๋า ขายในราคาถ้วยละประมาณ 20-25 บาท ซึ่งไอศกรีม 1 ถัง ใช้เงินทุนประมาณ 1,000 บาท ถ้าขายหมดก็จะได้ประมาณ 2,000 บาท

ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้ของสุพัตราจะทำออกมาขายเฉพาะในช่วงฤดูมะม่วงเท่านั้น ซึ่งก็คือในช่วงนี้ ก็ตั้งแต่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม หากเป็นช่วงนอกฤดูมะม่วงก็จะทำไอศกรีมกะทิมะพร้าวอ่อนขายแทน

สำหรับผู้ที่สนใจ ’ไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้“ ของสุพัตรา ในช่วงนี้แวะไปชิมกันได้ที่ตลาดน้ำบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ขายวันเสาร์-อาทิตย์ หรือถ้าต้องการสั่งทำก็สามารถโทรฯ ไปสอบถามได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-1752-9684 โดยต้องสั่งล่วงหน้าก่อนประมาณ 2-3 วัน ซึ่งการทำ-การขายไอศกรีมผลไม้ชนิดนี้ ก็น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกัน.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=130349