Sunday, December 18, 2011

แนะนำอาชีพ‘ขนมไดฟูกุ’

แนะนำอาชีพ‘ขนมไดฟูกุ’
“ไดฟูกุ” เป็นหนึ่งในขนมหวานยอดฮิตของประเทศญี่ปุ่น ลักษณะเป็นก้อนแป้งนิ่ม ๆ มีไส้อยู่ข้างใน สีสันน่ารับประทาน ชื่อไดฟูกุแปลว่ามีความสุขมาก ๆ จึงถือว่าเป็นขนมมงคลของญี่ปุ่น ซึ่งคนไทยเราก็มีการนำขนมชนิดนี้มาพลิกแพลงดัดแปลง เกิดเป็น “ช่องทางทำกิน” จากขนมญี่ปุ่น “ไดฟูกุ” ในเมืองไทย ซึ่งวันนี้เรามีข้อมูลมานำเสนอ...

.......................................

กล้า-วิทยา ศานต์ฤทัย ทำขนม “ไดฟูกุ” จำหน่าย โดยเขาบอกว่า ขนมไดฟูกุนี้เป็นขนมมงคลของญี่ปุ่น โดยปกติที่ญี่ปุ่นจะไม่ได้ทำขายเพื่อทานกันตลอดทั้งปี แต่มักจะทำทานกันเฉพาะเทศกาลสำคัญ ๆ เช่น เทศกาลปีใหม่

สำหรับแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากจะนำขนมชนิดนี้มาผลิตเพื่อขายนั้น เขาบอกว่า เนื่องจากติดใจในรสชาติ และคิดว่าตลาดคนไทยน่าจะยอมรับขนมชนิดนี้ได้ไม่ยาก จึงลองค้นหาสูตรและได้รับคำแนะนำจากเพื่อนชาวญี่ปุ่น จนออกมาเป็นขนมไดฟูกุญี่ปุ่น รสชาติสไตล์ไทย โดยใช้ชื่อสินค้าว่า “คาชิ ฮิเมะ” ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี มีทั้งลูกค้าที่ซื้อไปทานเอง กับลูกค้าที่มารับเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ นอกจากนี้ก็ยังมีรายได้จากการรับจัดเลี้ยงของว่างอีกทางหนึ่งด้วย

ขนมไดฟูกุที่ทำอยู่นั้น มีไส้ต่าง ๆ อาทิ ชาเขียว, ถั่วแดง, ถั่วเหลือง, เผือก, งาดำ, กาแฟ, วิปปิ้งครีม นอกจากนี้ยังพยายามดัดแปลงโดยนำผลไม้ประจำฤดูกาลต่าง ๆ เข้ามาเสริมเพื่อเพิ่มทางเลือกและสร้างโอกาสในการขายให้มากขึ้น เช่น พุทราจีน, เกาลัด, กาแฟ, ทุเรียน , สตรอเบอรี่ หมุนเวียนไปตามฤดูกาล หรือตามแต่ลูกค้าสั่งซื้อ

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้เงินลงทุนประมาณ 30,000 บาท ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย ที่เริ่มตั้งแต่ลูกละ 12 บาท จนถึง 30 บาท แล้วแต่ไส้

อุปกรณ์การทำ หลัก ๆ ประกอบด้วย เครื่องนวด, กระทะทองเหลือง, ไม้พาย, เครื่องปั่น, หม้อสแตนเลส, เตาแก๊ส, ถาด, กะละมัง, รังถึง, แม่พิมพ์กดลาย เป็นต้นส่วนวัตถุดิบที่ใช้ในการทำตัวแป้ง ก็มี แป้งข้าวเหนียว, แป้งข้าวญี่ปุ่น, แบะแซ, เนยขาว, แป้งนวลหรือแป้งโรย, สีผสมอาหาร, กลิ่นสงเคราะห์ และน้ำสะอาด

ส่วนผสมของไส้ ได้แก่ ถั่วเขียว, ถั่วแดง, เผือก , งาดำ, พุทราจีน, น้ำตาลทราย, ผงชาเขียว และน้ำมันพืช หรือจะใช้หัวกะทิแทนก็ได้

ขั้นตอนการทำ แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนการเตรียมไส้ และขั้นตอนการเตรียมแป้ง
ขั้นตอนการทำไส้ สำหรับชาเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง เผือก วิธีทำเหมือนกัน ต่างตรงที่ไส้ชาเขียวจะเพิ่มผงชาเขียวลงไปในถั่วเหลือง การทำไส้เริ่มจากนำถั่วเขียวเลาะเปลือกมาแช่น้ำทิ้งไว้ 5 ชั่วโมง นำมานึ่งหรือต้มให้สุกและปั่นให้ละเอียด เทใส่ลงในกระทะทองเหลือง ผสมน้ำตาลทรายและน้ำมันพืช จากนั้นกวนด้วยไฟอ่อน ๆ จนหอม

เมื่อได้ที่แล้วก็ยกลงพักไว้ให้เย็น แล้วทำการปั้นเป็นลูก ๆ เตรียมไว้ ไส้พุทราจีนกับไส้งาดำ วิธีทำคล้ายกัน เพียงแต่ไส้พุทราจีนต้องนำพุทราแห้งไปต้มจนพุทรานุ่มก่อน จากนั้นแกะเม็ดออก นำเนื้อพุทรามาปั่นให้ละเอียด นำไปกวน ส่วนไส้งาดำให้นำงาดำไปคั่วให้หอมก่อนจะนำมาปั่น และนำมากวน

ขั้นตอนการทำตัวแป้ง นำแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวญี่ปุ่นมาร่อนผสมกัน พักไว้ นำแบะแซผสมกับน้ำสะอาด กวนด้วยไฟกลางจนละลาย เติมเนยขาว สีสังเคราะห์ และกลิ่นผสมอาหาร ลงไปกวนให้เข้ากัน พอน้ำแบะแซร้อนจัดจึงยกลงและตักใส่ลงไปในแป้งที่ผสมไว้ ทิ้งไว้ให้อุ่นพอจับได้ จึงนำมานวดจนได้แป้งที่มีลักษณะเหนียวเนียน

สำหรับการปั้น ให้เอามือแตะแป้งนวลหรือแป้งโรย ใช้ช้อนตักแป้งที่ผสมเสร็จออกมาปั้นให้เป็นก้อนกลม ใช้มือรีดแผ่แป้งให้บาง จากนั้นนำไส้ที่เตรียมไว้ใส่ลงตรงกลาง ทำการปั้นห่อไส้ให้มิด คลุกแป้งนวลอีกครั้ง จึงบรรจุลงบรรจุภัณฑ์ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“จุดเด่นอร่อยลิ้นของขนมชนิดนี้ คือความเหนียวนุ่มของแป้ง โดยหากไม่แช่ตู้เย็นก็จะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 วัน แต่ถ้าแช่ตู้เย็นก็จะสามารถเก็บไว้ทานได้นานเป็นอาทิตย์” วิทยา ซึ่งทำ “ไดฟูกุ” สไตล์ไทย ขาย กล่าว

.......................................

ใครสนใจขนมชนิดนี้ ต้องการติดต่อวิทยา ติดต่อได้ที่ เลขที่ 88/15 ถนนเลียบทางด่วนวงแหวนประชาอุทิศ ทุ่งครุ กรุงเทพฯ โทร.08-7455-3351, 08-1557-2421 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเมนูขนมต่างชาติที่ปรับรสชาติจนถูกปากคนไทย กลายเป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ในเมืองไทย ที่น่าสนใจไม่น้อยเลย!!

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง
จามิกร ศรีคำ – กมลภัทร ทองกริต : ภาพ

.......................................

คู่มือลงทุน...ขนมไดฟูกุ

ทุนเบื้องต้น ประมาณ 30,000 บาท

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% จากราคา

รายได้ ราคาลูกละ 12-30 บาท

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ขายทั่วไป, รับจัดเลี้ยง

จุดน่าสนใจ แปลกใหม่เป็นจุดขาย

http://www.dailynews.co.th/article/384/3555

Friday, December 16, 2011

แนะนำอาชีพ 'กระเป๋าผ้าปัก'

แนะนำอาชีพ 'กระเป๋าผ้าปัก' มหาอุทกภัยที่เกิดในปีนี้ หนักหน่วงและยาวนานมาก หลายพื้นที่สามารถกลับมาดำเนินชีวิตการงานกันได้ปกติแล้ว ขณะที่บางพื้นที่ก็ยังต้องเผชิญกับภัยน้ำอยู่ ทีมคอลัมน์ ’ช่องทางทำกิน“ ก็ขอส่งใจช่วยให้ทุกคนเข้มแข็ง มีแรง มีพลังในการฟื้นฟูชีวิตและการทำมาหากินให้กลับคืนมาได้เร็ววัน ซึ่งวันนี้ทางทีมฯก็มีข้อมูลงานประดิษฐ์ประเภทงานปัก ที่สามารถจะหยิบจับเป็นอาชีพหลัก หรือทำเป็นอาชีพเสริมก็ได้ นั่นคืองาน “กระเป๋าผ้าปัก” มาให้ลองพิจารณากัน...

“วราภรณ์ ลูกศร” เล่าว่า เดิมทีทำงานเป็นพนักงานบริษัทผลิตสินค้าเกี่ยวกับงานผ้าอยู่แล้ว อีกทั้งตนเองเรียนจบมาทางด้านศิลปะ จึงคิดว่างานผ้าโดยเฉพาะงานปักนั้น ถ้าออกแบบดี ๆ มีลูกเล่น ก็สามารถที่จะพัฒนาและสามารถทำเป็นธุรกิจของตนเองได้ จึงตัดสินใจลาออกมาเพื่อมาลงทุนทำงานผ้าและงานปักที่ตนเองรักเป็นธุรกิจของ ตนเอง โดยสินค้าที่ผลิตนั้นจะเน้นงานผ้าเกือบทั้งหมด และมีจุดเด่นอยู่ที่ลวดลายการ์ตูนที่ปักอยู่บนสินค้า ซึ่งทุกชิ้นเป็นงานปักมือทั้งหมด

“จุดเด่นที่ลูกค้าชอบและเป็นจุดขายของเราคือ ลายปักที่จะเป็นคนออกแบบเองทั้งหมด เน้นลายการ์ตูนน่ารัก เน้นเรื่องราวความรักของครอบครัว ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบเพราะเป็นงานปักด้วยมือทั้งหมด การเดินเส้นด้ายก็จะอ่อนไหวไม่แข็งเหมือนงานที่ปักด้วยคอมพิวเตอร์ หรืองานปักที่ผลิตในแบบอุตสาหกรรม” วราภรณ์กล่าว

ก่อนจะบอกต่อไปว่า แรก ๆ ที่ผลิตสินค้าจำหน่าย จะใช้การเดินสายนำสินค้าไปขายตามตลาดนัด เน้นกลุ่มพนักงานออฟฟิศ แต่เมื่อมาคำนวณต้นทุนค่าเช่าพื้นที่และค่าเดินทางแล้ว คิดว่าไม่คุ้มทุนเท่ากับการเปิดหน้าร้านเพื่อจำหน่าย ซึ่งนอกจากจะทำให้สามารถคำนวณต้นทุนคงที่ได้แล้ว ยังทำให้เกิดกลุ่มลูกค้าประจำมากกว่าการขายเร่ จึงตัดสินใจเปิดร้านเพื่อจำหน่ายสินค้าที่บริเวณชั้น 2 ภายในห้างซีคอนสแควร์ และเพิ่มทางเลือกในการจำหน่ายอีกทางด้วยการเปิดร้านสินค้าออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ www.aehobbycraft.com ซึ่งกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง มีตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดย ใช้เทคนิคการตั้ง “ราคาขาย” เป็นตัวกำหนด “กลุ่มลูกค้า” ที่เข้ามาซื้อสินค้า

สำหรับสินค้าที่ผลิตขึ้น มีตั้งแต่กระเป๋าใส่เศษสตางค์, ซองโทรศัพท์มือถือ, ถุงผ้า, กระเป๋าถือ, กระเป๋าสะพาย, ซองใส่ไอแพด-โน้ตบุ๊ก, เสื้อยืดปัก, ตุ๊กตาปัก ซึ่งชิ้นงานทุกประเภทสามารถนำงานปักเข้าไปใช้ประกอบตกแต่งได้ทั้งสิ้น

“ระดับราคาจะเป็นตัวกำหนดกลุ่มลูกค้าให้ในตัว อย่างเช่น ถ้าหากเป็นลูกค้าเด็ก ๆ นักเรียน วัยรุ่น สินค้าที่ลูกค้ามักจะซื้อจะเป็นของกระจุกกระจิก กระเป๋าใบเล็ก ๆ กับซองโทรศัพท์ ที่ราคาไม่แพงนัก ถ้าหากเป็น กลุ่มพนักงานออฟฟิศหรือกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่ มักจะนิยมสินค้าประเภทกระเป๋าสะพาย ซองใส่ไอแพด ที่มีขนาดและราคาสูงกว่า ลูกค้าเด็ก ๆ จะเน้นของไม่แพง ซื้อได้บ่อย ส่วนกลุ่มลูกค้าผู้ใหญ่จะซื้อไม่บ่อย แต่จะขายได้ราคาสูงกว่า เพราะกลุ่มนี้จะเน้นที่วัสดุคุณภาพสูง ขนาด และประโยชน์ใช้สอย มากกว่ากลุ่มแรก” เจ้าของงานฝีมือระบุ

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้ประมาณ 20,000 บาท ส่วนทุนวัสดุทำชิ้นงานอยู่ที่ประมาณ 60% จากราคาขาย ซึ่งสินค้ามีราคาขายเริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 200 บาท ไปจนถึง 1,200 บาท โดยเครื่องมืออุปกรณ์ วัสดุ ที่ต้องลงทุนคือ จักรเย็บผ้า และอุปกรณ์งานเย็บผ้า วัสดุก็มีผ้าสำหรับทำกระเป๋า (ใช้ผ้าที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์), ผ้าสักหลาด สำหรับใช้ในการเป็นชิ้นปักลวดลาย, สายหนัง สำหรับทำหูกระเป๋า, ซิป, กระดุม, ใยสังเคราะห์ สำหรับบุกระเป๋า และวัสดุตกแต่งอื่น ๆ ตามต้องการ

ขั้นตอนการทำ “กระเป๋าผ้าปัก” ชิ้นงานรูปแบบนี้ มีขั้นตอนไม่มาก แต่จะต้องใช้ทักษะในงานปักและงานเย็บขึ้นรูปกระเป๋าพอสมควร เริ่มจากการออกแบบลวดลายที่จะใช้ในการปัก ลายที่ใช้ปักส่วนใหญ่จะเน้นที่ตัวการ์ตูนน่ารัก โดยมักจะทำการปักไว้หลาย ๆ แบบ หลาย ๆ ชิ้นล่วงหน้า หากต้องการชิ้นไหนก็สามารถหยิบมาใช้ประกอบกับสินค้าได้เลย

เมื่อได้ลายปักแล้ว ก็ทำการเย็บประกอบกับตัวกระเป๋า ทำการขึ้นตัวกระเป๋า ตรวจสอบรอยตะเข็บต่าง ๆ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำหลัก ๆ

“ขั้นตอนไม่มาก แต่ใช้เวลาในขั้นตอนปัก ส่วนใหญ่จะปักไว้พร้อมกันหลาย ๆ ชิ้น เมื่อจะใช้ก็หยิบใช้ได้เลย ลูกค้าส่วนใหญ่มีทั้งที่มาซื้อแบบสำเร็จรูปที่หน้าร้าน และมีทั้ง
ลูกค้าที่สั่งออร์เดอร์ที่ให้ช่วยคิดลายใหม่ให้” วราภรณ์กล่าว

ใครสนใจงาน ’กระเป๋าผ้าปัก“ และชิ้นงานอื่น ๆ ในรูปแบบนี้ ต้องการติดต่อวราภรณ์ ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-9155-3709 หรือทางอีเมลที่ ae4wara@hotmail.com ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ อีกงานไอเดียน่าสนใจ ที่นำมาเสนอให้พิจารณากันส่งท้ายปลายปี 2554 นี้.


แนะนำอาชีพ 'กระเป๋าผ้าปัก' ที่มา http://www.dailynews.co.th/article/384/3362

Sunday, December 11, 2011

แนะนำอาชีพ ‘ซาลาเปาสมุนไพร’

แนะนำอาชีพ ‘ซาลาเปาสมุนไพร’
“ซาลาเปา” เป็นหนึ่งในอาหารทานเล่นที่ซื้อง่ายขายคล่อง ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีเรื่องราวการทำการขายซาลาเปาแบบไม่ธรรมดา แปลกแหวกแนวดึงดูดลูกค้า เป็นซาลาเปาหลากหลายสีสันโดยผสมสีที่ได้จาก “สมุนไพร” ที่มีประโยชน์มีคุณค่าทางอาหาร รวมทั้งไส้ซาลาเปาก็มีมากมายเลือกได้หลายอย่าง เป็นอีกช่องทางทำกินที่น่าพิจารณา...

................................
วัลย์ฤดี เรืองเดชสุวรรณ อายุ 47 ปี เจ้าของ “ดาราณีซาลาเปาสมุนไพร” ที่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เล่าว่า เดิมทำซาลาเปาธรรมดาขาย เมื่อมีการประกวดโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ปี 2552 ได้ทำ “ซาลาเปาสมุนไพร” เข้าไปประกวด และได้รับรางวัลโอทอป 4 ดาว หลังจากนั้นก็ได้ทำขายมาเรื่อย ๆ และได้รับการตอบรับที่ดี

ก่อนจะมาขายซาลาเปา วัลย์ฤดีเล่าว่ามีอาชีพทำสวนมาก่อน และเป็นลูกจ้างในร้านเบเกอรี่ จึงมีพื้นฐานในการทำเบเกอรี่อยู่บ้าง ส่วนสูตรซาลาเปานั้นไปหาอ่านจากหนังสือเอง และนำมาพลิกแพลงดัดแปลง ซึ่งซาลาเปาสมุนไพรที่ทำนั้น ก็อ่านจากหนังสือที่ได้บอกไว้ว่าสมุนไพรไทยมีประโยชน์ สามารถนำมาประยุกต์ใส่ในอาหารและขนมได้ ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งที่บ้านมีพื้นที่ มีสวน มีดอกไม้ที่สามารถนำมาใช้เป็นสมุนไพรได้ จึงค่อย ๆ ลองหัดทำดู

ซาลาเปาสมุนไพรที่ขายมี 9 ไส้ หลายสี สีขาว เป็นซาลาเปาหมูสับ สีเขียว ไส้ผักรวม สีขาว/เขียว ไส้สังขยา สีชมพู ไส้หมูแดง สีน้ำเงิน ไส้ถั่วดำ สีขาว/น้ำเงิน ไส้เผือก สีเหลือง ไส้ถั่วเหลือง สีขาว/เหลือง ไส้ครีม สีน้ำตาล ไส้โกโก้

วัลย์ฤดีกล่าวว่า เหตุที่แบ่งออกเป็นสี ๆ เพื่อให้ลูกน้องขายได้ง่าย ๆ เพราะไม่ต้องจำอะไรยาก ๆ และการทำสีซาลาเปานั้น สีต่าง ๆ ที่ผสมลงไปในแป้งซาลาเปาเป็นสีที่ได้จากสมุนไพรล้วน ๆ และมีประโยชน์กับร่างกาย อาทิ สีชมพู มาจากดอกเฟื่องฟ้า สีเขียวมาจากใบเตย สีน้ำเงินมาจากดอกอัญชัน สีเหลืองมาจากขมิ้นสด

อุปกรณ์ทำซาลาเปา หลัก ๆ ก็มีเตาแก๊ส กะละมัง ที่ร่อนแป้ง เครื่องนวดแป้ง รังถึง ไม้นวดแป้ง และอุปกรณ์ทำเบเกอรี่อื่น ๆ ทุนอุปกรณ์ก็ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป ส่วนวิธีทำแป้งซาลาเปา ใช้แป้งสาลีตราบัวแดง 2 กก. ผสมร่อนกับแป้งสาลี 200 กรัม ใส่น้ำเปล่า 1.4 กก. ผงฟู 20 กรัม ตีรวมกันด้วยเครื่องตีแป้งจนแป้งเนียน ดูว่าแป้งยืดได้ก็ใช้ได้ (ถ้าตีไม่เนียน แป้งจะไม่นุ่ม) พักแป้งไว้โดยคลุมด้วยผ้าขาวบางประมาณ 30 นาที สังเกตดูว่าแป้งพองตัวขึ้นเป็น 2 เท่า ก็พร้อมใช้

การทำสีสมุนไพร สีชมพู ใช้ดอกเฟื่องฟ้า ล้างให้สะอาด ปั่นสด ๆ กรองด้วยผ้าขาวบาง หรืออาจใช้แครอทก็ได้, สีเขียว ใช้ใบเตยแก่สด ๆ ล้างให้สะอาด หั่นละเอียด ปั่นน้ำสด ๆ กรองด้วยผ้าขาวบาง, สีน้ำเงิน ใช้ดอกอัญชันสด ล้างให้สะอาด ปั่นสด ๆ กรองด้วยผ้าขาวบาง, สีเหลือง ใช้ขมิ้นสดปั่นน้ำออกมา กรองด้วยผ้าขาวบาง ส่วนสีน้ำตาล ใช้ผงโกโก้ทำ

แป้งซาลาเปาที่นวดแล้ว 1 กก. จะปั้นซาลาเปาได้ 50-60 ลูก โดย ถ้าจะทำเป็นแป้งสีต่าง ๆ จะใช้แป้ง 1 กก. นวดผสมสีสมุนไพรที่ต้องการ 1 ช้อนแกง ส่วนแป้งสีน้ำตาลใช้ผงโกโก้ 1 ช้อนชา ร่อนลงไปนวดกับแป้ง 1 กก.

สำหรับไส้ซาลาเปา วัลย์ฤดีบอกว่า ไส้ที่ขายดี มีอาทิ ไส้หมูแดง ไส้ผักรวม ไส้สังขยา ไส้ครีม ไส้เผือก โดยไส้หมูแดง ใช้หมูเนื้อแดง 1.5 กก. ต้มให้นุ่ม ทุบให้แตกเป็นชิ้นเล็กๆ ผัดกับซอสพริก 1 ถ้วยตวง ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายแดง กระเทียม พริกไทย, ไส้ผักรวม ใช้กะหล่ำปลี กะหล่ำปลีม่วง แครอท ข้าวโพดอ่อน อย่างละ 500 กรัม ล้างน้ำ หั่นซอยเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผสมด้วยเห็ดหอมพอประมาณ โดยนำเห็ดไปแช่น้ำให้นุ่ม ต้มให้สุก และหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ การทำเป็นไส้ผักรวมก็นำผักทั้งหมดไปผัดน้ำมันพืช ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย ซอสปรุงรสเจ ซีอิ้ว ให้ได้รสชาติที่ต้องการ

ไส้ครีม ใช้ไข่แดง 10 ฟอง แป้งสาลี 300 กรัม ยีให้เข้ากัน และใส่นมสด 1 กระป๋อง น้ำตาลทราย 400 กรัม คนให้เข้ากัน นำไปกวนในเตาให้ข้นเข้ากัน, ไส้สังขยาใบเตย ใช้แป้งสาลี 500 กรัม นมข้น ฝ กระป๋อง นมสด 1 กระป๋อง น้ำตาลทราย 400 กรัม น้ำใบเตย 2 ช้อนโต๊ะ, ไส้โกโก้ ใช้แป้งสาลี 300 กรัม นมข้น ฝ กระป๋อง นมสด 1 กระป๋อง น้ำตาลทราย 400 กรัม และผงโกโก้ 1 ช้อนชา, ไส้เผือก ใช้เผือกนึ่ง 1 กก. กวนกับน้ำตาลทราย 500 กรัม กวนจนเข้ากัน (ไม่ใส่กะทิ)

วิธีปั้นเป็นซาลาเปา แบ่งแป้งออกเป็นลูก ๆ ละ 50 กรัม แผ่แป้งออกเป็นวงกลม ตักไส้ใส่ลงบนแป้งพอประมาณ จับแป้งคลุมปิดให้เรียบร้อย จีบรอบให้สวยงาม ส่วนเทคนิคทำแป้งที่มี 2 สี จะแบ่งแป้งขาวกับแป้งที่ผสมสีออกมาอย่างละ 25 กรัม วางติดกัน แผ่แป้งออกเป็นวงกลม ตักไส้ใส่ลงไปพอประมาณ จีบปิดให้เรียบร้อยสวยงาม

ปั้นหุ้มไส้เสร็จก็คลุมผ้าขาวบาง ประมาณ 15 นาที ถ้าอากาศร้อน ถ้าอากาศเย็นจะนานกว่านี้ เมื่อแป้งพองแล้วก็นำไปใส่รังถึงนึ่งให้สุก ใช้เวลาราว 15 นาที โดยราคาขายซาลาเปาคือใบละ 12 บาท ต้นทุนใบละประมาณ 7 บาทขึ้นไป

................................

สนใจ “ซาลาเปาสมุนไพร” ต้องการติดต่อ วัลย์ฤดี เรืองเดชสุวรรณ ติดต่อได้ที่ 92/1 หมู่ 10 ต.หนองยาง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา โทร.08-5275-0468 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกรูปแบบ “ช่องทางทำกิน” ที่ยังไปได้ดี.

................................

คู่มือลงทุน...ซาลาเปาสมุนไพร

ทุนอุปกรณ์ 5,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ 7 บาทขึ้นไป / ลูก

รายได้ ราคาลูกละ 12 บาท

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ตลาดนัด, แหล่งค้าขายทั่วไป

จุดน่าสนใจ สีสันจากสมุนไพรเป็นจุดขาย

http://www.dailynews.co.th/article/384/2542

Friday, December 9, 2011

แนะนำอาชีพ 'รับเพนท์ผนังบ้าน'

แนะนำอาชีพ 'รับเพนท์ผนังบ้าน'การตกแต่งผนังบ้านให้สวยงามมีอยู่หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทาสีสันตามที่ชอบ หรือใช้วิธีติดวอลเปเปอร์ที่มีลวดลายให้เลือกมากมายสร้างความสวยงามให้กับ ผนังบ้านได้เป็นอย่างดี แต่บางคนอยากได้ลวดลายผนังบ้านตามที่อยากได้ เป็นลายที่ไม่เหมือนใคร การ ’เพนท์ผนังบ้าน“ การเพนท์ลวดลายลงผนังบ้าน ก็เป็นอีกทางเลือกที่หลาย ๆ คนนิยมทำกัน อาชีพรับเพนท์ฝาผนังบ้านจึงเป็นอีกหนึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าสนใจ ซึ่งวันนี้ก็มีข้อมูลมานำเสนอ...

ศราวุธ แซ่ฉั่ว เป็นช่างเพนท์ภาพบนผนัง มีประสบการณ์ในการทำงานด้านนี้มายาวนาน เขาเป็นคนที่ชอบการวาดรูป ชอบออกแบบ และก็เรียนจบมาทางด้านตกแต่งภายใน จบจากเพาะช่าง หลังจากที่จบออกมาก็เข้าทำงานบริษัทรับออกแบบตกแต่งแห่งหนึ่งซึ่งตรงกับสาย งานที่เรียนมา โดยเจ้าตัวเล่าว่า ได้เข้าทำงานที่บริษัทออกแบบตกแต่ง แต่ทำอยู่ได้ประมาณ 2 เดือนก็เจอช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 บริษัทที่ทำงานอยู่ได้รับผลกระทบด้วย ทำให้ตัดสินใจลาออก

จากนั้นพยายามมองหางานใหม่ ก็ได้งานที่ท้าทายมาทำ คือการรับงานเพนท์เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่โรงงานแห่งหนึ่ง ที่เป็นของบริษัทต่างชาติ ส่งสินค้าพวกเฟอร์นิเจอร์เข้ามาเพนท์ในประเทศไทยโดยนำเข้ามาผ่านบริษัทของคน ไทย

“ช่วงนั้นยอมรับว่าได้รายได้ดีมาก แต่ก็ทำอยู่ได้ประมาณ 3 ปี บริษัทที่ผมทำอยู่ก็เริ่มมีปัญหากันภายใน จนในที่สุดก็ต้องปิดตัวลง ตอนนั้นผมว่าจะเรียนต่อ แต่ที่สุดก็ได้กลับไปทำงานบริษัทออกแบบตกแต่งอีกครั้ง”

เขาเล่าอีกว่า งานเพนท์เฟอร์นิเจอร์ ทำให้ได้ประสบการณ์การทำงานด้านเพนท์มาก เหมือนเป็นงานที่ทำให้เปลี่ยนวิถีเส้นทาง จากการที่เป็นคนชอบวาดภาพ ชอบออกแบบ และมีความรู้ในเรื่องการออกแบบในคอมพิวเตอร์ ซึ่งในช่วงที่ว่างจากงานประจำก็จะออกแบบลวดลายเฟอร์นิเจอร์แล้วเอาไปเสนอขาย ให้กับบริษัทที่ผลิตเฟอร์นิเจอร์ จากนั้นก็ต่อยอดจากการเพนท์เฟอร์นิเจอร์มาเป็นการ รับเพนท์ผนังบ้าน ซึ่งก็ไปได้ เพราะคนที่ทำทางด้านนี้ยังมีไม่มาก

ทำงานประจำไปด้วย ออกแบบลวดลายและรับเพนท์เฟอร์นิเจอร์ไปด้วย อยู่ประมาณ 3 ปี ก็ตัดสินใจออกจากงานประจำมารับเพนท์ผนังบ้าน ออกแบบลวดลายอย่างจริงจัง ซึ่งศราวุธบอกว่า ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีคนจ้างไปเพนท์ทุกวันหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจออกมาทำงานนี้ เพราะคิดว่าน่าจะไปได้ด้วยดี เพราะมีลูกค้าหันมาให้ความสนใจกันเยอะขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ตัดสินใจทำงานเพนท์ผนังบ้านอย่างจริงจัง ก็เริ่มจากการทำเว็บไซต์เพื่อใช้เป็นช่องทางการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า และเป็นหน้าร้านสำหรับโชว์ผลงานเพนท์เฟอร์นิเจอร์และผลงานเพนท์ผนังของตัว เอง

’การทำเว็บไซต์ถือว่าเป็นช่องทางที่ค่อนข้างได้ผลดี ทำให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้น“ ศราวุธกล่าว

ปัจจุบันงานเพนท์ผนังได้กลายเป็นงานหลักที่มีลูกค้าให้ความสนใจติดต่อสอบถาม ทุกวัน มีลูกค้าว่าจ้างใช้บริการมากขึ้น ซึ่งศราวุธบอกถึงการเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเพนท์ผนังว่า การเพนท์สีผนังนั้นสีที่ใช้จะใช้เป็นสีอะคริลิกที่มีคุณภาพเพราะหลังจากที่ ทำการเพนท์แล้วสีจะออกมาดูสวยสดใส และทำความสะอาดได้ง่ายเพียงใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดทำความสะอาดเท่านั้น หรือใครจะใช้สีทาบ้านทั่วไปทำการเพนท์ก็ได้ แต่ต้องเลือกเกรดที่ใกล้เคียงกับสีอะคริลิก และเรื่องความสดใสของสีก็จะสดลงมา ส่วนสีรองพื้นจะใช้เป็นสีทาบ้านเกรดใกล้เคียงกับสีอะคริลิกทารองพื้น

พู่กันและแปรงสำหรับลงสีหรือวาด ก็จะต้องมีหลากหลายเบอร์ ตั้งแต่เบอร์เล็กไปจนถึงเบอร์ใหญ่ นอกจากนั้นอาจจะต้องมีเครื่องปั๊มลมไว้สำหรับทำแอร์บรัชพ่นสีสำหรับพื้นที่ ที่กว้าง เพื่อช่วยเรื่องความสะดวกและรวดเร็วในการทำงานมากขึ้น เรื่องของกระดาษกาวที่ใช้ติดผนังบังส่วนที่ไม่ได้ทำงาน ป้องกันสีไปเปื้อนส่วนอื่น ก็จำเป็นต้องมี ก่อนติดกระดาษกาวจะต้องดูพื้นผนังก่อนว่าเป็นพื้นแบบไหน ถ้าเป็นพื้นที่ใช้กระดาษกาวติดแล้วเวลาดึงสีผนังไม่ลอกติดมาด้วยก็ใช้กระดาษ กาวทั่วไปติดได้ แต่ถ้าเป็นพื้นผนังที่ติดแล้วสีลอกตามมาด้วย จะต้องใช้กระดาษกาวอย่างดีและก่อนติดควรนำกระดาษกาวมาติดที่กางเกงเพื่อให้ ขนของกางเกงติดไปที่กระดาษกาวก่อน เป็นการลดความเหนียวของกระดาษกาว

สำหรับทุนในการซื้ออุปกรณ์เบื้องต้นก็อยู่ที่ประมาณไม่เกิน 10,000 บาท

การเพนท์ เมื่อได้รับว่าจ้างให้ไปเพนท์ผนัง อย่างแรกก็จะต้องไปดูสถานที่ ถ่ายรูปไว้ ถ้าเป็นพื้นที่ไม่เรียบก็จะบอกเจ้าของบ้านให้ปรับพื้นให้เรียบก่อน จากนั้นก็กลับมาออกแบบลวดลายหรือภาพลงในคอมพิวเตอร์ อาจจะออกแบบหลายแบบเพื่อให้ลูกค้าเลือก การออกแบบให้เข้ากับบรรยากาศหรือสไตล์ของบ้านเป็นสิ่งจำเป็น ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

เมื่อลูกค้าเลือกแบบแล้ว ก็พรินต์แบบเป็นภาพสีออกมาแล้วก็ไปเริ่มการเพนท์ โดยเริ่มจากทำความสะอาดผนังที่จะเพนท์ให้สะอาดโดยใช้ผ้าเช็ดฝุ่นละอองก่อน จากนั้นติดกระดาษป้องกันสีเปื้อนพื้นที่ที่ไม่ได้เพนท์ แล้วก็ทำการวาดเพนท์ตามแบบได้ทันที หลังจากที่วาดเพนท์ภาพเสร็จแล้วก็ทำความสะอาดบริเวณโดยรอบพื้นที่การทำงาน ให้เรียบร้อย

“การเพนท์ภาพนี้จำเป็นต้องใช้ความชำนาญและประสบการณ์ในการทำ หรือจะใช้วิธีการตัดทำแบบมาทาบแล้วลงสีก็ได้สำหรับผู้ที่ยังไม่ชำนาญในการ เพนท์แบบฟรีแฮนด์” ศราวุธกล่าว ซึ่งอัตราค่าจ้างในการเพนท์ผนังบ้านนั้นก็มีตั้งแต่ 4,000 บาทขึ้นไป โดยขึ้นอยู่กับรายละเอียดของภาพ รวมถึงรูปแบบของภาพ และพื้นที่ในการทำการเพนท์ด้วย

ศราวุธใช้เว็บไซต์ www.baanchangpaint.com เป็นหน้าร้านและเป็นช่องทางสื่อสารกับลูกค้า ส่วนเบอร์โทรศัพท์คือ 08-9446-1633 ซึ่งอาชีพรับ’เพนท์ผนังบ้าน“ นี่ก็เป็นอีกรูปแบบ ’ช่องทางทำกิน“ กลุ่มงานศิลป์ผนวกงานบริการที่น่าสนใจ โดยหลังผ่านยุคน้ำท่วมใหญ่ คนไทยมีการปรับปรุงบ้านกันมาก อาชีพนี้อาจจะยิ่งมีอนาคตสดใส.

http://www.dailynews.co.th/article/384/2401

Saturday, December 3, 2011

แนะนำอาชีพ 'หมี่กรอบสมุนไพร'

แนะนำอาชีพ 'หมี่กรอบสมุนไพร' การนำพืชผักสมุนไพรมาผสมผสานพลิกแพลงกับสูตรอาหาร ทำให้อาหารเกิดคุณค่าที่มีประโยชน์กับร่างกายมากขึ้น ทำให้เกิดสูตรอาหารใหม่ ๆ ที่อร่อยได้อย่างลงตัว และในปัจจุบันในยุคที่อาชีพขายอาหารมีคู่แข่งมาก อาหารประเภทที่มีสมุนไพรก็ถือเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่สามารถดึงเงินลูกค้าได้ดี อย่าง “หมี่กรอบสูตรสมุนไพร” นี่ก็ใช่...

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรปากน้ำโจ้โล้ ที่มีประธานกลุ่มคือ ทองพูล ศรีวรนันท์ เล่าให้ฟังว่า ได้จัดตั้งกลุ่มแม่บ้านมาตั้งแต่ปี 2545 วัตถุประสงค์เพื่อให้แม่บ้านหารายได้เสริมมาช่วยเหลือครอบครัว โดยเริ่มแรกก็ช่วยกันมองหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงในท้องถิ่น มาผสมผสานกับภูมิปัญญาชาวบ้านที่ได้รับการถ่ายทอดมา เพื่อการผลิตสินค้า

“วัตถุดิบที่มีคุณภาพของท้องถิ่นเราก็จะมี มะขาม มะม่วง และสมุนไพรต่าง ๆ ก็นำมาแปรรูปทำเป็นมะขามคลุก มะขามแก้ว มะม่วงกวน ส่งออกขายในท้องถิ่นเพื่อเป็นรายได้เสริม แต่ปัญหาอยู่ที่มะม่วงกวนจะมีเป็นบางฤดู ไม่ได้มีตลอดปี ทางกลุ่มจึงคิดว่าควรหาผลิตภัณฑ์หรือช่องทางอื่นมาช่วย แล้วก็มาเลือก หมี่กรอบสูตรสมุนไพร ที่เป็นของทานเล่น ทานกันได้ทั้งเด็กผู้ใหญ่ มีอายุการเก็บได้นาน และที่สำคัญคือในพื้นที่มีโรงงานผลิตเส้นหมี่ ประกอบกับมีการผลิตน้ำตาลโตนดที่มีคุณภาพดี กลิ่นหอม มีรสชาติอร่อย จึงนำมาเป็นส่วนผสมในการปรุงรสด้วย”

ทองพูลบอกอีกว่า เพราะความอร่อยของหมี่กรอบสูตรสมุนไพร จึงมีการพูดกันปากต่อปาก ซึ่งทางกลุ่มได้มีการพัฒนารสชาติเพื่อความแปลกใหม่ เช่น สูตรมันกุ้ง จนได้รับคัดเลือกให้เป็นสินค้าโอทอประดับ 5 ดาว

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำหมี่กรอบสูตรสมุนไพร หลัก ๆ ก็มี... เตาแก๊ส, กระทะขนาดใหญ่, ตะแกรง, ตะหลิว, กะละมังขนาดใหญ่, ทัพพีไม้, เครื่องปั่น, ผ้าขาวบาง, หม้อสเตนเลส และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่หยิบฉวยได้จากในครัว

วัตถุดิบหลัก ๆ ในการทำหมี่กรอบสมุนไพร ก็มี... เส้นหมี่ขาว, เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด, ใบมะกรูดทอด, พริกแห้งทอด และส่วนผสมของน้ำปรุงรสหรือน้ำคลุกเส้นหมี่ ก็มี... น้ำมะนาว, น้ำมะขามเปียก, ซอสปรุงรส, น้ำตาลโตนด, น้ำปลา, เกลือ และกระเทียมเจียว ขั้นตอนการทำ “หมี่กรอบสูตรสมุนไพร” เริ่มจากการทำน้ำคลุกหรือน้ำปรุงรสเส้นหมี่กรอบ ซึ่งต้องทำเตรียมเอาไว้เป็นอันดับแรก สามารถทำเตรียมได้คราวละมาก ๆ เพราะเก็บไว้ได้หลายวัน โดยนำน้ำตาลโตนดและน้ำมะขามเปียกใส่ลงไปในกระทะ แล้วยกขึ้นตั้งไฟ ใช้ความร้อนปานกลาง คนส่วนผสมให้เข้ากัน

พอเดือดปรุงรสด้วยน้ำปลา ซอสปรุงรส เกลืออีกเล็กน้อย น้ำมะนาว และใส่กระเทียมเจียวตามลงไป ชิมให้ได้ 3 รสตามชอบ ทำการเคี่ยวต่อไปเรื่อย ๆ จังหวะนี้ต้องหมั่นคนไปเรื่อย ๆ อย่าหยุดมือเพราะอาจไหม้ได้ เมื่อน้ำคลุกเส้นหมี่เหนียวเป็นตังเมก็เป็นอันใช้ได้ ยกลงตั้งพักไว้

ต่อไปเป็นขั้นตอนการทำหมี่กรอบ โดยการตั้งกระทะ เทน้ำมันให้ท่วม ใช้ไฟแรง พอน้ำมันร้อนจัด ๆ ค่อย ๆ ใส่เส้นหมี่ลงไปทอด ให้ทอดทีละพับ ไม่ต้องทอดนาน พลิกหน้าพลิกหลัง พอเส้นหมี่เหลืองกรอบก็ตักขึ้นพักไว้ในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน

ลำดับถัดมาก็เป็นการคลุกเส้นหมี่กรอบ โดยนำเส้นหมี่ที่ทอดเตรียมไว้ใส่ลงในภาชนะขนาดใหญ่ แล้วค่อย ๆ เทน้ำคลุกเส้นหมี่ราดลงบนเส้นหมี่ ช่วงการคลุกเคล้าต้องใช้ความรวดเร็ว คลุกไปเรื่อย ๆ จนกว่าเส้นหมี่และน้ำคลุกจะเข้ากันดี และต้องคลุกตอนที่ยังร้อนอยู่ เพราะถ้าเย็น หรือคลุกไม่เร็ว เส้นหมี่จะจับตัวเป็นก้อนทันที

เสร็จแล้วก็นำหมี่กรอบบรรจุใส่กล่องพลาสติก โรยหน้าด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด ใบมะกรูดทอด และพริกแห้งทอด โดยทางกลุ่มแม่บ้านตั้งราคาขายกล่องละ 35 บาท

“หมี่กรอบสูตรสมุนไพร” ของกลุ่มแม่บ้านเกษตรปากน้ำโจ้โล้นี้ ใครสนใจสั่งซื้อติดต่อคุณทองพูลได้ที่ โทร.0-3859-5662, 08-1862-8455 และมีขายที่ตลาดน้ำบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา และที่ร้านบุญมี ถนนฉะเชิงเทรา-บางปะกง ต.บางกรูด อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ติดต่อคุณบุญมี โทร.0-3813-3174, 08-1928-8216.

http://www.dailynews.co.th/article/384/1530

แนะนำอาชีพ 'หูฟังถัก'

แนะนำอาชีพ 'หูฟังถัก'มหาอุทกภัยเริ่มคลี่คลายในหลายพื้นที่ แต่ถ้าใครยังเผชิญความลำบากอยู่ ทีม ’ช่องทางทำกิน“ ขอส่งใจช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคครั้งนี้ไปได้เร็ว ๆ ส่วนวันนี้ ณ ที่นี้ก็มีข้อมูลงานไอเดียงานฝีมือมานำเสนอ เป็นงานไม่ยาก รายละเอียดไม่ซ้ำซ้อน แต่ทำขายสร้างรายได้อย่างไม่น่าเชื่อ กับงาน “หูฟังถัก” ที่ก็น่าสนใจ...

“นิภาพรรณ อันสุวรรณ์ชัย” ซึ่งทำงานประดิษฐ์ “หูฟังถัก” เล่าว่า ตนเองชอบและหลงใหลงานประดิษฐ์ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับถักและประดิษฐ์จากผ้า ทำให้มีความชำนาญเกี่ยวกับงานประเภทนี้เป็นพิเศษ สำหรับไอเดียงานหูฟังถักนี้เริ่มจากตัวเองเป็นคนชอบฟังเพลง ซึ่งหูฟังที่ใช้ประจำมีราคาแพง และมักมีปัญหาจากการใช้งาน เช่น ข้อต่อขาดจากการพับหรือม้วน, สายสกปรกง่าย จึงลองนำงานถักมาปรับใช้ โดยเริ่มทำจากหูฟังของตนเองที่มีอยู่ โดยมีทั้งการถักที่สายหูฟัง และการถักในส่วนที่เป็นที่ครอบหูฟัง หลังทำเสร็จปรากฏว่ามีคนรู้จักเห็นเข้าและสอบถามว่าซื้อมาจากที่ไหน ตนจึงคิดว่าน่าจะสามารถผลิตและต่อยอดเพื่อผลิตเป็นสินค้าจำหน่ายได้ จึงทำออกมา โดยอาศัยจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ http://i-ears.tarad.com และในเฟซบุ๊ก www.facebook.com/iears2011 ก็ปรากฏว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดี

ข้อดีของหูฟังถัก นิภาพรรณบอกว่า จะช่วยทำให้สายหูฟังดูใหม่เสมอ การถักหุ้มสายหูฟังทำให้สายหูฟังไม่โดนความสกปรกจากคราบมือ หรือมีสิ่งสกปรกต่าง ๆ มาติด ยิ่งสายหูฟังสีขาวด้วยแล้ว ยิ่งเห็นชัดได้ง่ายว่าสีหม่น เมื่อเก่าหรือสกปรก นอกจากนี้งานถักยังช่วยป้องกันและเพิ่มความแข็งแรงสายขั้วต่อต่าง ๆ ช่วยให้แข็งแรงมากขึ้นและใช้งานได้นานขึ้น เนื่องจากเมื่อใช้งานไปนาน ๆ บริเวณข้อต่อของหูฟัง เช่น บริเวณที่สวมหู และบริเวณแจ๊กเสียบ มักจะหลุดหักและขาดบ่อยจากการใช้งาน กับการพับงอขณะเก็บหูฟัง ซึ่งการถักหุ้มหูฟังจะช่วยคลุมสายส่วนขั้วต่อ ทำให้ลดความเสี่ยงความเสียหายที่เกิดจากการถูกทับ หรือใส่กระเป๋าโดยไม่ระมัดระวัง

“สินค้าจะเน้นที่ประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ขณะเดียวกันเราก็เพิ่มลูกเล่นและสีสันเข้าไปเพื่อให้สินค้าดูแปลกตา สร้างความน่าสนใจให้หูฟังมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันชิ้นงานมีทั้งที่ทำสำเร็จรูป โดยเราซื้อหูฟังนำมาถักเอง กับอีกแบบคือลูกค้าจะส่งหูฟังของลูกค้ามาให้เราถัก หรือในอนาคตที่คิดไว้คือลูกค้าสามารถสั่งรุ่นและยี่ห้อของหูฟังที่ต้องการ โดยทางเราจะเป็นฝ่ายจัดซื้อให้และนำมาถักแบบสำเร็จรูป” นิภาพรรณกล่าว

สำหรับทุนเบื้องต้นการทำชิ้นงานรูปแบบนี้ ใช้เงินลงทุนประมาณ 6,000 บาท ส่วนทุนวัสดุอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคา ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 150-300 บาทต่อการถักหูฟัง 1 ชุด หรือขึ้นอยู่กับขนาดและความยากง่ายของชิ้นงาน

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ก็มีไม่มากชิ้น หลัก ๆ ประกอบด้วย ด้ายซัมเมอร์ (คุณสมบัติคือ เส้นเล็ก เหนียว ไม่มีขนเหมือนไหมพรม), กรรไกร, เข็มถักโครเชต์หลายขนาด, เข็มปลายทู่ (ห้ามใช้เข็มปลายแหลมเพราะอาจทำอันตรายและสร้างความเสียหายกับสายหูฟังได้) และอุปกรณ์ตกแต่งอื่น ๆ ตามต้องการ

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการออกแบบและวางรูปแบบลวดลายที่จะถัก และเลือกสีด้ายที่ต้องการใช้ จากนั้นเริ่มทำการถัก โดยอาจจะเริ่มถักจากหูฟังก่อน หรือถักจากส่วนที่เป็นข้อต่อก่อนก็ได้ รูปแบบการถักเรียกว่า ถักแบบเก็บปลายด้าย โดยจะไม่มีการมัดด้ายเป็นปม เพราะปมของด้ายอาจจะไปเบียดสายหูฟังทำให้เกิดความเสียหายได้

เมื่อขึ้นรูปแบบได้แล้ว ก็ให้ถักต่อไปเรื่อย ๆ จนครบความยาวของสายหูฟัง หากเป็นการถักแบบสีเดียวก็จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นการถักสลับสี ระยะเวลาที่ใช้ก็อาจจะเพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับจำนวนของสีที่ใช้นั่นเอง

“งานหูฟังถักมีขั้นตอนการทำไม่ยาก แต่ต้องใช้เวลาและต้องใช้ความระมัดระวังในการขึ้นชิ้นงาน เพราะหูฟังที่ลูกค้าส่วนใหญ่นำมาให้ถักมักจะเป็นหูฟังที่มีราคาแพง ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งจำเป็นมากว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเชื่อใจว่าหูฟัง ของเขาจะไม่เกิดความเสียหายในขั้นตอนการถัก” นิภาพรรณระบุ

ใครสนใจ ’หูฟังถัก“ ต้องการติดต่อนิภาพรรณ ติดต่อได้ที่ โทร. 08-0552-2759 หรือตามเว็บไซต์ข้างต้น ซึ่งนี่ก็เป็นอีกงานไอเดียชิ้นเล็ก ๆ ที่รายได้ไม่เล็ก เป็นอีกรูปแบบ “ช่องทางทำกิน” ที่ใช้เวลาในการทำไม่มาก ขั้นตอนการทำไม่ยากเกิน ไม่มีอุปกรณ์มากมายซับซ้อน ที่นำมาบอกเล่าไว้ให้ลองพิจารณากัน.
http://www.dailynews.co.th/article/384/1442

Saturday, November 26, 2011

แนะนำอาชีพ ‘เดคูพาจ’

แนะนำอาชีพ ‘เดคูพาจ’งานผนึกรูปบนพื้นผิววัตถุ-วัสดุ หรือ “เดคูพาจ” ซึ่งได้รับความนิยมในไทยมาได้ระยะหนึ่ง จนวันนี้ก็ยังสามารถสร้างงาน-สร้างเงินได้อยู่ และก็สามารถพลิกแพลงทำเงินได้จากหลากหลายวัสดุ โดยวันนี้ทางทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำกินในลักษณะนี้มาบอกต่อกันอีกรูปแบบหนึ่ง โดยรูปแบบนี้ก็มีกระดาษ “ทิซชู” เป็นองค์ประกอบสำคัญ...

ผึ้ง-ปวีณา เอิบโชคชัย วัย 24 ปี วิทยากรประจำบีเบลล์แอนด์ลามอนเทจช็อป เป็นอีกหนึ่งผู้สันทัดกรณีงานผนึกกระดาษทิซชูลงบนซองใส่โทรศัพท์มือถือ หรือ แนพกิ้นเดคูพาจ โดยสร้างลายลงกระดาษทิซชูเอง เจ้าตัวเล่าว่า สนใจงานศิลปะมาตั้งแต่หลังเรียนจบ และหาที่เรียนวิชาด้านนี้ยามว่าง ก็เห็นว่าลายกระดาษทิซชูที่ใช้ทำงานแบบนี้นั้นส่วนมากจะเป็นลายกระดาษที่นำ เข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก จึงอยากจะสร้างลายกระดาษทิซชูเอง ด้วยความที่เรียนจบมาทางด้านวารสาร ศาสตร์ และทำงานด้านนิตยสาร จึงพอจะมีความรู้เกี่ยวกับการพรินต์ภาพด้วยคอมพิวเตอร์ จึงทดลองพิมพ์รูปบนกระดาษทิซชูดู แล้วใช้เทคนิคเดคูพาจผนึกบน ซองพลาสติกพีวีซีใส่โทรศัพท์มือถือ ซึ่งก็ได้ผลดี จึงทดลองทำออกขาย จนทุกวันนี้บอกได้ว่ารู้สึกสนุกกับการประดิษฐ์และการสอนเทคนิคนี้ และหันมายึดเป็นอาชีพหลักไปแล้ว

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำแนพกิ้นเดคูพาจ หลัก ๆ ก็มี พรินเตอร์สี (ใช้หมึกกันน้ำ) ราคาประมาณ 2,500 บาท, เตารีด, ไดร์เป่าผม, กรรไกรเล็ก, ฟองน้ำ, พู่กันเล็ก, แปรงทากาวทาเคลือบ ส่วนวัสดุก็มี กระดาษทิซชูสีขาว ขนาด 6x8 นิ้ว 1 แผ่น, กระดาษขนาด A4, กระดาษกาว, กาวเดคูพาจ, น้ำยาเคลือบเดคูพาจ และซองพลาสติกพีวีซีสีขาว ขนาด 3.5x6 นิ้ว หรือวัสดุอื่น ๆ ตามแต่ต้องการจะทำ

วิธีทำเดคูพาจ สร้างลายกระดาษทิซชูโดยการใช้ไฟล์รูปจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจเป็นรูปที่ตนเองชอบ ดาราคนโปรด รูปเพื่อน ฯลฯ วางไฟล์ภาพลงโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ด โดยแปะภาพลงบนกึ่งกลางของหน้า ปรับรูปให้ได้ขนาด 3.5x6 นิ้ว จากนั้นรีดทิซชูให้เรียบด้วยเตารีด โดยใช้ไฟปานกลาง ถ้าไม่รีดให้เรียบเวลาที่พรินต์ออกมาลายกระดาษจะย่น แต่ก็อย่ารีดจนไหม้หรือเหลืองเด็ดขาด รีดทิซชูแล้วก็วางกระดาษทิซชูลงบนกระดาษ A4 แปะขอบด้วยกระดาษกาว

จากนั้นใส่เข้าเครื่องพรินเตอร์ พรินต์รูปออกมา เท่านี้ก็พร้อมใช้งาน ซึ่งซองพีวีซี 1 ซองจะใช้ลายกระดาษทิซชู 2 ชิ้น การทำก็ทากาวเดคูพาจ ลงบนซองพลาสติกพีวีซีให้ทั่ว โดยทำทีละด้าน เสร็จแล้วเป่าให้กาวแห้ง แปะกระดาษทิซชูลงบนซองด้านใดด้านหนึ่ง ใช้ฟองน้ำชุบน้ำพอหมาดกดฟองน้ำตรงกึ่งกลางกระดาษเพื่อให้กระดาษทิซชูติดกับ ซองพีวีซี จากนั้นไล่กดจากบริเวณตรงกลางขึ้นไปด้านบนและด้านล่างของซอง เสร็จแล้วใช้ไดร์เป่าผมเป่าให้แห้ง ถ้าเป่ากาวไม่แห้ง เมื่อนำไปทาน้ำยาเคลือบ กระดาษทิซชูจะเหลืองได้ เก็บริมซองโดยการใช้กรรไกรตัดให้เหลือขอบเล็กน้อย ใช้พู่กันเล็กทากาวเดคูพาจเก็บขอบให้เรียบร้อย จากนั้นจึงทำอีกด้านหนึ่งของซองด้วยวิธีการเดียวกัน

เสร็จแล้วก็เคลือบลายกระดาษทิซชูด้วยน้ำยาเคลือบเดคูพาจ โดยการทารอบแรกให้ทาน้ำยาบาง ๆ เป่าให้แห้ง จากนั้นจึงทาน้ำยาเคลือบอีกรอบ โดยทาน้ำยาให้มากขึ้นอีกหน่อย เป่าให้แห้ง บรรจุใส่กล่องหรือซอง เท่านี้ก็เสร็จขั้นตอน

งานสำเร็จรูปเดคูพาจลักษณะนี้ สามารถตั้งราคาขายในราคาชิ้นละ 199-250 บาท โดยต้นทุนเฉลี่ยไม่เกิน 100 บาท

งานผนึกกระดาษทิซชูบนพื้นผิววัตถุหรือ แนพกิ้นเดคูพาจนี้ นอกจากซองพลาสติกพีวีซีสำหรับใส่โทรศัพท์มือถือแล้ว ยังสามารถทำได้กับของใช้หลากหลาย อาทิ กระเป๋าถือ กระเป๋าสตางค์ เครื่องสาน แก้ว ผ้า สังกะสี ฯลฯ เพื่อตกแต่งให้ดูสวยงาม และเพิ่มมูลค่าสิ่งของด้วยลวดลาย ซึ่งเราสามารถจะทำลวดลายบนกระดาษทิซชูได้เอง

ใครสนใจงาน แนพกิ้นเดคูพาจ และวิธีการสร้างลวดลายกระดาษทิซชูด้วยตัวเอง ก็ลองไปฝึกฝนทำกันดู ส่วนถ้าใครต้องการติดต่อ ผึ้ง-ปวีณา เอิบโชคชัย ก็ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-4426-2424 หรือเข้าไปดูผลงานของเธอได้ที่ www.facebook.com/ilovebebelleshop ซึ่งงานเดคูพาจนั้น ถึงวันนี้ก็ยังเป็นอีกหนึ่งงานอาร์ต ๆ ที่น่าสนใจ.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=178116

แนะนำอาชีพ ‘ขนมฝรั่งกุฎีจีน’

แนะนำอาชีพ ‘ขนมฝรั่งกุฎีจีน’เป็นของว่างทานเล่น ซึ่งเข้ามาในไทยโดยชาวตะวันตกที่มาอยู่ที่ริมน้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี เป็นขนมที่คนไทยรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีการทำสืบต่อกันมาเรื่อย ๆ ปัจจุบันขนมกุฎีจีนยังมีการทำอยู่ที่ชุมชนกุฎีจีน เอกลักษณ์ของขนมชนิดนี้อยู่ที่เป็นขนมลูกผสมระหว่างจีนกับฝรั่ง ตัวขนมเป็นตำรับแบบโปรตุเกส ขณะที่หน้าขนมเป็นแบบจีน โรยด้วยฟักเชื่อม ลูกพลับอบแห้ง ลูกเกด ซึ่งชาวจีนเชื่อว่ารับประทานแล้วจะร่มเย็น แถมมีคุณค่าทางอาหาร ส่วนน้ำตาลทรายทานแล้วจะมั่งคั่งไม่รู้จบเหมือนน้ำตาลที่นับเม็ดได้ไม่ถ้วน วันนี้ทางทีม “ช่องทางทำกิน” นำเรื่องราวการทำขนมอบโบราณที่ตกทอดภูมิปัญญามากว่า 200 ปี มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...

โป้ง-ภาคภูมิ สุจิตจูล ซึ่งสืบทอดการทำขนมฝรั่งกุฎีจีนเป็นรุ่นที่ 5 เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมขนมฝรั่งกุฎีจีนไม่ได้ทำเพื่อค้าขายทั่วไป จะทำกันเฉพาะตอนมีงาน สำหรับใช้รับประทานกับน้ำชากาแฟระหว่างที่คนมาเข้าโบสถ์ในวันคริสต์มาสหรือ วันเทศกาลต่าง ๆ ทำแจกในช่วงเทศกาล แต่เมื่อมีความต้องการเพิ่มมากขึ้น ก็เลยต้องทำเพื่อค้าขาย และจากอันเล็ก ๆ ลักษณะคล้ายขนมไข่ ก็มีการพัฒนาปรับให้เข้ากับความต้องการของคนกิน ด้วยการแต่งหน้าด้วยผลไม้อบแห้ง

“การทำขนมฝรั่งกุฎีจีน ต้องอาศัยความชำนาญและความเอาใจใส่เป็นพิเศษ แม้แต่เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ก็ยังเป็นของเก่าดั้งเดิม บางส่วนที่ชำรุดก็นำมาดัดแปลงประยุกต์ใช้เพื่อความสะดวก อย่างเตาอบที่ใช้ก็เป็นแบบโบราณ ต้องอาศัยความชำนาญในการควบคุมความร้อน หน้าตาขนมจะกระเดียดทางขนมเค้ก แต่ด้วยสูตรพิเศษที่สืบทอดมาแต่โบราณ จะใช้เพียงไข่ แป้งสาลี และน้ำตาลทรายเท่านั้น จะไม่มีส่วนผสมของเนย นม ยีสต์ ผงฟู สารกันบูด เมื่อผ่านการอบด้วยอุณหภูมิความร้อนที่พอเหมาะ จะได้ขนมที่ออกมากรอบนอก นุ่มแน่นในพอดิบพอดี”

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำหลัก ๆ ก็มี เครื่องตีไข่, เตาอบขนมประดิษฐ์เอง, กรรไกร, อ่างผสม, ไม้พาย ทั้งแบบเป็นไม้และพลาสติก, พิมพ์ทองเหลืองทำเอง, กระด้ง, คีมสำหรับคีบ, กะละมัง, ทัพพี, ไม้ปั่นน้ำมันทำเอง, ตั่งเคาะขนม

ส่วนผสมหลัก ๆ มีเพียง 3 อย่างเท่านั้นคือ แป้งสาลี ไข่เป็ด และน้ำตาลทราย

ขั้นตอนการทำ “ขนมฝรั่งกุฎีจีน” เริ่มจากการนำแป้งสาลีมาทำการร่อน 3 ครั้ง เพื่อให้แป้งเบาตัว พักเตรียมไว้ในภาชนะ จากนั้นนำไข่เป็ดที่เตรียมไว้มาตอกใส่กะละมัง แล้วจึงเทลงไปในอ่างผสม ตามด้วยน้ำตาลทราย ใช้เครื่องตีไข่ตีจนขึ้นฟูเป็นครีมสีขาวเนียนละเอียดหรือจนฟองตั้งยอดอ่อน

เมื่อตีไข่กับน้ำตาลได้ที่ดีแล้ว ก็เทใส่ภาชนะปากกว้าง นำแป้งสาลีที่เตรียมไว้ค่อย ๆ ผสมลงไปทีละน้อย แล้วคนให้เข้ากัน ค่อย ๆ ใส่แป้งลงไปทีละน้อย ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนหมดแป้ง การทำเช่นนี้จะทำให้เนื้อแป้งไม่แน่นเกินไป

ใส่แป้งหมดแล้วก็ตั้งทิ้งไว้สักครู่ ระหว่างนั้นก็ทำการเตรียมผลไม้ที่ใช้โรยหน้า ใช้กรรไกรตัดฟักเชื่อม ลูกเกด และลูกพลับอบแห้ง เป็นชิ้นเล็ก ๆ เสร็จแล้วก็วอร์มเตาอบให้ร้อน ก่อนจะนำพิมพ์ขนมที่เตรียมไว้วางเรียงให้เต็ม แล้วใช้ไม้ปั่นน้ำมันพืชลงในพิมพ์ให้ทั่ว พอพิมพ์ขนมร้อน ก็ทำการหยอดแป้งที่พักไว้ให้เต็มเบ้าพิมพ์พอแป้งตึงให้รีบโรยหน้าด้วยผลไม้ อบแห้งที่เตรียมไว้ ตบท้ายด้วยการโรยน้ำตาลทรายบาง ๆ อย่างรวดเร็ว เพราะหากช้าผลไม้อบแห้งและน้ำตาลจะจมลงไปในแป้ง ไม่จับหน้าขนม เสร็จแล้วทำการอบขนมประมาณ 15 นาที จึงนำออกมาเคาะขนมออกจากพิมพ์ ตั้งพักไว้ให้คลายร้อน ก่อนจะบรรจุใส่ถุงขายได้เลย

เอกลักษณ์ของขนมฝรั่งกุฎีจีนคือข้างนอกผิวจะสีน้ำตาลเกรียมน่ารับประทาน กลิ่นหอม กรอบนอก เนื้อในฟูนุ่มอร่อยลิ้น สามารถเก็บไว้ได้ประมาณ 2 สัปดาห์

ราคาขายขนมกุฎีจีน มี 2 ขนาด คือชุดชิ้นใหญ่-ชิ้นเล็ก ชุดชิ้นเล็กมี 4 ชิ้น ราคาถุงละ 35 บาท ส่วนชิ้นใหญ่ขายราคาชิ้นละ 25 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 60% ของราคาขาย

ใครสนใจต้องการไปเยี่ยมชมการผลิต และลองลิ้มชิมรส “ขนมฝรั่งกุฎีจีน” ขนมโบราณซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น หรือต้องการสั่งซื้อ ก็ติดต่อได้ที่ บ้านขนมฝรั่งกุฎีจีน เลขที่ 235 หมู่ที่ 1 ซอยกุฎีจีน 7 ถนนเทศบาลสาย 1 แขวงวัดกัลป์ยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ 10600 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณโป้ง โทร.0-2465-5882 และ 08-6886-3368.


แนะนำอาชีพ ‘ขนมฝรั่งกุฎีจีน’ ทีมา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=177959

Friday, November 18, 2011

แนะนำอาชีพ 'ทำความสะอาดหลังน้ำท่วม'

แนะนำอาชีพ 'ทำความสะอาดหลังน้ำท่วม' จากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้น มีอาคารบ้านเรือนถูกน้ำท่วมจำนวนมาก ซึ่งเมื่อน้ำลดแล้วในเมืองไทย ก็จะมีการซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนกันขนานใหญ่ เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นแบงก์ชาติประเมินว่าเม็ดเงินในการซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนน่าจะสูงถึง 1 แสนล้านบาท โดยแต่ละครัวเรือนจะใช้งบซ่อมแซมบ้านเฉลี่ยหลังละ 5 หมื่นถึง 1 แสนบาท ซึ่งนี่ก็เป็น ’โอกาสจากวิกฤติน้ำท่วม“ ของบรรดาช่างต่าง ๆ อย่างที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ เคยชี้ช่องไว้เมื่อเสาร์ที่แล้ว

ขณะที่การ ’รับทำความสะอาด“ ก็เป็นช่องทางทำกินได้...

ทั้งนี้ จากสถานการณ์น้ำท่วม ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับการทำความสะอาดอาคารบ้านเรือน อุปกรณ์ในบ้าน เผยแพร่ทางสังคมออนไลน์ไม่น้อยเลย ซึ่งก็เป็นประโยชน์ต่อเจ้าของอาคารบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วม ขณะเดียวกันก็สามารถจะเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ “สร้างอาชีพ-ทำเงิน” ได้ อย่างไรก็ตาม ณ ที่นี้ก็ขอเน้นว่าไม่ควรมีการหากินแบบหน้าเลือด โก่งราคา ควรคิดค่าบริการแค่พอเหมาะพอสม ช่วย ๆ กันไปสำหรับเจ้าของอาคารบ้านเรือนที่มีงบน้อย หรือไม่มีกำลังจะทำเอง เป็นดีที่สุด

กับข้อมูลเรื่องการทำความสะอาดอาคารบ้านเรือนหลังน้ำท่วมที่มีอยู่ในสังคมออนไลน์นั้น ก็ยกตัวอย่างเช่น...

การขจัดความชื้นในอาคารบ้านเรือนหลังน้ำท่วม ซึ่งว่ากันว่าคือหัวใจหลักของการซ่อมแซม-การดูแลอาคารบ้านเรือนหลังน้ำท่วม โดยต้องขจัดความชื้นของบ้าน ส่วนประกอบต่าง ๆ ของบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ โดยเร็ว มิฉะนั้นจะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค-เชื้อรา ซึ่งวิธีการขจัดความชื้นคือ เปิดหน้าต่าง เปิดประตู เพื่อระบายถ่ายเทอากาศให้ได้มากที่สุด อุปกรณ์ใดในบ้านที่เปียกถ้าเปิดได้ก็ให้เปิดเพื่อระบายความชื้น ถ้าอาคารบ้านเรือนมีเครื่องปรับอากาศ มีพัดลม ก็ให้เปิดเพื่อช่วยระบายความชื้น ในบางจุดก็อาจหาสารดูดความชื้นแบบที่มีมาในบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์หลายอย่าง มาใช้เพื่อช่วยขจัดความชื้น หรืออาจใช้ไดร์เป่าผมเป่าตามจุด หรืออุปกรณ์ในบ้าน ที่ต้องการให้แห้ง ให้หมดความชื้นอย่างรวดเร็ว

ถ้าต้องการจะ ขจัดเชื้อโรคหรือเชื้อราหลังน้ำท่วมอาคารบ้านเรือน สำหรับพื้นบ้าน ผนังบ้าน หรืออุปกรณ์ในบ้านหลาย ๆ อย่าง ใช้น้ำยาที่ใช้ล้างบ้าน ใช้ล้างผนังห้องน้ำ (bleach) ได้ ก็จะช่วยขจัดเชื้อโรคเชื้อราที่ฝังตัวออกได้

การทำความสะอาดพรมในอาคารบ้านเรือนหลังน้ำท่วม กรณีอาคารบ้านเรือนมีพรมและถูกน้ำท่วม การทำความสะอาดก็เริ่มจากใช้สายยางต่อก๊อกน้ำทำการฉีดน้ำแรง ๆ ให้สิ่งติดค้าง สิ่งสกปรกต่าง ๆ หลุดออก จากนั้นก็รีดน้ำที่ขังอยู่กับพรมออก โดยใช้อุปกรณ์หรืออะไรก็ได้ที่สามารถใช้กดรีดได้ หรือไล่น้ำออกจาก
พรมโดยการม้วนบีบ แต่อย่าบีบแรงเกินไปมิฉะนั้นเนื้อพรมจะรวน และเมื่อไล่น้ำเรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปก็ใช้แชมพูสระผมสูตรอ่อน ๆ อย่างแชมพูสระผมสำหรับเด็กมาช่วยทำความสะอาดพรม แล้วใช้น้ำสะอาดล้างออกให้หมด จากนั้นก็นำพรมไปผึ่งแดดให้แห้ง เป็นอันเสร็จ

นอกจากที่ว่ามาข้างต้นแล้ว ใน http://www.decorre port.com/ ก็มีข้อมูลคำแนะนำเรื่อง การกำจัดตะไคร่น้ำและเชื้อราบริเวณ นอกบ้านหลังน้ำท่วม โดยขั้นตอนก็มีดังนี้คือ... 1. ใช้สเปรย์น้ำยาฆ่าเชื้อราและตะไคร่น้ำฉีดบนพื้นผิวที่ต้องการทำความสะอาด, 2. กรณี คราบสกปรกยังคงอยู่หรือเป็นคราบที่ฝังแน่น ให้ฉีดสเปรย์น้ำยาซ้ำอีกครั้ง จากนั้นใช้แปรงขนแข็งมาขัด แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด, 3. เมื่อพื้นผิวแห้งสนิทดีแล้ว ใช้น้ำยาป้องกันตะไคร่น้ำมาทำการเคลือบพื้นผิว ด้วยแปรงหรือลูกกลิ้ง โดยไม่ต้องผสมน้ำ 4. กรณีพื้นทางเดิน พื้นบริเวณนอกบ้าน มีคราบน้ำมัน หรือมีคราบจาระบีฝังแน่นอยู่ ให้ใช้น้ำยาขจัดคราบน้ำมันผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 5 เทลงในจุดที่ต้องการทำความสะอาด จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที น้ำยาจะทำปฏิกิริยากับคราบสกปรก โดยคราบน้ำมันจะค่อย ๆ ลอยขึ้นมาให้เห็น ก็ได้เวลาใช้แปรงขัด แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง

ทั้งนี้ ที่ว่ามาก็เป็นตัวอย่างวิธี ’ทำความสะอาดอาคารบ้านเรือน“ หลังน้ำท่วม ซึ่งใครที่ว่างงาน ไม่มีอาชีพ จะตั้งแต่ก่อนน้ำท่วม หรือเพราะน้ำท่วมก็ตามแต่ อาจสามารถเรียนรู้ไว้ใช้เพื่อ “สร้างงานสร้างเงินหลังน้ำท่วม” ได้
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=176800

แนะนำอาชีพ 'ทำความสะอาดหลังน้ำท่วม' นี่ก็เป็นหนึ่งใน ’โอกาสจากวิกฤติน้ำท่วม“ นะ!!.

Sunday, November 13, 2011

แนะนำอาชีพ “โอปอล ค็อกเทล”

แนะนำอาชีพ “โอปอล ค็อกเทล” สูตรเครื่องดื่ม แก้เครียดน้ำท่วม จาก เดอะ บาร์ โรงแรมโนโวเทล บางนา กรุงเทพฯ “โอปอล ค็อกเทล” ส่วนผสมประกอบด้วย... จิน 2 ออนซ์, น้ำส้มคั้น 1 ออนซ์, ทริเปิ้ล แซ็ค 1-2 ออนซ์, น้ำตาลทรายละเอียด 1-2 ช้อนชา, เชอร์รี่ 2 ลูก, น้ำแข็งบดละเอียด 1 กำมือ วิธีทำ… นำส่วนผสมทั้งหมดเทใส่ค็อกเทลเชคเกอร์ เขย่าจนเข้าที่ แล้วเทใส่แก้วค็อกเทลเก๋ ๆ ที่แช่เย็นแล้ว ประดับด้วยลูกเชอร์รี่สัก 2 ลูก พร้อมเสิร์ฟ-พร้อมดื่ม
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=175637

Friday, November 11, 2011

แนะนำอาชีพ 'ทำกินยุคน้ำท่วม'

สถานการณ์อุทกภัยปีนี้รุนแรง ขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อผู้คนทุกระดับ รวมถึงภาคธุรกิจทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ผู้คนต่างต้องปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิต รวมถึงอาชีพการทำมาหากินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนอาจบ่นพ้อ ๆ ถึงอนาคตวันข้างหน้า หลายคนยังไม่รู้ว่าหลังน้ำลดชีวิตจะเป็นแบบใด อย่างไรก็ดี คอลัมน์ ’ช่องทางทำกิน“ หนังสือพิมพ์ ’เดลินิวส์“ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านสู้-สู้ อย่าท้อแท้ท้อถอย และกับหลาย ๆ คน ’ในวิกฤติก็ยังมีโอกาส“ เกิดขึ้นได้…

คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” วันนี้ ขอนำเสนอแนวทางจากผู้เชี่ยวชาญ คำแนะนำถึงช่องทางทำมาหากินในยามที่น้ำหลาก จนถึงยามที่น้ำลด ฉายภาพให้หลายคนที่สู้-สู้ พิจารณานำไปเป็นแนวทางปรับตัว-ปรับชีวิต ในยามนี้ และยามหน้า

รศ.ดร.สมชาย ภคภาสวิวัฒน์ นักวิชาการด้านกลยุทธ์และการตลาด ให้สัมภาษณ์ทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ไว้ว่า... หลายคนอาจคิดว่าในยามที่น้ำท่วม การประกอบอาชีพหรือการทำธุรกิจเป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามองมุมกลับ ในยามนี้ก็สามารถที่จะ “ปรับวิธี-เปลี่ยนกลยุทธ์” จากรูปแบบธุรกิจดั้งเดิม มาทำธุรกิจรูปแบบใหม่ ได้ไม่แพ้ยามน้ำแห้ง

สำหรับอาชีพที่น่าสนใจในสถานการณ์ “น้ำท่วม” ตามที่ รศ.ดร.สมชายแนะนำนั้น ก็มีอาทิ การขนของเพื่อเข้าไปจำหน่ายในพื้นที่น้ำท่วม, การผลิตน้ำดื่มบรรจุขวด-อาหารกระป๋อง, การผลิตเรือ รวมถึงงานบริการรับจ้างขนส่งสินค้าหรือขนส่งคน โดยถ้าสามารถปรับรูปแบบการกระจายสินค้า จำหน่ายสินค้า บริการ ซึ่งอาจจะต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการลงทุนด้านเรือหรืออื่น ๆ แต่ก็เชื่อว่าจะสามารถทำกำไรในยามนี้ได้อย่างดี เพราะมีความต้องการสินค้าเป็นจำนวนมาก

“อาจจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นบ้างในเรื่องของการเดินทาง และมีความจำเป็นที่จะต้องรู้จักแหล่งซื้อสินค้า แต่ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจสำหรับการประกอบธุรกิจในยามนี้”รศ.ดร.สมชายกล่าว

จากคำแนะนำของนักวิชาการรายนี้ ก็น่าจะพออนุมานได้ว่า... แม้แต่การบรรจุของ-ขนของ ลุยน้ำเข้าไปขายตามพื้นที่น้ำท่วม ก็ยังถือว่าเป็นอีกอาชีพที่สามารถทำได้ในยามนี้ สามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ในช่วงน้ำท่วม เนื่องจากหลายคนที่ไม่ได้อพยพหรือเดินทางออกจากบ้าน โดยเฉพาะตามหมู่บ้าน ชุมชนใหญ่ ๆ อาจมีกำลังซื้อ เพียงแต่ไม่สามารถเดินทางออกจากบ้านเพื่อหาซื้อสินค้าได้ เพราะน้ำท่วม เรื่องการเดินทางกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่มิใช่จะทำได้ง่าย ๆ

ช่องทางทำกินยุคน้ำท่วมจากที่ยกตัวอย่างมา เป็น “การขายผนวกการบริการ” ที่เพิ่มราคาได้ตามสมควร แต่ทั้งนี้ ในเรื่องความปลอดภัย ความชำนาญในพื้นที่ นี่ก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบด้วย

ต่อด้วยหลังน้ำท่วม ในยามที่น้ำลด-น้ำแห้ง ผ่านพ้นวิกฤติน้ำท่วมแล้ว รศ.ดร.สมชายก็แนะนำว่า... อาชีพที่มีแนวโน้มว่าเมื่อน้ำลดแล้วจะมีความต้องการสูง และเป็นที่ต้องการมากของตลาด ได้แก่ อาชีพที่เกี่ยวกับการซ่อมแซมด้านต่าง ๆ อาทิ ช่างซ่อมแซมบ้านที่พักอาศัย อาคารพาณิชย์, ช่างทาสี, ช่างปรับปรุง ติดตั้งสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่าง ๆ, ช่างประปา, ช่างไฟฟ้า-ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า-ติดตั้งระบบไฟฟ้า ฯลฯ รวมถึงอาชีพที่เกี่ยวกับการตรวจสอบโครงสร้างต่าง ๆ ซึ่งงานช่างต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นอาชีพที่สำคัญหลังน้ำลดลง ซึ่งผู้ที่จะทำเงินได้ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นช่างต่าง ๆ โดยอาชีพอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ขอเพียงมีความรู้ในด้านนั้น ๆ จริง ๆ พอจะมีทักษะอยู่พอตัว ก็สามารถจะรับงานได้ หรือการ รับจ้าง-บริการทำความสะอาด นี่ก็ทำเงินได้ สามารถจะทำได้ไม่ยากเกิน

“อธิบายง่าย ๆ คืออาชีพหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับการบูรณะฟื้นฟูนั้น ภายหลังน้ำลดลง อาชีพและงานบริการ รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเหล่านี้ จะเป็นอาชีพที่ตลาดมีความต้องการสูงในอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งผู้ที่กำลังคิดหรือวางแผนการเริ่มต้นธุรกิจหรือการทำอาชีพหลังจากนี้ น่าจะได้ลองพิจารณากัน” ...รศ.ดร.สมชายระบุ

ทั้งนี้ แนวทางอาชีพ-แนวทางธุรกิจดังที่ว่ามา เป็นการ ’ปรับ-ประยุกต์-ดัดแปลง“ การทำมาหากิน ’ช่องทางทำกิน“ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งในยามน้ำท่วมและในยามน้ำลด ซึ่งหากใครทำได้รับรองไม่เครียดเรื่องขาดรายได้แน่ ๆ อย่างไรก็ตาม การทำอาชีพ-ทำธุรกิจใด ๆ ในยามน้ำท่วมและน้ำลด ก็ต้องเน้นว่า ควรจะดำเนินไปแบบมีจริยธรรม มีคุณธรรม ’ไม่ขูดรีด-โก่งราคา“ เราคนไทยด้วยกันก็ควรจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน...ตามสมควร

เช่นนี้จึงจะยั่งยืนกับ ’ช่องทางทำกิน“ ที่เลือกทำ!!.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=175442

Friday, November 4, 2011

แนะนำอาชีพ''กระทง - ลอยกระทง''

แนะนำอาชีพ ''กระทง - ลอยกระทง''’น้ำท่วม...น้ำท่วม...น้ำท่วม...“ ยุคนี้หันไปทางไหนก็มีแต่น้ำท่วม ’เครียด...เครียด...เครียด...“ ยุคนี้หันไปทางไหนก็มีแต่คนเครียด ’ทำใจ...ทำใจ...ทำใจ...“ ยุคนี้ก็ต้องพยายามทำใจกันครับ!! ก็คิดเสียว่าปีนี้คนไทยเราจะได้ ’ลอยกระทง“ กันชนิดที่ชิดใกล้กับน้ำมาก ๆ เลย และกับบางคนก็อาจ ’ทำกระทงขาย“ ซะเลย!!

ทั้งนี้ เสาร์นี้หน้า ’ช่องทางทำกิน“ มีการปรับเปลี่ยนเฉพาะกิจเป็นการชั่วคราว ซึ่งไหน ๆ ก็ไหน ๆ หันไปทางไหนก็มีแต่น้ำ และนี่ก็ใกล้ถึงเทศกาลลอยกระทงแล้ว ก็เอาเป็นว่าวันนี้มาดูวิธีทำ “กระทงจากวัสดุธรรมชาติ” กันอีกสักครั้ง ซึ่งยุคน้ำท่วมนี้มะพร้าวแก่ที่ลอยน้ำได้น่าจะยังพอหาได้ ก็ลองเอามาทำกระทงเตรียมไว้ลอยหรือขายกันมั้ยครับ?

ทางหน้า “ช่องทางทำกิน” เคยนำเสนอเรื่องการทำ ’กระทงจากลูกมะพร้าว“ ไอเดียของ คุณกิตติวัฒน์ เมธาพัฒน์อธิกุล ซึ่งก็น่าสนใจ วันนี้เราลองมาดูซ้ำกันอีกสักครั้ง ดังนี้... ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการนำมะพร้าวแก่มาล้างทำความสะอาด ล้างพวกเศษดินและคราบสกปรกที่ติดอยู่ตามเปลือกของลูกมะพร้าวออกด้วยน้ำ

ล้างแล้วก็นำไปตากให้แห้ง จากนั้นก็นำมะพร้าวที่ทำความสะอาดและตากแห้งดีแล้วมาเลื่อยตัดครึ่งทั้ง เปลือก แล้วนำมะพร้าวที่ตัดครึ่งไปตากแดดทิ้งไว้อีกครั้ง เพื่อให้เนื้อมะพร้าวที่ติดอยู่ล่อนหลุดออกจากกะลา

ลำดับถัดมา นำมะพร้าวที่เนื้อหลุดออกไปแล้วมาใช้ปากกาทำการร่างลายกลีบกระทงลงบนเปลือก ด้านนอกตามต้องการ จะทำกลีบเล็กหรือกลีบใหญ่ก็ได้ เมื่อร่างเสร็จแล้วก็ใช้คัตเตอร์ตัดตามลายที่ร่างไว้ แล้วลอกเปลือกมะพร้าวตรงส่วนที่ตัดออกให้เห็นถึงกะลา จากนั้นก็ใช้คัตเตอร์ปาดส่วนปลายแหลมของกลีบเอาเปลือกที่ติดกะลาออกไปประมาณ 2 เซนติเมตร เท่านี้ก็จะได้กลีบนอกของกระทง ก่อนจะทำกลีบชั้นใน

ขั้นตอนการทำกลีบชั้นในของกระทงลูกมะพร้าว เมื่อเราทำกลีบกระทงด้านนอกเสร็จแล้ว ก็จะเห็นกะลา ก็ใช้เลื่อยสำหรับเลื่อยไม้ทำการเลื่อยตัดกะลาด้านในให้เป็นกลีบกระทงสลับ กับกลีบนอก เมื่อตัดเสร็จก็ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด แล้วหาสีย้อมไม้มาทาให้ทั่ว หรือจะใช้สีทองหรือสีเงินทาด้านในเพื่อความสวยงามด้วยก็ได้ เสร็จแล้วก็ตกแต่งด้วยกากเพชร หรือวัสดุตกแต่งอื่น ๆ เท่านี้ก็จะได้ “กระทงจากลูกมะพร้าว”

แต่กรณีทำขาย ก่อนจะสามารถขายได้ก็ต้องทำการประดับตกแต่งให้สวยงามยิ่งขึ้นเสียก่อน ซึ่งก็อาจจะตกแต่งด้วยดอกกล้วยไม้ หรือดอกไม้อื่น ๆ เท่าที่พอหาได้ เพื่อให้มีสีสันสวยงาม ปักธูป ปักเทียน เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ทั้งนี้ กรณีทำขาย ราคาขายก็จะตั้งได้ตามขนาดของกระทง ผลงานกระทงจากลูกมะพร้าวอาจเป็นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ตามแต่ขนาดของลูก มะพร้าว ซึ่งถ้าขนาดเล็ก กว้างสักประมาณ 6 นิ้ว ก็อาจตั้งราคาได้ประมาณ 40 บาทขึ้นไป ถ้าขนาดใหญ่ กว้างสักประมาณ 9 นิ้ว ก็อาจตั้งราคาได้ประมาณ 50 บาทขึ้นไป

หรือถ้ามีลูกมะพร้าวแก่เยอะ แต่ขาดวัสดุตกแต่ง จะลองติดต่อหาแหล่งเพื่อที่จะทำเฉพาะตัวกระทงไปส่งขายราคาเฉลี่ยใบละ 20-30 บาท ก็อาจจะได้ ก็ให้คนรับซื้อนำไปตกแต่งแล้วตั้งราคาขายต่ออีกที

แถมท้ายจากไอเดียของคุณกิตติวัฒน์ที่เคยบอกกับทีม ’ช่องทางทำกิน“ ไว้ กับกระทงจากลูกมะพร้าวนี้ ใช่ว่าจะขายได้เฉพาะวันลอยกระทงซึ่งปี 2554 นี้ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 วันลอยกระทง ตรงกับวันที่ 10 พ.ย. กระทงจากลูกมะพร้าวนี้สามารถจะเจาะรู นำลวดที่ใช้ทำกระถางต้นไม้แบบแขวนมาใส่เข้าไป ก็จะได้เป็นกระถางต้นไม้ ก็ขายได้เช่นกัน

ที่ว่ามาก็เป็นอีกรูปแบบ ’กระทงธรรมชาติ“ ที่หน้า ’ช่องทางทำกิน“ หยิบยกนำมาบอกซ้ำกันอีกครั้ง เผื่อว่าใครจะลอง ’ทำลอย-ทำขาย...คลายเครียดยุคน้ำท่วม“ กันครับ!!.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=173989

สำหรับอีกรูปแบบนี้ เป็น “กระทงจากหัวปลี” ไอเดียของ อนุพงษ์ ภูสีเขียว ซึ่งเคยให้ข้อมูลทีม “ช่องทางทำกิน” ไว้ ในฐานะนักศึกษาสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ทั่วไป-ธุรกิจงานประดิษฐ์ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าจบหรือยัง ทั้งนี้ กระทงธรรมชาติรูปแบบนี้ ส่วนประกอบที่ใช้ทำต่อ 1 กระทงก็มี... หัวปลี 2 หัว, ต้นกล้วยทำฐานกระทง ขนาด 8 นิ้ว, ใบตอง, ดอกรักหรือดอกไม้อื่น ๆ สำหรับตกแต่งให้สวยงาม, ธูป-เทียน, ไม้กลัดหรือตะปูเข็ม ส่วนอุปกรณ์หลัก ๆ คือ มีด กรรไกร

วิธีทำเริ่มจาก...

1. ตัดใบตองเป็นวงกลมให้มีขนาดเท่ากับต้นกล้วยที่ใช้ทำเป็นฐานกระทง แล้วนำมาปิดทับบนฐานกล้วย พักไว้

2. เตรียมกลีบหัวปลี ด้วยการใช้มีดเลาะปลีกล้วยออกทีละกลีบ โดยเก็บเกสรกล้วยไว้ จากนั้นแยกสีของกลีบหัวปลีเรียงกันไว้ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน

3. ชั้นที่ 1 ติดเกสรกล้วยกับฐานกระทงให้รอบ ยึดด้วยไม้กลัดหรือตะปูเข็ม ชั้นที่ 2 ใช้ปลีกล้วยที่มีสีอ่อนที่สุดพับครึ่งโดยนำด้านในออก ติดให้รอบฐานกระทง ชั้นที่ 3 ใช้ปลีกล้วยสีกลางติดโดยรอบ ส่วนชั้นที่ 4 และชั้นที่ 5 ใช้ปลีกล้วยสีเข้มที่สุดติดโดยรอบ

4. นำดอกรักหรือดอกไม้ชนิดอื่น ๆ มาติดเรียงกันให้รอบฐานกระทง โดยยึดด้วยไม้กลัดหรือตะปูเข็ม

5. นำธูป เทียน ปักกลางกระทง ก็จะได้กระทงจากปลีกล้วยที่สวยงาม พร้อมนำไปลอย หรือขาย

ทั้งนี้ กระทงแบบนี้ถ้าทำได้สวยก็อาจตั้งราคาขายได้ใบละกว่า 100 บาทขึ้นไป ส่วนยามนี้แม้น้ำจะท่วม แต่ถ้าใครพอจะหาวัตถุดิบมาทำได้ นี่อาจไม่เพียงแค่ทำลอยเองแก้เครียดน้ำท่วมในวันลอยกระทง 10 พ.ย.นี้…

อาจเป็น “ช่องทางทำกินเฉพาะกิจ” ก็ได้นะครับ!!.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=174175

Sunday, October 30, 2011

แนะนำอาชีพ'กรอบเค็ม-โรตีกรอบ'

อีกกลุ่มขนมทานเล่นที่ขายได้ตลอด คือพวก กรอบเค็ม โรตีกรอบ หรือแม้แต่ กะหรี่ปั๊บ ปั้นขลิบ ซึ่งคนที่ทำขนมทานเล่นพวกนี้ขายแม้จะมีมาก แต่ใครมีฝีมือทำได้อร่อย ก็ยังสามารถจะเจาะสู่ตลาดจนมีลูกค้ามาก ๆ ได้ไม่ยากนัก ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” จะพาไปดูกรณีศึกษาการทำอาชีพขายขนมทานเล่นเจ้าหนึ่งที่ทำขายมานานร่วม 20 ปี...

นิภา อาบทอง เจ้าของนิภากะหรี่ปั๊บและปั้นขลิบทอด เล่าว่า เมื่อก่อนมีอาชีพเป็นพนักงานขายแว่นตา และเคยเปิดโรงงานทำวงกบประตูหน้าต่าง ร้านทำมุ้งลวดเหล็กดัดมาก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเปลี่ยนอาชีพ โดยได้คำแนะนำเรื่องขนมจากหลาน ซึ่งตนก็ไปเรียนรู้ใหม่หมด โดยแรก ๆ ขายในหมู่บ้านที่อยู่ก่อน จากนั้นก็มาขายตามตลาดนัดต่าง ๆ แต่ก็ขายไม่ค่อยดี จึงมาหาที่ขายตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งก็ได้แหล่งขายหลายที่ ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมาก เพราะโรงพยาบาลมีคนมาก อีกทั้งยังมีคนไข้ซื้อไปฝากหมอบ้าง ฝากพยาบาลบ้าง ทำให้อาชีพขายของตนประสบความสำเร็จ

ในส่วนของ “กรอบเค็ม” และ “โรตีกรอบ” นั้น นิภาบอกว่า เป็นสินค้าที่แตกขยายเพิ่มออกมา เพราะต้องการให้ของมีความหลากหลายมากขึ้น และวิธีทำก็คล้าย ๆ กัน ซึ่งทั้งกะหรี่ปั๊บ ปั้นขลิบ กรอบเค็ม โรตีกรอบ ขายดีเท่า ๆ กันทุกอย่าง อุปกรณ์ในการทำ หลัก ๆ ก็มีเตาแก๊ส เครื่องตีแป้ง กระทะ กะละมัง ไม้นวดแป้ง มีด ฯลฯ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทำอาหาร และทำขนมโดยทั่ว ๆ ไป

วิธีทำ ตามสูตรจะใช้แป้งสาลี 10 กก. น้ำตาลทราย 3-4 กก., กะทิ 1 กก., เกลือ 1 ถุง, น้ำมัน 500 กรัม นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในกะละมังตีแป้ง นำใส่เครื่องตี ตีไปประมาณ 30 นาที เสร็จแล้วนำแป้งที่ตีแล้วใส่ถุงพลาสติกมัดปากให้แน่น ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง

ทั้งแป้งกรอบเค็ม และโรตีกรอบ มีส่วนผสมของแป้งแบบเดียวกัน

วิธีปั้นแป้งกรอบเค็ม นิภาบอกว่า ให้ปั้นแป้งออกมาเป็นขนาดเท่ากำมือ รีดแป้งให้บาง

จากนั้นใช้มือคลึงให้เป็นเส้นยาว ความกว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-1 เซนติเมตร แล้วตัดเป็นชิ้น ๆ ละ 3-5 เซนติเมตร แล้วนำไปทอดน้ำมันให้สุกกรอบ

ส่วนแป้งโรตีกรอบ ให้ปั้นแป้งเป็นก้อน ๆ ขนาดเท่ากำมือ รีดเป็นแผ่นบาง ให้เป็นขนาดสี่เหลี่ยม จากนั้นพับแป้งไปมา 3-4 ชั้น นำไปทอดให้สุกกรอบเช่นกัน

เครื่องปรุงกรอบเค็ม และโรตีกรอบ แตกต่างกันที่เครื่องปรุงที่นำลงไปผัด เครื่องปรุงผัดกรอบเค็มมีน้ำตาลปี๊บ 5 กก., พริกไทย 2 กก., น้ำมะขามเปียก 200 กรัม, ต้นหอมซอยพอประมาณ ส่วนเครื่องปรุงโรตีกรอบจะลดในส่วนของพริกไทยลงเหลือ 1.5 กก.

ผัดเครื่องปรุงทุกอย่างในกระทะ โดยใส่น้ำตาลปี๊บลงไปก่อน เคี่ยวให้ละลาย จากนั้นใส่เครื่องปรุงทุกอย่างลงไป นำแป้งกรอบเค็ม หรือโรตีกรอบ ที่ทอดเตรียมไว้ ใส่ลงไปคลุกให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพักให้เย็น แล้วจึงบรรจุใส่ถุงขาย

ราคาขาย “กรอบเค็ม” และ “โรตีกรอบ” คือขีดละ 30 บาท โดยนิภาบอกว่า จากราคาขายกรอบเค็ม และโรตีกรอบ ต่อ 10 ขีด หรือ 1 กก. 300 บาทนั้น จะมีต้นทุนประมาณ 180-200 บาท

แหล่งขายขนมของนิภา ก็มีทั้งที่โรงพยาบาลเด็ก โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเซ็นหลุยส์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรงพยาบาลหัวเฉียว โรงพยาบาลทหารเรือ โรงพยาบาลตำรวจ ฯลฯ ใครต้องการสั่งขนม-ต้องการติดต่อ ก็ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2889-3002, 08-1847-8976 และ 08-1406-1445.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=516&contentId=172789

Saturday, October 29, 2011

แนะนำอาชีพ 'ตกแต่งหมวกสาน'

แนะนำอาชีพ เป็นงาน งานแฮนด์เมดเพิ่มมูลค่าสินค้าคืองาน 'ตกแต่งหมวกสาน'
สินค้าอย่าง ’หมวกสาน“ และกระเป๋าสาน จากวัสดุธรรมชาติ ที่มีวางจำหน่ายอยู่ทั่วไป ถ้านำมาใส่ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ นำสินค้าพวกนี้มาตกแต่งเพิ่มเติม นอกจากจะเป็นการทำให้สินค้าดูสวยงามโดดเด่นแตกต่างไปจากผู้ขายรายอื่น ๆ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกรูปแบบ ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าพิจารณา...

ต่าย-วาสินี ทวีกาญจน์ นำหมวกสานและกระเป๋าสานมาตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้ ดอกไม้ประดิษฐ์ ริบบิ้น โบ ลูกปัด คริสตัล ฯลฯ ก่อนจะจำหน่าย ทำให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่มได้อย่างน่าสนใจ ได้รับความนิยมจากลูกค้ามากขึ้น และมีกลุ่มลูกค้าหลากหลายขึ้นด้วย

เจ้าตัวเล่าว่า จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คณะศิลปกรรม สาขาออกแบบตกแต่งภายใน หลังจากเรียนจบก็ได้ทำงานทางด้านกราฟิกและออกแบบเว็บไซต์ จากนั้นก็ทำงานเป็นดีไซเนอร์ออกแบบสินค้าประเภทของตกแต่งบ้าน ส่วนการขายหมวกสานและกระเป๋าสานนั้นก็ขายผ่านเว็บไซต์เป็นอาชีพเสริมควบคู่ กับการทำงานหลักอยู่นานแล้ว ซึ่งเป็นการทำร่วมกับญาติที่ต่างจังหวัด จนหลังจากที่บริษัทที่ทำงานอยู่เกิดวิกฤติภายใน ประกอบกับเห็นว่าธุรกิจขายหมวกสานและกระเป๋าสานผ่านเว็บไซต์เริ่มที่จะได้ รับการตอบรับจากลูกค้ามากขึ้น มีออร์เดอร์สั่งเข้ามาเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจออกจากงานประจำมาทำธุรกิจขายหมวกสานและกระเป๋าสานผ่านเว็บไซต์ อย่างจริงจัง

“การขายผ่านเว็บไซต์ ขายผ่านอินเทอร์เน็ตนั้น ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่สูงและสะดวก แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้างสำหรับผู้ที่ลงประกาศขายใหม่ ๆ เพราะส่วนใหญ่ลูกค้ามักจะไม่เชื่อมั่นในสินค้าที่ลงขาย กลัวว่าจะได้ของไม่ตรงตามรูปที่ลง อีกทั้งกลัวคุณภาพไม่ดี เพราะฉะนั้นการขายผ่านอินเทอร์เน็ตเราต้องทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในสินค้าของ เรา สินค้าทุกชิ้นจะต้องเนี้ยบ ไม่ส่งของที่มีตำหนิให้ลูกค้า” ต่ายกล่าว

เมื่อออกมาจับธุรกิจค้าขายเต็มตัว ต่ายก็เริ่มพัฒนาตัวสินค้าที่ขายอยู่ให้มีความโดดเด่น ไม่ซ้ำกับเจ้าอื่น ๆ เพื่อเป็นจุดขายให้สินค้า และเป็นการเพิ่มมูลค่าให้สินค้ามากขึ้น เพราะเนื่องจากหลายคนจะมองว่าหมวกสานและกระเป๋าสาน จะต้องเป็นทรงที่โบราณไม่ทันสมัย จึงต้องมีการพัฒนาให้สินค้ามีความทันสมัย เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นให้ได้ด้วย

หมวกสานและกระเป๋าสานที่จะนำมาตกแต่งนั้น ต่ายจะออกแบบรูปทรงเพื่อที่จะได้ทรงที่ดูทันสมัยเข้ากับยุค แล้วก็เลือกวัสดุที่จะนำมาใช้ทำ จากนั้นก็ส่งแบบไปให้กับญาติเป็นคนทำตามแบบที่ต้องการ นอกจากนี้ ยังมีการสั่งทำจากแหล่งต่าง ๆ ที่รับทำรับสานหมวกและกระเป๋าด้วย

วัสดุที่ใช้ในการสานนั้น หลัก ๆ ก็มี ปอสังเคราะห์, ใบลาน, ไม้ไผ่, ผักตบชวา หรือถ้าเป็นหมวกผ้าก็ใช้ผ้าสักหลาด เป็นต้น ส่วนรูปทรงก็มีหลากหลาย ทั้งในส่วนของหมวกและกระเป๋า

ส่วนวัสดุที่นำมาใช้ตกแต่งหมวกนั้น ก็จะมี...ดอกไม้ประดิษฐ์จากผ้า, ดอกไม้ประดิษฐ์จากพลาสติก, ผ้าลูกไม้, ริบบิ้น, ลูกปัดไม้, คริสตัล เป็นต้น

ขั้นตอนการตกแต่งหมวกสาน เริ่มเตรียมหมวกสานรูปทรงที่ต้องการ จากนั้นก็เลือกใช้ผ้าลูกไม้หรือจะใช้ริบบิ้นก็ได้ตามต้องการ แต่ที่สำคัญจะต้องเลือกสีที่เข้ากับหมวกด้วย นำผ้าลูกไม้หรือริบบิ้นมาผูกให้เป็นโบ ใช้ปืนกาวซิลิโคลนยิงยึดติดให้แน่น ตกแต่งโบให้ดูสวยงามมากขึ้นโดยใช้คริสตัลหรือลูกปัดมาติดให้ดูสวยงามตามต้อง การหรือตามที่ออกแบบไว้ เมื่อทำในส่วนของโบเรียบร้อยแล้วก็นำดอกไม้ประดิษฐ์มาติดลงบนโบที่ทำ ยึดให้แน่นด้วยกาวซิลิโคลน ขั้นตอนสุดท้ายก็นำไปติดลงบนหมวกที่เตรียมไว้ เท่านี้ก็เรียบร้อย

ถ้าเป็นการทำกระเป๋านั้น ก็ใช้วิธีการตกแต่งคล้ายกับการตกแต่งหมวก แต่กระเป๋าจะมีเทคนิคการตกแต่งอีกแบบหนึ่งที่ทำให้ดูสวยงามทันสมัย คือการใช้เทคนิค “เดคูพาจ” เป็นลักษณะกระดาษทิซชูที่มีภาพวาดลวดลายสีสันที่สวยงาม นำมาติดลงบนกระเป๋าสานให้ดูเก๋และดูสวยงามทันสมัยมากขึ้น

ราคา ’หมวกสานตกแต่ง“ นั้น อยู่ที่ใบละ 250-350 บาท ส่วนกระเป๋าสานมีราคาตั้งแต่ 200 บาทขึ้นไป โดยราคานั้นก็จะขึ้นอยู่กับรูปแบบ ขนาด และวัสดุที่ใช้ในการทำ

“การทำหมวกสานและกระเป๋าสานประดิษฐ์ตกแต่งขาย ใช้เงินลงทุนครั้งแรกประมาณ 2,000-3,000 บาท เป็นการลงทุนที่ไม่สูงมาก ลักษณะเป็นเงินหมุนเวียน และทุนในการผลิตก็อยู่ที่ประมาณ 50% ของราคาที่ตั้งขายต่อ การทำธุรกิจนี้จะต้องพยายามสำรวจความนิยมและตามแฟชั่นให้ทันอยู่ตลอด” ต่ายกล่าว

ทั้งนี้ สินค้าที่ต่ายทำจำหน่ายในเว็บไซต์มีหลากหลาย อาทิ หมวกสานทรงต่าง ๆ ทรงปีกกว้าง ทรงคาวบอย หมวกสานคุณนาย หมวกสานแฟชั่น กระเป๋าสาน กระเป๋าสะพายเชือกถัก กระเป๋าผ้าลดโลกร้อน เป็นต้น

สินค้าของต่ายนั้นสามารถคลิกเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ www.saraaccessory. com จะสั่งออร์เดอร์ก็สั่งผ่านเว็บไซต์ หรือทางอีเมล taikatae@hotmail.com หรือติดต่อที่ โทร. 08-4878-7744 และปัจจุบันต่ายยังมีจุดขายสินค้าอยู่ที่ คริสตัลปาร์ค (ถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา) ในวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=172703

Sunday, October 23, 2011

แนะนำอาชีพ 'ชีสพายปทุมบงกช'

แนะนำอาชีพ เกี่ยวกับ'บัว'เป็นพืชที่มีประโยชน์และมีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย ทุกส่วนของบัวล้วนแต่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเมล็ด, เกสร, กลีบดอก, สายบัว ฯลฯ โดยส่วนมากคนไทยจะนิยมนำบัวมาประกอบอาหารทั้งคาวและหวาน และก็มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งคิดค้นเมนูขนมหวานจากบัว ใช้ชื่อว่า “ชีสพายปทุมบงกช” ซึ่งก็น่าสนใจ...

หมี-นายบุญมี สงวนทอง, นุ่น-นางสาวกนกวรรณ ตระการพงษ์ และจิ๊บ-นางสาวศิริวรรณ อักษรพาลี นักศึกษาปีที่ 1 สาขาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ร่วมกันคิดค้นเมนู “ชีสพายปทุมบงกช” ขึ้นมา โดยทั้งสามเล่าว่า การคิดค้นเมนูนี้ขึ้นก็เพราะต้องการดัดแปลงบัวให้ไปอยู่ในจานอาหารของชาติ ตะวันตก เพื่อเพิ่มมูลค่าของบัวสู่ระดับสากล ทั้งนี้ ขนมชีสพายปทุมบงกชเป็นเมนูทานเล่นที่ทำง่าย สามารถทำกันภายในครอบครัวได้ โดยมีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก และหาซื้อวัตถุดิบได้ตามท้องตลาดทั่วไป

“ชีสพายปทุมบงกช จะให้ความรู้สึกของความกรุบกรอบ ความนุ่มเนียน และกลิ่นหอมชวนรับประทาน มีรสชาติครบถ้วนทั้งเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ลงตัวกันอย่างพอดิบพอดี เป็นขนมที่มีรสชาติอร่อยกลมกล่อม ที่สำคัญคือส่วนของบัวที่นำมาใช้ในการประกอบเมนูนี้จะเน้นไปที่สรรพคุณ อาทิ ในส่วนของเมล็ดบัว เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ, เกสรบัว ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ยาหอม ยาลม ยาขับปัสสาวะ และรากบัว จะแก้ร้อนใน ระงับอาการท้องร่วง”

อุปกรณ์ที่ใช้ทำชีสพายปทุมบงกช ก็เป็นอุปกรณ์สำหรับการทำเบเกอรี่ทั่วไป อาทิ เครื่องตี, หม้อ, ฟอยล์, พิมพ์ขนม, ช้อน, ถ้วยตวง, ถาด, แปรง, ตะแกรง และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่สามารถหาได้จากในครัว เรือน

การทำชีสพายปทุมบงกช แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนคือ ครีมชีส ส่วนผสมก็มี ครีมชีส 1 ก้อน, ครีมข้น 1 กระป๋อง, นมข้นหวาน 1/4 กระป๋อง (98 กรัม), นมข้นจืด 2 ช้อนโต๊ะ, เจลาตินผง 1 ช้อนโต๊ะ (ละลายน้ำ 2 ช้อนโต๊ะ), น้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ และเกสรดอกบัว 20 กรัม วิธีทำในส่วนของครีมชีส เริ่มจากนำครีมชีสใส่ภาชนะ แล้วใช้เครื่องตีปากตระกร้อตีให้เนียน ใส่ครีมข้นลงไป ตามด้วยนมข้นหวาน นมข้นจืด และเจลาติน ตีต่อไปจนเนียนฟู ตั้งพักไว้

ขั้นตอนการทำชีสพายปทุมบงกช เม็ดบัวบด ส่วนผสมก็มี เม็ดบัว 250 กรัม, นมสด 20 กรัม, เกลือ 1/2 ช้อนชา, น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำคือ นำส่วนผสมทุกอย่างใส่รวมกันแล้วบดให้ละเอียด ต่อไปทำ ซอสรากบัว ส่วนผสมก็มี น้ำทับทิม 1 ถ้วยตวง, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ, แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ, รากบัวเชื่อม 100 กรัม และเกลือนิดหน่อย วิธีทำคือนำรากบัวกับน้ำทับทิมมาปั่นรวมกันให้ละเอียด ตั้งไฟพอเดือด ปรุงด้วยเครื่องปรุงที่เหลือ ตั้งพักไว้

และอีกส่วนคือขั้นตอนการทำ พาย ใช้แครกเกอร์บดละเอียด 2 ห่อ, เนยละลาย 250 กรัม, เม็ดบัวบดละเอียด 100 กรัม วิธีทำก็นำทุกอย่างผสมกัน ทำการอัดลงในพิมพ์ โรยหน้าด้วยเม็ดบัว แช่เย็นทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ก็พร้อมใช้

เมื่อเตรียมส่วนผสมครบทั้ง 4 ส่วน 4 ขั้นตอนแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการทำเป็น “ชีสพายปทุมบงกช”
โดยเริ่มจาก นำพายที่แช่เย็นได้ที่มาหยอดด้วยครีมชีส ใส่ลงไปประมาณ 3/4 ของถ้วย แล้วนำเข้าแช่เย็นต่ออีกประมาณ 10 นาที จากนั้นจึงนำมาราดด้วยซอสรากบัว แล้วตกแต่งด้วยเม็ดบัวบด ใบสะระแหน่ และรากบัวเชื่อม ก็เป็นอันเสร็จ

จากสูตรที่ว่ามาข้างต้นจะสามารถทำ “ชีสพายปทุมบงกช” ได้ประมาณ 23 ชิ้น มีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 350 บาท โดยสามารถตั้งราคาขายที่ชิ้นละ 20 บาท ขายหมดก็จะมีรายได้ก่อนหักต้นทุน 460 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจจะนำสูตร “ชีสพายปทุมบงกช” ไปต่อยอดทำเป็น “ช่องทางทำกิน” ก็เชิญได้เลย เจ้าของไอเดียไม่สงวนลิขสิทธิ์ ซึ่งก็ขอตบมือให้กับไอเดียเจ๋ง ๆ ของน้อง ๆ ทั้ง 3 คน กับเมนูชีสพายปทุมบงกชที่น่าจะมีการต่อยอดจริงจัง ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี โทร. 0-2549-3160.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=171424

Friday, October 21, 2011

แนะนำอาชีพ''กระเป๋าเดคูพาจ''

การสร้างมูลค่าเพิ่มถือเป็นเรื่องสำคัญของคนที่มีอาชีพประดิษฐ์งานฝีมือ-งาน หัตถกรรม บางครั้ง การเพิ่มรายละเอียดจากเทคนิคเดิม ๆ ก็สามารถนำมาใช้เป็นจุดขายได้อย่างดี อย่างเช่นงานผสมผสานระหว่างกระเป๋าจักสาน ที่นำงานเดโคพาจ หรือเดคูพาจ มาประยุกต์ นี่ก็น่าพิจารณา ซึ่งวันนี้ทีม ’ช่องทางทำกิน“ ก็มีข้อมูลมานำเสนอ.กระเป๋าเดคูพาจ..

ทางกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าแม่บ้าน กรมปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน (ปตอ.1) โดย พิมพ์พร สุริยกาญจน์ ตัวแทนของกลุ่ม เล่าว่า ได้รวมตัวกันเพื่อผลิตชิ้นงานมาหลายปีแล้ว โดยได้รับการสนับสนุนจาก พ.อ.(พิเศษ) วิรัตน์ นาคจู ผู้บังคับการกรม เพื่อให้ครอบครัวของทหารที่ประจำการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการสร้างรายได้เสริมด้วย ผลิตภัณฑ์ที่ทางกลุ่มรวมตัวกันผลิตนั้น มีหลากหลายชนิด ตั้งแต่การประดิษฐ์ของใช้-ของที่ระลึกจากวัสดุเหลือใช้, งานรีไซเคิล, งานดอกไม้ประดิษฐ์ เชิงเทียน, งานปั้นจากเศษขี้เลื่อย รวมถึง งานเดคูพาจบนกระเป๋าจักสาน ซึ่งผลิตภัณฑ์อย่างหลังนี้เป็นงานสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยนำงานศิลปะมาประยุกต์ใช้ทำกระเป๋าเดคูพาจ

หลายคนที่ไม่รู้จักงานเดคูพาจ ต้องอธิบายว่า คือศิลปะตกแต่งพื้นผิวด้วยกระดาษ รูปภาพ หรือวัสดุอื่น ๆ ที่สวยงาม ตกแต่งลงบนพื้นผิวของวัสดุประเภทต่าง ๆ เพื่อสร้างลวดลาย เพิ่มความแปลกตา โดยการนำมาฉีกหรือตัดแปะโดยสามารถทำร่วมกับการใช้เทคนิคอื่น ๆ ประกอบในชิ้นงาน ซึ่งงานเดคูพาจนี้กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนทำงานฝีมือ เนื่องจากลงทุนน้อย วัสดุอุปกรณ์มีไม่มาก ขั้นตอนการทำไม่ยาก และยังสามารถพลิกแพลงต่อยอดได้ตลอดเวลา จึงสามารถทำได้ทั้งเป็นงานอดิเรกและเป็นอาชีพ

พิมพ์พรเล่าว่า ทางกลุ่มได้รวมตัวกันประดิษฐ์งานเดคูพาจลงบนวัสดุต่าง ๆ 3-4 เดือนแล้ว สินค้าที่ทำขึ้นมีตั้งแต่กล่องใส่กระดาษชำระ, กระเป๋าถือสำหรับสตรี, กระจาดและถาดใส่สิ่งของหรือผลไม้ ซึ่งเรียกได้ว่าช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าได้เป็นอย่างดี โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมหนีไม่พ้นงานเดคูพาจบนกระเป๋าจักสาน ที่มีทั้งกระเป๋าสานพลาสติกและวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ และผักตบชวา

“ตอนนี้สินค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นงานออร์เดอร์ที่มีลูกค้ามาสั่งทำ โดยจะกำหนดแบบหรือลวดลายที่ต้องการมาในระดับหนึ่ง ที่เหลือก็จะเป็นลูกค้าทั่วไป ลายที่นิยมส่วนใหญ่ก็จะเป็นลายดอกไม้ ดอกกุหลาบ เป็นต้น” ตัวแทนกลุ่มกล่าว

ทุนกระเป๋าเดคูพาจเบื้องต้น ใช้เงินลงทุนประมาณ 5,000 บาท ทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 60% จากราคาขาย โดยเรื่องรายได้ สินค้ามีราคาจำหน่ายชิ้นละ 250 บาท จนถึง 1,000 บาท ในการทำ วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ ประกอบด้วย กระเป๋าจักสาน, กระดาษเดคูพาจ หรือรูปภาพที่ต้องการ, สีอะคริลิกขาว ใช้รองพื้น, กาวเดคูพาจ, กรรไกร, คัตเตอร์ , น้ำยาเคลือบ, พู่กันหรือแปรง โดยอุปกรณ์เหล่านี้สามารถหาซื้อได้ตามแหล่งจำหน่ายงานเดคูพาจหรือร้าน อุปกรณ์ทำการฝีมือทั่วไป

ขั้นตอนการทำกระเป๋าเดคูพาจ เริ่มจากนำกระเป๋าจักสานที่เตรียมไว้มาทาบลงบนกระดาษหรือรูปลวดลายที่ต้อง การทำ จากนั้นใช้ดินสอวาดโครงร่าง ทำการตัดตามรอยดินสอที่ขีดไว้ โดยอาจตัดให้เหลือขอบเผื่อไว้นิดหนึ่ง หากเกินไปมากก็ค่อยใช้กรรไกรเล็มเก็บทีหลังได้ เมื่อได้กระดาษที่จะใช้ทำเป็นลวดลายแล้ว ก็ให้นำกระเป๋าจักสานมาทากาวเดคูพาจด้วยแปรงหรือพู่กัน รอให้กาวเกือบแห้งสนิทจึงนำกระดาษลวดลายที่เตรียมไว้แปะลงบนพื้นผิววัสดุตาม ที่ได้ออกแบบไว้ โดยต้องระวังอย่าให้เกิดรอยย่นหรือฟองอากาศ ขั้นตอนนี้ไม่ซับซ้อนแต่ต้องอาศัยความใจเย็นและความประณีตพอสมควร

เมื่อแปะกระดาษลวดลายครบแล้ว ให้นำฟองน้ำชุบน้ำมาปาดให้ทั่วบริเวณ จากนั้นทิ้งไว้รอให้แห้งสนิท นำพู่กันหรือแปรงจุ่มน้ำยาเคลือบ ทาเคลือบบนกระดาษลวดลายอีกชั้นจนทั่ว ทิ้งไว้ให้แห้ง เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำกระเป๋าเดคูพาจ

“งานเดคูพาจเหมาะสำหรับคนที่มองหางานเสริม มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน ลงทุนไม่มาก แต่ต้องใช้ความใจเย็น อดทน เพราะงานกระเป๋าเดคูพาจจะดูสวยหรือไม่สวยขึ้นอยู่กับความประณีตของชิ้นงานเป็นสำคัญ” ตัวแทนกลุ่มกล่าว

ใครสนใจติดต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าแม่บ้าน ปตอ.1 ถนนแจ้งวัฒนะ ติดต่อได้ที่ โทร. 08-6062-2656, 08-5115-2205 ตัวแทนกลุ่มฝากบอกมาว่าร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์อยู่ภายในกรมปืนใหญ่ต่อสู้ อากาศยาน ผู้ที่สนใจแวะเวียนเข้าไปชมสินค้าได้ สามารถเลี้ยวรถเข้าไปจอดได้ถึงหน้าร้านโดยไม่ต้องแลกบัตร ไปไม่ถูกสอบถามได้ตามเบอร์โทรฯ ข้างต้น

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=171162

Friday, October 14, 2011

แนะนำอาชีพ ''สวนในหลอดไฟ''

ช่องทางทำกิน“ วันนี้ทางทีมงานมีอีกหนึ่งงานไอเดียความคิดสร้างสรรค์ สร้างสรรค์งานออกมาสู่ตลาด โดยสร้างความแตกต่างดึงดูดลูกค้า ซึ่งช่วยสร้างยอดขายได้อย่างดี นั่นคืองาน ’สวนในหลอดไฟ“ ที่เป็นไอเดียต่อยอดจากการจัดสวนขวด เปลี่ยนรูปแบบมาจัดในหลอดไฟ จนเกิดเป็นชิ้นงานที่แปลกใหม่ขึ้นมา...

“นภดล รอดสิน” ซึ่งสร้างสรรค์งานดังกล่าวนี้ เล่าว่า หลังจากที่เรียนจบก็เริ่มทำงานกัดลายกระจกขายก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เริ่มมีความคิดอยากจะกัดลายลงบนขวดดูบ้างเพราะเห็นว่าขวดนั้นมีรูป ทรงที่หลากหลายและสวยงาม ก็เริ่มไปเดินหาซื้อขวดสวย ๆ จนได้ไปเห็นงานจัดสวนขวด เห็นว่าสวยดี ก็เริ่มชอบความสวยงามของธรรมชาติที่อยู่ในขวด

พอเริ่มหลงใหลในการจัดสวนขวด นภดลก็เริ่มเรียนรู้วิธีการทำโดยค้นหาที่เรียนจากอินเทอร์เน็ต จนได้ไปเรียนรู้วิธีทำ ใช้เวลาเรียนอยู่ 1 วัน เป็นการเรียนรู้วิธีการนำต้นไม้ใส่ลงไปในขวดเท่านั้น ส่วนเรื่องการจัดตกแต่งนั้นต้องมาเรียนรู้ฝึกหัดทำเอง จนสามารถทำออกจำหน่ายผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งก็ได้รับความการตอบรับเป็นอย่างดี

หลังจากที่ทำงานจัดสวนในขวดอยู่ระยะหนึ่ง ทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมก็เชิญไปเป็นวิทยากรสอนการทำสวนขวดให้กับผู้ที่ สนใจ ก็มีผู้ที่สนใจเรียนไม่น้อยเลย โดยตอนนั้นก็เริ่มเปิดหน้าร้านที่สวนจตุจักรด้วย โดยนำผลงานที่ทำไว้มาวางขาย นอกจากนั้นก็ยังเอางานของเด็ก ๆ ไปวางขายด้วย แต่เปิดร้านอยู่ได้ประมาณ 1 ปีก็ปิดร้านไป

“ที่ต้องปิดร้านเกิดจากขวดที่เป็นวัตถุดิบหลักเริ่มหายากขึ้น ที่สำคัญงานของนักเรียนที่นำมาวางขายยังไม่ค่อยได้คุณภาพ ต้นไม้ตายง่าย ทำให้ลูกค้าเริ่มลดลง งานสวนขวดจึงเริ่มได้รับการตอบรับน้อยลง จึงตัดสินใจปิดร้าน แต่ผมก็ยังคงผลิตงานออกมาอยู่เรื่อย ๆ แต่ขายทางอินเทอร์เน็ตแบบเดิม”

หลังจากผลิตงานสวนขวดอยู่อีกระยะหนึ่ง นภดลก็เกิดไอเดียต่อยอดจากที่ได้เห็นงานที่นำหลอดไฟมาทำเป็นตะเกียงใน เว็บไซต์ต่างประเทศ หลังจากได้เห็นการนำหลอดไฟมาทำเป็นชิ้นงาน ก็เกิดความคิดว่าน่าจะทำเป็นสวนในหลอดไฟได้ ก็เริ่มลงมือทดลองทำ ใช้ระยะเวลาลองผิดลองถูกอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งหลอดไฟนั้นมีความบางกว่าขวดมาก ทำให้รับอุณหภูมิความร้อนได้มากกว่าขวด ทำให้เกิดความชื้นน้อย ต้องหาพันธุ์ไม้ที่สามารถอยู่ได้ ไม่ตายง่าย จากการทดลองทำก็ได้ 2 ชนิดคือ พรหมออสเตรเลีย และพวกเฟิร์นทั่วไป ซึ่งก็พยายามทดลองหาพืชที่มีความสวยงามอื่น ๆ มาทดลองทำไปเรื่อย ๆ อีก และนอกจากจะใช้ต้นไม้จริงแล้วก็ยังมีต้นไม้ปลอมด้วย สำหรับคนที่ชอบความสวยงามแต่ไม่มีเวลาดูแล

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำงานลักษณะนี้ หลัก ๆ มีดังนี้คือ... หลอดไฟ ขนาด 200 วัตต์, หินชั้น, หินกรวด, ขุยมะพร้าว, ดิน, คัตเตอร์, ไขควง, กาว นอกนั้นก็เป็นอุปกรณ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเอง พวกลวดที่ปลายมัดหุ้มด้วยผ้า และตะเกียบที่ดัดแปลงไว้ทำการเขี่ยตกแต่งภายในหลอดไฟ เป็นต้น

“ที่ต้องใช้หลอดไฟขนาด 200 วัตต์ ก็เพราะเป็นหลอดไฟที่มีขนาดเหมาะที่สุดในการนำมาทำ เพราะเวลาจัดสวนจะได้องค์ประกอบที่เยอะ ส่วนขุยมะพร้าวและดินนั้นจะต้องร่อนด้วยตะแกรงให้ละเอียดก่อนที่จะนำมาใช้ และเนื่องจากหลอดไฟนั้นบางกว่าขวด และปากก็เล็กว่าขวดมาก ในการทำจะต้องใช้ความประณีตและความพยายามสูง” นภดลกล่าว

ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากนำหลอดไฟที่ต้องการใช้มาทำการตัดเอาหัวออกและตัดไส้หลอดออกก่อน โดยใช้คัตเตอร์ทำการตัดด้านบนของขั้วหลอดออก แล้วก็ใช้ไขควงทิ่มลงไปกระแทกให้ไส้หลอดข้างในขาดหลุด จากนั้นก็ค่อย ๆ นำเศษไส้หลอดออกมาจนหมด แล้วก็นำหลอดไฟไปล้างทำความสะอาดด้วยน้ำ ล้างให้สะอาดแล้วนำมาเช็ดให้แห้ง ด้านในก็ใช้อุปกรณ์พิเศษอย่างลวดพันปลายด้วยผ้าสอดเข้าไปเช็ดให้แห้ง

เมื่อได้หลอดไฟมาแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการจัดสวนในหลอดไฟ เริ่มจากนำขุยมะพร้าวใส่ลงไปเป็นการรองพื้นก่อน ไว้สำหรับเป็นตัวอุ้มความชื้น ใส่พอประมาณ จากนั้นก็ใส่ดินลงไป การใส่ดินนั้นไม่ต้องเกลี่ยให้เป็นพื้นเรียบ แต่ควรต้องทำให้เป็นเนินเอียงไปข้างใด
ข้างหนึ่ง

ขั้นต่อไปก็ทุบหินชั้นให้ได้ก้อนขนาดที่ใส่ลงไปในปากหลอดไฟได้ จะใส่ลงไปมากหรือน้อยก็ตามแต่การออกแบบ พยายามจัดวางให้หินชั้นวางซ้อนทับกันเพื่อความสวยงาม และเพื่อให้หินไม่ขยับเลื่อนออกจากกันก็ใช้กาวเป็นตัวยึดติด หลังจากจัดวางหินชั้นตามที่ต้องการแล้ว ก็ใส่หินกรวดลงไปฝั่งหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งที่เป็นดินก็ให้นำมอสมาวางปูให้เต็มพื้นที่

จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนการลงต้นไม้ โดยใช้ตะเกียบกดลงไปและขุดรูตรงจุดที่จะลงต้นไม้ตามแบบที่ออกไว้ เมื่อขุดรูเรียบร้อยก็นำต้นไม้ที่ต้องการใส่ลงไป ใช้ตะเกียบเขี่ยดินกลบให้แน่น ถ้าเป็นต้นไม้จริงเวลาใส่ลงไปต้องระมัดระวังไม่ทำให้ต้นไม้ช้ำมาก และเวลาจัดวางก็ไม่ควรให้ใบไม้ติดกับผิวหลอดไฟ เพราะจะทำให้ต้นไม้เน่าตายได้ง่าย

“การจัดสวนในหลอดไฟ เมื่อจัดเสร็จใช่ว่าจะเสร็จ เพราะก่อนที่จะส่งให้ลูกค้าเราจะต้องตรวจคุณภาพของต้นไม้ โดยดูแลต้นไม้ให้ตั้งตัวได้ก่อน ประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าต้นไม้จะไม่ตาย” นภดลกล่าว ซึ่ง ’สวนในหลอดไฟ“ ของเขา อยู่ที่ร้านสยาม อาร์ต ช็อป ราคาขายอยู่ที่ 299 บาทต่อชิ้น และก็ยังคงทำสวนในขวดจำหน่ายด้วย...

ใครสนใจ ’สวนในหลอดไฟ“ งานไอเดียเก๋ ๆ เข้าไปดูได้ที่ www.siamshop.com/3454b9nt0i6128a หรือ www.facebook/gardenlamp ต้องการติดต่อสอบถามจากนภดล ก็โทรศัพท์ไปได้ที่ โทร. 08-6336-9306.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=497&contentId=169650

Friday, August 26, 2011

แนะนำอาชีพ ‘บ้านสุนัข’

ตลาดสินค้าของกลุ่มคนรักสุนัข รัก “น้องหมา” ยังถือว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะมีการเติบโตสวนกระแสตลาดสินค้าประเภทอื่น ๆ หลายประเภท ยิ่งถ้ารู้จักเติมไอเดีย ออกแบบสินค้าได้ลงตัวสวยงาม โอกาสที่จะทำเงินดีก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน อย่างเช่นงาน “บ้านสุนัข” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอกันอีกครั้ง ในอีกรูปแบบ...

“หนึ่งฤทัย คชไกร” ซึ่งผลิต “บ้านสุนัข” จำหน่าย เล่าว่า สืบเนื่องมาจากการทำธุรกิจรับฝากเลี้ยงสุนัข โดยบริการของที่ร้านจะรับฝากเฉพาะสุนัขพันธุ์เล็กและกลางที่มีน้ำหนักไม่ เกิน 15 กิโลกรัม จากนั้นจึงคิดต่อยอดโดยผลิตบ้านสุนัขเพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าที่ต้องการหา ที่อยู่อาศัยให้กับสุนัขตัวโปรด โดยใช้ชื่อว่า “โฮมสวีทโฮม” จำหน่ายผ่านเว็บไซต์ของตัวเองคือ www.homesweethomebkk.com สำหรับบ้านสุนัขที่ออกแบบนั้นจะจำลองแบบบ้านของคนมาทำ โดยเน้นที่ความสบายและไม่มีการติดกรงให้สุนัขอึดอัด ซึ่งแรก ๆ ทดลองทำเพื่อใช้เอง ต่อมามีลูกค้าเห็นเข้าและชอบจึงขอให้ช่วยออกแบบให้ จนต่อมาได้กลายเป็นอีกธุรกิจที่แตกยอดออกมาจากงานบริการ กลายเป็นงานบ้านสุนัขอย่างที่เห็น...

“บ้านสำหรับสุนัขที่ทำนี้ถอดแบบมาจากบ้านคน ทั้งในเรื่องรูปทรง สี และประโยชน์ใช้สอยซึ่งสามารถตอบโจทย์ในเรื่องกันแดด กันฝน กันยุง เป็นหลัก โดยพยายามดัดแปลงให้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของสุนัข เช่น ประตูเปิด-ปิดแบบสวิง ล้อเลื่อน รั้ว ระเบียง โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของสุนัขเป็นหลัก” หนึ่งฤทัยกล่าว

รูปแบบบ้านสุนัขที่เธอออกแบบ ขณะนี้มีอยู่ประมาณ 20 แบบ โดยแบ่งออกเป็น 4 ขนาด ประกอบด้วย ไซส์ S (ขนาดกว้าง 80 ลึก 60 สูง 90 เซนติเมตร) ไซส์ M (ขนาดกว้าง 100 ลึก 80 สูง 110 เซนติเมตร) ไซส์ L (ขนาดกว้าง 120 ลึก 100 สูง 120 เซนติเมตร) และไซส์ XL (ขนาดกว้าง 150 ลึก 100 สูง 140 เซนติเมตร) โดยลูกค้าจะพิจารณาเลือกจากขนาดพื้นที่ที่ใช้วางบ้านสุนัขกับงบประมาณของตัว เอง

กลุ่มลูกค้าหลัก ก็แน่นอนว่าเป็นกลุ่มคนรักสุนัข นอกจากนี้ก็ยังมีลูกค้าที่เลี้ยงแมวและกระต่ายเป็นลูกค้าเพิ่มเข้ามาด้วย จุดเด่นของบ้านสุนัข เธอบอกว่า จะเน้นที่วัสดุคุณภาพสูง และเน้นให้ตรงตามกับความต้องการสุนัข โดยนำผลวิจัยต่าง ๆ มาประกอบ ซึ่งตอบโจทย์ของลูกค้าด้วย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว

นอกจากนี้ ในเรื่องของวัสดุก็จะคำนึงถึงความปลอดภัยของสุนัข ซึ่งวัสดุบางอย่างแม้จะลดต้นทุนแต่อาจไม่เหมาะกับชีวิตประจำวันของสุนัข จนอาจส่งผลหรือทำให้สุนัขเกิดอันตรายได้

“ความต้องการของสุนัขกับคนนั้นต่างกันในบางเรื่อง การออกแบบของเราจึงต้องเน้นที่ความสะดวกและความชอบของคนเลี้ยง แต่ต้องสอดคล้องกับชีวิตประจำวันของสุนัขด้วย” หนึ่งฤทัยกล่าว

ทุนเบื้องต้น อยู่ที่ประมาณ 250,000-300,000 บาท ทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 75% จากราคาขาย รายได้นั้น ราคาของบ้านสุนัข เริ่มตั้งแต่ 8,500 ถึง 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับแบบ ขนาด และอุปกรณ์เสริมที่เลือก เช่น ถ้าบ้านสุนัขมีรั้ว ราคาก็จะแพงกว่าแบบบ้านที่ไม่มีรั้ว เป็นต้น

วัสดุอุปกรณ์ ที่จำเป็นต้องใช้ประกอบด้วย แผ่นไม้สังเคราะห์, วู้ดซีเมนต์บอร์ด, สีน้ำอะคริลิค, มุ้งลวด, โต๊ะเลื่อยและใบเลื่อยวงเดือน, ปืนลม, แท่นเลื่อยฉลุ, เครื่องตัดไฟเบอร์สำหรับตัดไม้, กาวยาแนว และปืนยิงกาว

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการวางโครงร่างของแบบบ้านสุนัขที่จะผลิต โดยเริ่มจากการคำนวณว่าบ้านสุนัขหลังนั้นจะประกอบด้วยประตูกับหน้าต่างกี่ บาน จะประกอบหลังคาแบบจั่วหรือแบบกล่อง จากนั้นเมื่อวางโครงเสร็จก็เริ่มทำในส่วนของผนัง โดยติดตั้งแผ่นไม้วัสดุผสมซ้อนเกล็ดเข้ามุม 45 องศา เหตุที่ต้องวางแผ่นไม้ที่ทำเป็นผนังแบบนี้ ก็เพื่อป้องกันน้ำฝนไหลตีย้อนเข้าบ้านขณะที่ฝนตกแรง ๆ เสร็จจากการทำฝาผนังก็เริ่มทำบานประตูและหน้าต่างของบ้านสุนัข โดยจุดเด่นของบ้านสุนัขรูปแบบนี้จะมีเทคนิคเฉพาะที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ ให้สุนัขข่วนมุ้งลวดขาด เมื่อประกอบส่วนประกอบเสร็จแล้ว จากนั้นก็ทำการลงสีน้ำอะคริลิค ทำการตรวจความเรียบร้อย เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“วิธีการและขั้นตอนมีไม่มาก แต่ต้องใช้ความละเอียดในทุกขั้นตอน” หนึ่งฤทัยกล่าว

หนึ่งฤทัยผลิตงาน “บ้านสุนัข” นี้อยู่ที่ เลขที่ 81/11 ซ.ชัยพฤกษ์ 16 แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ โทร.08-1926-2818 และมีเว็บไซต์ดังที่ว่ามาข้างต้นเป็นช่องทางจำหน่าย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ด้วยสินค้าที่เจาะตลาดสัตว์เลี้ยง กลุ่มคนรักสุนัข ที่น่าสนใจ

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : เรื่อง-ภาพ
------------------------------------------------

คู่มือลงทุน...บ้านสุนัข


ทุนเบื้องต้น 250,000-300,000 บาท

ทุนวัสดุ ประมาณ 75% ของราคา

รายได้ ราคา 8,500-20,000 บาท

แรงงาน ตั้งแต่ 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด กลุ่มคนเลี้ยงสุนัข

จุดน่าสนใจ ตลาดยังเติบโตเรื่อย ๆ

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=159569

Sunday, August 21, 2011

แนะนำอาชีพ 'เปาะเปี๊ยะ-น้ำยาขนมจีน' 'สูตรเห็ด' ทำเงินเด็ดๆได้

อาหารทั่วไปหากสามารถประยุกต์เป็นอาหารมังสวิรัติ ก็สามารถทำตลาดได้กว้างขึ้น อย่าง “เปาะเปี๊ยะทอดไส้เห็ด” และ “ขนมจีน-น้ำยาเห็ด” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้ นี่ก็น่าพิจารณาเช่นกัน...

• • • • •

อรนุช ทวีศักดิ์ หรือ ปู เจ้าของร้านคุณปู เปาะเปี๊ยะเห็ด ย่านซอยละลายทรัพย์ ถนนสีลม ซึ่งทำเปาะเปี๊ยะทอดไส้เห็ดและขนมจีนน้ำยาเห็ดขายมาเกือบ 10 ปี เล่าว่า แรกเริ่มเดิมทีตนทำปลาซาบะส่งห้าง และมีช่วงหนึ่งได้ไปต่างประเทศ ได้ไปทานอาหารที่ภัตตาคารจีนแห่งหนึ่ง ได้ทานเปาะเปี๊ยะแบบนี้ จึงกลับมาลองทำดูด้วยวิธีของตัวเอง ทดลองให้เพื่อน ๆ และคนรู้จักชิม ซึ่งก็บอกว่าอร่อย จึงได้ทำขายมาตลอดจนถึงปัจจุบันนี้

สำหรับอุปกรณ์ทำเปาะเปี๊ยะเห็ด หลัก ๆ ก็มี กระทะ เตาแก๊ส มีด เขียง หม้อ กะละมัง และอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวทั่วไป ส่วนประกอบของเปาะเปี๊ยะทอดไส้เห็ด ตามสูตรก็มี แป้งเปาะเปี๊ยะขนาดกลาง 20-30 กก., แครอทหั่นฝอย 20 กก., วุ้นเส้นหั่นแช่น้ำ 4 กก., เห็ดออริจิหั่นเป็นท่อน ๆ 5 กก., เห็ดหอมแห้งแช่น้ำ 2 กก., เห็ดหูหนูหั่นฝอย 6-7 กก., ข้าวโพดสุกแกะเม็ด 10 กก., ซอสถั่วเหลือง 500 ซีซี., น้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วย, น้ำมันถั่วเหลืองสำหรับผัด 1 ถ้วย, น้ำมันปาล์มสำหรับทอด
2 แกลลอน (แกล ลอนละ 18 กก.)

วิธีทำไส้เปาะเปี๊ยะ เตรียมส่วนผสมทั้งหมด (ยก เว้นแผ่นเปาะเปี๊ยะและวุ้นเส้น) ผัดรวมกันพอสุก ตามด้วยวุ้นเส้นที่แช่น้ำไว้แล้ว ผัดรวมกัน ปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลือง, น้ำตาลทราย, เกลือ, ซอสเห็ดหอม ชิมรสชาติให้กลมกล่อม เสร็จแล้วตักใส่ถาดพักให้เย็น เน้นว่าไส้ที่ผัดต้องแห้ง เพื่อจะทำให้การห่อนั้นง่ายขึ้น

การห่อเปาะเปี๊ยะ ตักไส้ใส่ลงแผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ม้วนแล้วพับหัวท้ายให้แน่น ทาริมด้วยแป้งเปียก เสร็จแล้วนำลงทอดในกระทะที่น้ำมันร้อน ใช้ไฟปานกลาง ทอดจนเป็นสีเหลืองกรอบจึงตักขึ้นซับน้ำมัน เสิร์ฟพร้อมใบโหระพา ผักกาดหอม และน้ำจิ้ม

ส่วนผสมน้ำจิ้ม ตามสูตรก็มี น้ำตาลมะพร้าว 20 กก., น้ำตาลทรายแดง 8 กก., น้ำส้มสายชู 2.5 ลิตร, พริกขี้หนูแดง 2 กก., เกลือ 500 กรัม และกระเทียม 3 กก.

วิธีทำน้ำจิ้ม นำพริกแดงปั่นรวมกับกระเทียมและน้ำส้มสายชู จากนั้นใส่ลงในหม้อที่ต้มน้ำตาลมะพร้าวไว้แล้ว หลังจากนั้นก็ใส่เกลือ ชิมรสชาติให้กลมกล่อม

“เปาะเปี๊ยะทอดไส้เห็ด” ขายราคาชิ้นละ 7 บาท หรือ 3 ชิ้น 20 บาท พร้อมน้ำจิ้ม และผักข้างเคียง

ต่อด้วย “น้ำยาเห็ด” ที่รับประทานกับขนมจีน น้ำยาก็ใช้เห็ด 3 อย่าง ส่วนประกอบน้ำยาเห็ด ได้แก่ เห็ดนางฟ้าปั่นละเอียด 500 กรัม, เห็ดฟางปั่นละเอียด 500 กรัม, เห็ดหอมสดปั่นละเอียด 200 กรัม, กะทิสด 3 กก., เครื่องแกง 1/2 ถ้วย (ประกอบด้วย ข่า 2 แง่ง, ตะไคร้ 10 ต้น, ใบมะกรูด 5 ใบ, พริกแห้งสีแดงเม็ดใหญ่ 10 เม็ด และกระเทียม 10 กลีบ โขลกรวมกันให้ละเอียด), กระชายหั่นหยาบ 1 กก., น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 3 ช้อนโต๊ะ และผักเคียง
ต่าง ๆ เช่น มะระลวก, ถั่วงอกลวก, ผักกาดดองหั่นบาง ๆ, ใบแมงลัก, กะหล่ำปลี และถั่วฝักยาว

วิธีทำน้ำยาเห็ด ปั่นเครื่องแกงให้ละเอียด ใส่กระชายที่ปั่นไว้ลงปั่นรวมให้เข้ากัน แล้วจึงนำส่วนผสมมาลงละลายในหัวกะทิ จากนั้นนำกะทิที่ได้ตั้งไฟปานกลาง พอเดือดก็ใส่เห็ดที่ปั่นไว้แล้วคนให้เข้ากัน ใช้ไฟอ่อนต้มต่อจนเดือด ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล และต้มต่ออีกสักพัก ชิมรสให้ได้ที่ ก็เป็นอันเสร็จ

น้ำยาเห็ดรับประทานกับขนมจีน และผักเคียงต่าง ๆ ขายเป็นชุด ราคาชุดละ 30 บาท

• • • • •

ปู-อรนุช ทวีศักดิ์ ทำ “เปาะเปี๊ยะทอดไส้เห็ด” และ “ขนมจีนน้ำยาเห็ด” ขายเป็น “ช่องทางทำกิน” ตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิ ตลาดสีเขียว โรงพยาบาลธรรมศาสตร์-รังสิตเฉลิมพระเกียรติ, กระทรวงสาธารณสุข, โรงพยาบาลปทุมธานี และซอยละลายทรัพย์ สีลม หมายเลขโทรศัพท์ คือ โทร. 08-1818-1605 และ 08-6600-7719 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพค้าขายอาหารที่นำ “เห็ด” มาทำเป็นสูตรเด็ด และก็ทำเงินได้เด็ด ๆ น่าสนใจ.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=158389

Friday, August 19, 2011

แนะนำอาชีพ 'กระเป๋าหนังสังเคราะห์'

กระเป๋า“ ที่เป็นงานแฮนด์เมด ที่ใช้ ’หนังสังเคราะห์“ เป็นวัสดุแทนหนังจริง โดยมีการออกแบบดีไซน์ตามแฟชั่น ใช้ประโยชน์ได้เยอะ เป็นอีกหนึ่งงานที่ได้รับความนิยมจากลูกค้า ด้วยดีไซน์ทันสมัย ราคาไม่สูง ดังนั้น สินค้าประเภทนี้ก็สร้างรายได้ให้กับผู้ทำได้อย่างดี เป็นอีกอาชีพที่น่าสนใจ ซึ่งทีม ’ช่องทางทำกิน“ ก็มีกรณีศึกษามานำเสนอ...
• • • •
ชาคริต พงษ์สุพจน์ ซึ่งออกแบบตัดเย็บกระเป๋าขายมาได้ประมาณ 1 ปี เล่าว่า เรียนจบมาทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า หลังจากที่เรียนจบก็เข้าทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ แต่ช่วงนั้นมีคนรู้จักขายของพวกกิฟต์ช็อปตามตลาดนัด ซึ่งในช่วงนั้นขายดีมาก รายได้ต่อวันเยอะ ซึ่งตนเห็นแล้วก็คิดว่าน่าจะไปได้ดีในการค้าขายประกอบกับเริ่มเบื่อ ๆ กับการทำงานประจำอยู่แล้ว จึงออกจากงานประจำมาขายของตามตลาดนัด

ช่วงแรก ๆ ก็ขายดี แต่มาระยะหลังเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี ของขายยากขึ้น จึงต้องมองหางานอื่นมาขายเพิ่ม ซึ่งก็ได้รับกระเป๋าแฟชั่นผู้หญิงมาขายเพิ่มเติม และตอนหลังย้ายเข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯก็ยังวิ่งขายกระเป๋าตามตลาดนัดอยู่ โดยรับกระเป๋าจากสำเพ็งมาขาย แต่พอเจอวิกฤติช่วงที่มีม็อบ ทำให้ของขายยาก ตอนนั้นก็มานั่งคิดว่าจะทำยังไงที่จะขายให้ได้กำไรเยอะขึ้น ก็คิดว่าถ้าตัดเย็บเองน่าจะลดต้นทุนและได้กำไรเยอะขึ้น จึงตัดสินใจทดลองหัดเย็บกระเป๋าขายเองเสียเลย

“เริ่มแรกจำได้ว่ามีเงินทุนอยู่ประมาณ 7,000 บาท ก็ไปขอซื้อจักรอุตสาหกรรมราคา 7,500 บาท แต่ซื้อแบบผ่อน ก็หัดเย็บเองทั้งที่ไม่มีความรู้มาก่อน เริ่มจากแกะแบบกระเป๋าทีละชิ้นเพื่อดูแบบ ก็ทำให้พอจะรู้ว่าชิ้นไหนที่แกะออกได้ก่อนก็จะเป็นชิ้นที่เย็บหลัง ก็หัดเย็บอยู่ประมาณ 3-4 วัน จนพอทำได้ดี จากนั้นก็เริ่มออกแบบแล้วเย็บออกจำหน่าย”

หนังที่ใช้จะใช้เป็น หนังพียู เป็น หนังสังเคราะห์ ซึ่งมีราคาถูกกว่าหนังแท้ เหมาะแก่การเริ่มลงทุนเพราะมีต้นทุนที่ไม่สูงมาก เพียงแต่ต้องออกแบบดีไซน์ให้กระเป๋าดูสวย และก็เน้นตัดออกมาให้เป็นไซซ์ใหญ่ มีประโยชน์ใช้สอยเยอะ จะทำให้ขายได้ง่าย ที่สำคัญเมื่อทุนการทำต่ำก็ต้องขายในราคาที่ไม่สูงมาก จึงจะขายง่าย ลูกค้าตลาดล่างมีกำลังซื้อ

การออกแบบนั้น ชาคริตบอกว่า ก็จะดูจากอินเทอร์เน็ต แล้วก็ดัดแปลง การตัดนั้นก็ต้องดูด้วยว่าแบบไหนโดนใจลูกค้า โดยทดลองตัดออกมาขายดูก่อนจำนวนน้อย ๆ ถ้าของออกเร็วขายได้ง่ายก็เพิ่มจำนวน แต่ถ้าแบบไหนขายยากก็จะไม่ตัดเพิ่ม ซึ่งสำหรับตนเองนั้นในช่วงแรกเนื่องจากเป็นงานที่ตัดเย็บเอง ก็สามารถตัดได้ประมาณ 40 ใบต่อสัปดาห์ แต่ช่วงหลัง ๆ ซึ่งเริ่มได้รับการตอบรับจากลูกค้ามากขึ้น ก็เริ่มขยายโดยจะตัดแพตเทิร์นแล้วนำไปจ้างช่างเย็บ ก็จะได้ 100 ใบต่อสัปดาห์ โดยค่าจ้างช่างก็จะอยู่ที่ประมาณ 40-50 บาทต่อใบ

อุปกรณ์ที่ต้องมีในการทำกระเป๋าหนังสังเคราะห์ หลัก ๆ ก็มี จักรอุตสาหกรรม, ด้าย, กระดาษแข็ง, ดินสอ, กรรไกร วัสดุที่ใช้ทำก็จะเป็นหนังพียู เป็นหนังสังเคราะห์ ส่วนผ้าที่ใช้ทำซับในจะมีทั้งที่เป็น ผ้ากำมะหยี่ และ ผ้าสบันบอน

วัสดุอย่างหนังสังเคราะห์ส่วนใหญ่จะใช้เป็นสีดำหรือสีน้ำตาล เพราะเวลาทำกระเป๋าออกมาแล้วจะขายง่ายกว่าสีอื่น ๆ ซึ่งหนังสังเคราะห์นี้สามารถหาซื้อได้ที่ย่านวงเวียนใหญ่

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการออกแบบรูปทรงกระเป๋าตามที่ต้องการ จากนั้นก็วาดเป็นแพตเทิร์นลงกระดาษแข็ง แล้วก็ตัดแพตเทิร์นเป็นชิ้น ๆ ออกมา จากนั้นก็นำแพตเทิร์นไปวางทาบบนแผ่นหนังสังเคราะห์ ใช้ดินสอขีดตามแพตเทิร์น เมื่อวาดแพตเทิร์นลงบนหนังสังเคราะห์ที่จะใช้เรียบร้อยทุกชิ้นแล้ว ก็ทำการตัดออกมาเป็นชิ้น ๆ ตามแบบ

หลังจากที่ตัดแพตเทิร์นจากหนังสังเคราะห์เสร็จแล้ว ก็มาทำการวาดแบบแพตเทิร์นลงบนผ้าที่จะใช้ทำซับในของกระเป๋า จะใช้ผ้ากำมะหยี่หรือผ้าสบันบอนก็แล้วแต่จะเลือกใช้ วาดเสร็จก็ตัดตามแบบ

เมื่อได้แพตเทิร์นครบทุกชิ้นแล้ว ก็นำแพตเทิร์นที่เป็นหนังสังเคราะห์มาประกอบเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ทำการเย็บด้วยจักรให้เป็นรูปทรงกระเป๋าตามแบบที่เราออกแบบไว้ เย็บเรียบร้อยก็มาทำการเย็บผ้าซับในให้เป็นทรงรูปกระเป๋า เมื่อได้ทั้งกระเป๋าและผ้าซับในแล้ว ก็นำผ้าซับในมาใส่ลงในกระเป๋าหนัง แล้วทำการเย็บด้านบนขอบกระเป๋าให้ผ้าซับในและกระเป๋าติดกัน โดยเก็บขอบให้เรียบร้อย จากนั้นก็มาเย็บหูกระเป๋า ติดซิป และก็ตกแต่งภายนอกตามแบบที่เราต้องการ ก็จะได้เป็นกระเป๋าที่พร้อมนำออกจำหน่ายกระเป๋าหนังสังเคราะห์ของชาคริต มีประมาณ 6-7 แบบ ราคาขายอยู่ที่ 250-300 บาท ทุนวัสดุตกประมาณ 130-170 บาทต่อใบ ซึ่งก็แล้วแต่ขนาดและแบบกระเป๋า ถ้าใครซื้อตั้งแต่ 3 ใบขึ้นไปก็จะได้ราคาที่ถูกลง เป็นราคาส่ง

“ร้านที่ขายนั้น นอกจากจะมีกระเป๋าที่เย็บเองแล้ว ก็ยังรับกระเป๋าจากที่อื่นมาขายเสริมอีกด้วย แต่เราจะเลือกเอามาวางขายเฉพาะงานที่เป็นแนวเดียวกับที่เราทำอยู่” ชาคริตกล่าว
• • • •
สำหรับผู้ที่สนใจ ’กระเป๋าหนังสังเคราะห์“ ที่เป็นงานแฮนด์เมดของชาคริต ก็แวะไปดูกันได้ โดยเขาขายอยู่ที่ตลาดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันเสาร์และอาทิตย์ และที่สวนจตุจักร เบอร์โทรศัพท์ของชาคริตคือ 08-6580-5826 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ เกี่ยวกับกระเป๋า ที่แม้จะไม่ได้ใช้หนังแท้ ๆ แต่ก็ทำเงินแท้ ๆ ได้น่าสนใจ!!.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=497&contentId=158172

Saturday, August 13, 2011

แนะนำอาชีพ 'ขนมจีบแป้งสด'

“ขนมจีบ” เป็นอาหารว่างชนิดหนึ่งที่สามารถทานได้ทุกเวลา ซึ่งขนมจีบที่เราพบเห็นกันโดยทั่วไป ตามท้องตลาดจะเป็นขนมจีบที่ใช้แผ่นเกี๊ยวห่อไส้ แต่วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลการทำ-การขายขนมจีบอีกรูปแบบมานำเสนอให้ได้ลองพิจารณากัน กับ “ขนมจีบแป้งสด” อีกหนึ่งรูปแบบอาชีพด้านการขายอาหารที่น่าสนใจ...

บุษกร ล้านมา หรือ “เมย์” ซึ่งทำขนมจีบแป้งสดขาย เล่าให้ฟังว่า เดิมนั้นเธอเป็นพนักงานประจำเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ มานานหลายปี ก็รู้สึกเครียดและเบื่อ ที่สำคัญไม่ค่อยมีเวลาเป็นส่วนตัว ประกอบกับแฟนเป็นนักดนตรียิ่งทำให้ไม่ค่อยได้เจอกัน เพราะเวลาทำงานจะสวนทางกัน จึงทำให้เธอกับแฟนปรึกษากันว่าจะออกจากงานแล้วมาทำธุรกิจส่วนตัว

“เราสองคนก็ไปขอสูตรและฝึกทำขนมจีบแป้งสดจาก เจ๊ละม่อม ซึ่งเป็นคุณแม่แฟน ทำขายมากว่า 20 ปี ต้นตำรับดั้งเดิมในนครสวรรค์ ขายดิบขายดีมีลูกค้าขาประจำมากมาย จนสามารถส่งลูก ๆ เรียนจบมาแล้วหลายคน พอเอามาให้เพื่อนชิมก็ตื่นเต้นกันใหญ่บอกว่าอร่อย และไม่เคยเห็นมาก่อน ระหว่างนั้นยังไม่กล้าตัดสินใจ จึงลองทำขายเล่น ๆ ในวันหยุดควบคู่กับการทำงานประจำ เสียงตอบรับดีมาก ทำมาเท่าที่ทำได้ก็ขายหมดเกลี้ยงทุกวัน จากนั้นก็ลาออกจากงานมาช่วยกันทำขายเป็นอาชีพหลัก ทำมาได้นานประมาณ 2 ปีแล้ว”

อุปกรณ์ในการทำหลัก ๆ ก็มี...กระทะใบบัว, ไม้พาย, เครื่องรีดแป้ง, เครื่องตีแป้ง, เครื่องตัด, หม้อนึ่ง, เตาแก๊ส ถ้วยตวง และอุปกรณ์ทั่วไปที่ใช้กันในครัวเรือน วัตถุดิบและส่วนผสมจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ... ส่วนผสมในการทำตัวแป้ง และส่วนผสมในการทำไส้ ซึ่งส่วนผสมในการทำแป้ง ประกอบด้วย แป้งสาลี แป้งมันสำปะหลัง และน้ำสะอาด

สำหรับส่วนผสมในการทำไส้ ตามสูตรประกอบด้วย เนื้อหมูปนมันสับ 10 กิโลกรัม, หอมแดง 1 กิโลกรัม มันแกวสับ 1 กิโลกรัม กระเทียมสับ 1 กิโลกรัม นอกจากนี้ก็ใช้รากผักชี หอมใหญ่สับ น้ำตาล พริกไทยป่น ต้นหอม-ผักชีสับหยาบ น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว น้ำมันงา น้ำมันหอย และเกลือป่น

ขั้นตอนการทำ “ขนมจีบแป้งสด” เริ่มจากนำแป้งสาลีผสมกับแป้งมันสำปะหลัง ผสมรวมกันแล้วร่อน ใส่น้ำสะอาดตามลงไป คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปตั้งไฟกวนในกระทะให้ส่วนผสมแป้งสุก ล่อนจับตัวเป็นก้อน ยกลงตั้งพักไว้ให้อุ่น แล้วนำแป้งที่ได้มานวดจนแป้งนุ่มและเนียนไม่ติดมือ จากนั้นก็แบ่งแป้งออกเป็นก้อน ๆ

นำก้อนแป้งที่ได้มารีดและโรยด้วยแป้งมัน รีดให้เป็นแผ่นบางยาว นำแผ่นแป้งที่ได้มาทับซ้อน ๆ กัน แล้วตัดโดยให้ขนาดของแผ่นแป้งอยู่ที่ประมาณ 2x2 นิ้ว ตั้งพักไว้ รอห่อไส้

ส่วนตัวไส้นั้น การทำเริ่มจากนำรากผักชี พริกไทยป่น และกระเทียม โขลกรวมกันให้ละเอียด เสร็จแล้วนำไปใส่ในเนื้อหมูปนมันสับ ปรุงรสชาติด้วยน้ำตาล เกลือ ซอสปรุงรส น้ำมันหอย น้ำมันงา และต้นหอม-ผักชีสับ คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี หมักทิ้งไว้ในตู้เย็นประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก่อนจะนำออกไปห่อ

ต่อไปเป็นขั้นตอนการห่อ ให้นำแป้งที่เตรียมไว้มาแผ่ลงบนมือ ตักไส้มาวางบนแผ่นแป้งแล้วขึ้นรูปห่อ ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จีบจนรอบ วนขวา แล้วล้มจีบไปทางเดียวกัน รวบหัวขนมจีบให้ยาวแล้วหักลงมาเป็นหัวนกกระทุง (จะห่อรูปแบบอื่นก็ได้) เรียงลงในซึ้ง โดยระหว่างรอห่อเสร็จก็ให้ตั้งซึ้งนึ่งให้น้ำเดือดรอไว้ กะน้ำให้พอดี เมื่อน้ำเดือดแล้วจึงนำขนมจีบลงนึ่งโดยใช้เวลา 15-20 นาที ตัวขนมจีบที่ได้จะแววใสน่ารับประทาน ระหว่างการนึ่งต้องคอยตรวจดูอย่าให้น้ำแห้ง เพราะหากน้ำแห้งแล้วขนมจีบจะแข็งกระด้าง ในการขายก็ต้องมีซอสเปรี้ยว “จิ๊กโฉ่” และทานคู่กับผักกาดหอมและพริกขี้หนูสดสีเขียวแก้เลี่ยน ซึ่งซอสเปรี้ยวเจ้านี้จะทำเองโดยใช้ซีอิ๊วดำหวาน น้ำตาลทราย เกลือ น้ำส้มสายชูกลั่น ผสมกันแล้วต้มให้เดือด ชิมรสตามชอบ

ปกติขนมจีบแป้งสดนี้จะอยู่ได้นานประมาณ 2 วัน ทั้งนี้เพราะเป็นแป้งสด จะทำวันต่อวัน จึงสามารถอยู่ได้นานกว่าขนมจีบทั่วไป แต่หากเก็บไว้ในตู้เย็นจะอยู่ได้ 3-4 วัน และเก็บในช่องแช่แข็งได้ประมาณ 1 สัปดาห์ นอกจากนี้ เมย์ยังมีซาลาเปาขายควบคู่ไปด้วย ซึ่งซาลาเปาจะมี 2 ไส้คือ ไส้หมูสับและไส้ถั่วดำ

ส่วนขนมจีบ ราคาขายชุดเล็ก 12 ลูก 30 บาท และชุดใหญ่ 20 ลูก 50 บาท

เรื่องจุดขาย เมย์บอกว่า ไม่ต้องอะไรมาก แค่ปั้นโชว์กันสด ๆ แล้วนึ่งกันเห็น ๆ หน้าร้านเท่านั้น ซึ่งวันจันทร์, พุธ, พฤหัสฯ จะขายที่ตลาดนัดตอนเย็นหน้าองค์การโทรศัพท์ จ.พระนครศรีอยุธยา วันอังคาร, วันศุกร์ ตลาดนัดเย็นที่ศูนย์กีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต และวันศุกร์เช้ายังขายที่กรมประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วย

ใครสนใจ “ขนมจีบแป้งสด” เจ้านี้ ต้องการติดต่อคุณเมย์ ติดต่อได้โดยตรงที่ โทร. 08-5223-9988 ซึ่งการใช้ขนมจีบแป้งสดเป็น “ช่องทางทำกิน” นี้ ก็เป็นอีกกรณีศึกษาการทำอาชีพค้าขายอาหารที่มีจุดต่าง ที่ดึงลูกค้าได้เป็นอย่างดี.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=516&contentId=156962

Friday, August 12, 2011

แนะนำอาชีพ 'นาฬิกาแฮนด์เมด'

การนำความรู้ด้านศิลปะมาสร้างสรรค์ทำเป็นชิ้นงาน ทำให้สินค้าทั่ว ๆ ไปดูมีคุณค่ามากขึ้น เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างจุดเด่นให้สินค้าดึงดูดความสนใจจากลูกค้าได้เป็นอย่างดี อย่างการทำ ’นาฬิกาแฮนด์เมด“ ที่นำรูปรถเก่าคลาสสิก รูปต่าง ๆ มาสร้างชิ้นงาน นี่ก็ทำให้งานดูเด่น มีจุดขาย เป็นอีกกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าพิจารณา...

กอล์ฟ-จักรกฤษณ์ อิสรา ซึ่งทำชิ้นงานดังกล่าวนี้ เล่าว่า ตนนั้นเรียนมาทางด้านประติมากรรม หลังเรียนจบก็ทำงานด้านที่เรียนมาโดยตรงก็คือรับปั้นขึ้นรูป ซึ่งปัจจุบันก็ยังทำอยู่ แต่รับเป็นฟรีแลนซ์ และก็ทำงานแฮนด์เมดขายด้วยโดยทำมาได้ราว 2 ปีแล้ว ซึ่งช่วงแรกนั้นทำเป็นพวกกล่องใส่จดหมายที่เป็นรูปรถเก่าคลาสสิก ก่อนที่จะมาทำ นาฬิกา

การที่หันมาทำงานแฮนด์เมด เริ่มมาจากการที่ได้มาขายของอยู่กับเพื่อน โดยเริ่มทำเป็นกล่องใส่จดหมายรูปรถเก่า เป็น งานไม้ เพราะเนื่องจากเป็นคนที่ชอบพวกรถเก่าคลาสสิกอยู่แล้ว และจากการที่เรียนมาทางด้านประติมากรรม ทำให้มองเห็นรูปทรงได้ง่าย จึงคิดว่าถ้านำ รูปรถเก่าคลาสสิก มาประยุกต์ทำเป็นกล่องใส่จดหมาย น่าจะทำได้

หลังจากได้ไอเดียก็เริ่มทดลองออกแบบ แรก ๆ ก็จะมีปัญหาในเรื่องของการลงสี เพราะไม่ถนัด เนื่องจากเรียนมาทางด้านปั้นมากกว่า แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินฝึกฝน ก็ทดลองทำบ่อย ๆ ฝึกฝีมือเยอะ ๆ จนเริ่มชำนาญและทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ และการที่เลือกใช้ไม้ทำก็เพราะว่าเป็นงานที่ทำง่าย ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ทุนต่ำกว่าทำงานปั้น

จากที่ทำกล่องจดหมายขายอยู่ประมาณ 1 ปี ก็เริ่มทำงานนาฬิกา ซึ่งทำรูปแบบได้หลากหลาย โดยใช้ภาพรถเก่าคลาสสิก และก็จะมีรูปแบบอื่น ๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น รูปอาหารต่าง ๆ รูปสัตว์ รูปผลไม้ และอีกหลากหลาย

“ส่วนใหญ่งานที่ทำออกมาจะเป็นงานชิ้นเดียว อันเดียว”

วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานนี้ หลัก ๆ ก็มี... ไม้เอ็มดีเอฟ หนาประมาณ 10 มิลลิเมตร, เลื่อยฉลุไฟฟ้า, สีอะคริลิก, เครื่องนาฬิกา, สว่าน, กระดาษทราย, พู่กัน, ดินสอ เป็นต้น

ไม้เอ็มดีเอฟก็จะเป็นลักษณะไม้อัด กอล์ฟบอกว่าที่เลือกใช้ก็เพราะเป็นไม้ที่มีคุณสมบัติที่เบา นำมาทำเป็นชิ้นงานง่าย ที่สำคัญมีราคาที่ไม่สูง แต่ถ้าทำเป็นกล่องใส่จดหมายจะใช้เป็นไม้ประเภทอื่นที่เหมาะสมกว่า

ขั้นตอนการทำ…เริ่มจากการเลือกแบบที่ต้องการจะทำเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ตัดไม้เอ็มดีเอฟให้ได้ขนาดประมาณที่จะทำตามแบบที่เลือกไว้ แล้วก็ใช้ดินสอทำการวาดแบบที่ต้องการลงบนแผ่นไม้ที่เตรียมไว้ได้เลย หลังจากที่วาดแบบลงบนไม้เรียบร้อยก็นำไปตัดตามแบบที่วาดไว้ด้วยเลื่อยฉลุ ไฟฟ้า

หลังจากตัดเสร็จแล้วก็จะได้รูปทรงตามที่ต้องการ จากนั้นก็ใช้สว่านเจาะรูสำหรับใส่เครื่องนาฬิกา ตรงตำแหน่งที่กำหนดไว้ เสร็จแล้วก็ใช้กระดาษทรายทำการขัดตามขอบเพื่อลบคมของแบบให้เรียบร้อย ขัดเสร็จก็ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดเอาผงฝุ่นออกให้หมด

ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการลงสี เริ่มจากการลงสีพื้นก่อนเป็นอันดับแรก โดยสีพื้นจะใช้สีขาวใช้เป็นสีน้ำพลาสติก (ที่ต้องลงสีพื้นก่อนก็เพราะว่าไม้จะดูดสี ถ้าไม่ลงสีพื้นก่อนเวลาลงสีจริงจะทำให้ต้องใช้สีเยอะ ทำให้เปลืองสี) เมื่อลงสีพื้นเรียบร้อยก็รอจนสีแห้งสนิท จากนั้นก็เริ่มลงสีตามแบบที่จะทำโดยใช้เป็นสีอะคริลิก การลงสีนั้นก็ต้องใช้ความชำนาญมากหน่อย เพราะต้องให้งานออกมาสวยงามที่สุด

เมื่อลงสีเสร็จเรียบ ร้อยก็รอให้สีแห้ง จากนั้นจะลงแล็กเกอร์หรือไม่ลงก็ได้ สุดแท้แต่จุดสำคัญคือนำเครื่องนาฬิกามาประกอบเข้าไป ติดเข็มให้เรียบร้อย ซึ่งเข็มนาฬิกานั้นถ้าจะให้สวยและเข้ากับแบบที่ออกแบบไว้ก็ให้หาวัสดุอื่น ๆ มาทำขึ้นเอง เพื่อให้ได้ความสวยงามที่เข้ากัน สุดท้ายก็ติดตัวแขวนสำหรับแขวนนาฬิกาที่ทำขึ้น ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

นาฬิกาแฮนด์เมดของกอล์ฟมีหลายแบบ ทั้งรูปรถเก่าคลาสสิก อาหาร ขนม ฯลฯ โดยมีราคาขายตั้งแต่ 199-350 บาท ขึ้นอยู่กับรูปแบบ ขนาด ความยากง่ายของชิ้นงาน และกอล์ฟก็ยังคงทำกล่องใส่จดหมายรูปรถคลาสสิกขายด้วย

กอล์ฟทำ “นาฬิกาแฮนด์เมด” ขายอยู่ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร 2 มีน บุรี ที่ร้าน “ล้านนาฬิกา” อยู่โครงการ 2 ล็อก 136 เปิดเสาร์-อาทิตย์ 10.00-16.00 น. โทร. 08-7096-1256 และก็ยังรับสั่งทำตามออร์เดอร์ด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีตัวอย่าง ’ช่องทางทำกิน“ จากงานกลุ่ม ’แฮนด์เมด“.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=498&contentId=156794

Saturday, August 6, 2011

แนะนำอาชีพ ‘เกสรลำเจียก’

เกสรลำเจียก ขนมไทยแท้ ๆ อีกอย่างที่ปัจจุบันหาทานยาก ไม่ค่อยเห็นตามท้องตลาดทั่วไป คือ “ขนมเกสรลำเจียก” ซึ่งมีลักษณะเป็นกลีบ ๆ หลากสี ประกอบไปด้วยมะพร้าว น้ำตาล แป้ง ซึ่งขนมไทย ๆ ที่ปัจจุบันหาทานได้ไม่ง่าย มีแหล่งที่ทำขายไม่กี่แหล่งนั้น ในยุคนี้บางทีอาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี สำหรับคนที่พอจะมีฝีมือทางด้านการทำขนม...

.....................................

ผศ.อภิญญา มานะโรจน์ อาจารย์สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ได้ให้ข้อมูลในงานนิทรรศการ “๗๔ ปีโชติเวชสร้างสรรค์ไทย คหกรรมศาสตร์ก้าวไกลสู่สากล” เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า “ขนมเกสรลำเจียก” เป็นขนมไทยอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งตนได้เรียนรู้มาจากคุณยายของเพื่อนที่เป็นคนอ่างทอง และคนอ่างทองก็จะบอกเสมอว่า ขนมนี้เกิดในอ่างทอง เท็จจริงประการใดไม่ทราบแน่ชัด แต่เท่าที่ตัวเองได้เรียนรู้มา และมีโอกาสได้เห็น คือ ขนมชนิดนี้จะเห็นในอ่างทอง แต่ในท้องตลาดทั่วไปจะไม่เห็น

ที่ไม่ค่อยมีทั่วไป สาเหตุอาจเพราะเป็นขนมที่ทำยาก และถ้าเก็บไม่ดีก็จะเจอปัญหาคือขนมมันแข็ง ดังนั้นจึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่ค่อยมีคนทำขาย แต่ถ้ามีคนทำขาย ก็มีคนซื้อ เพราะไม่หวานเกินไป และไม่กรอบเกินไป

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำขนมเกสรลำเจียก ได้แก่ กระทะทองเหลือง ไม้พาย ช้อน เตาไฟ ถ่าน แต่ในการทำเกสรลำเจียกประเภทร่อน ก็จะมีอุปกรณ์เพิ่มขึ้นอีก 2 ชิ้น คือ กระทะเหล็ก และแร่งร่อนแป้ง

สำหรับสูตรขนมเกสรลำเจียกที่จะดูกันวันนี้ สูตรแรกเป็นสูตรของ อาจารย์วไลภรณ์ สุทธา อาจารย์สาขาเดียวกัน โดย ผศ.อภิญญาเป็นผู้เล่าแทน ซึ่งที่ต้องใช้ก็มี มะพร้าวขูดขาว 500 กรัม, น้ำตาลทราย 250 กรัม, น้ำเปล่า พ ถ้วย

ในส่วนของมะพร้าวที่ใช้ในการทำขนม จะใช้มะพร้าวทึนทึกที่ไม่แก่มาก ซึ่งจะมีความนุ่ม การทำก็นำน้ำตาลทรายมาบีบขยำกับมะพร้าวให้เข้ากัน เพื่อต้องการให้มะพร้าวมีความนุ่มนวล เมื่อน้ำตาลละลายแล้วจะทำให้สองส่วนนี้เข้ากัน ถ้าไม่บีบมะพร้าวให้มะพร้าวนุ่มพร้อมน้ำตาล ปัญหาที่ตามมาคือ เวลาทานจะรู้สึกว่ามะพร้าวแข็งกระด้าง

จากนั้นก็เอาผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ พ ถ้วย นำไปใส่กระทะทองตั้งไฟ โดยวิธีการคือ เอาผงวุ้นโรยลงไปในน้ำ ทิ้งไว้สักครู่ให้ผงวุ้นจับน้ำ รอให้ผงวุ้นอิ่มตัวเลยน้ำขึ้นมานิดหน่อย จึงค่อยเอาไปตั้งไฟอ่อน ๆ และคนให้วุ้นละลาย พอวุ้นละลายแล้วให้ใส่ส่วนของมะพร้าวที่คลุกน้ำตาลเตรียมไว้ คนให้เข้ากันจนรู้สึกว่าสามารถปั้นเป็นก้อนได้ คือไม่แห้งและไม่แฉะเกินไป แล้วเติมสีผสมอาหารตามใจชอบ แต่ลักษณะของขนมไทยต้องเป็นสีอ่อน ๆ หวาน ๆ ไม่เข้มเกินไป ให้สีดูน่าทาน แล้วจะทำให้มีความรู้สึกหวานหอม ถ้าสีสวย กลิ่นดี รสชาติหวานหน่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกหอมหวาน ส่วนเวลาปั้นขนม จะใช้ช้อน 2 คัน โดยคันหนึ่งตักเนื้อขนมพอประมาณ แล้วจากนั้นจะใช้มุมช้อน 2 คัน โดยเอาส่วนด้านข้างของช้อนมาตักไปตักมาจนเกิดเป็นเหลี่ยม ส่วนขนาดขนมที่ตักขึ้นมาก็แล้วแต่ว่าเราจะต้องการขนาดใด แล้วก็กรองออก การตักไปตักมาด้วยปลายช้อนเราเรียกว่ากรอง ทำจนได้ขนมที่มีลักษณะรี ๆ คล้ายลูกรักบี้ เกิดสันมุม 3 สัน

ต่อไปเป็นสูตร “ขนมเกสรลำเจียกแบบร่อนแป้ง” ซึ่ง ผศ.อภิญญาเป็นผู้ให้สูตร ส่วนผสมตัวแป้ง มีแป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย, หัวกะทิ ผ ถ้วย และเกลือไทยป่น ผ ถ้วย ส่วนไส้ขนมมีมะพร้าวทึนทึกขูดด้วยกระต่ายจีน 1 ถ้วย, น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย, แป้งข้าวเหนียว 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ ผสมน้ำตาล มะพร้าว บีบนวดให้มะพร้าวนุ่ม ใส่ลงกระทะทองกวนจนแห้ง จากนั้นให้ละลายแป้งข้าวเหนียวและน้ำเปล่าเทลงในส่วนผสมไส้ กวนต่อไปจนไส้จับตัวกัน ยกลงพักไว้ให้เย็น เมื่อเย็นแล้วปั้นส่วนไส้ขนมเป็นก้อนยาวประมาณ 3 นิ้ว อบด้วยควันเทียนดอกมะลิให้หอม

ส่วนตัวแป้ง นวดแป้งข้าวเหนียวด้วยหัวกะทิให้นุ่ม แล้วนำแป้งที่ผสมแล้วใส่แร่งร่อนแป้ง ร่อนในกระทะก้นแบน โดยใช้ไฟอ่อน ๆ ใส่ไส้บนแผ่นแป้ง และใช้เหล็กแซะขนมพับแป้งให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม หรือกลมก็ได้ ตามใจชอบ ส่วนผงแป้งที่เหลือก็สามารถนำไปทำ ขนมขี้มอด ได้

ขนม เกสรลำเจียก” นี้ จะขายอยู่ที่ราคา 25-30 บาท ต่อ 6-8 ชิ้น เมื่อก่อนต้นทุนไม่มาก แต่ปัจจุบันมะพร้าวแพง ต้นทุนจึงสูงขึ้น ซึ่งจากราคาขาย 25-30 บาท จะมีต้นทุนประมาณ 15-20 บาท แล้ววัตถุดิบ

.............................

สนใจเรื่อง “ขนมเกสรลำเจียก” ต้องการติดต่อ ผศ.อภิญญา มานะโรจน์ ติดต่อไปได้ที่คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร โทร.0-2281-2854 ต่อ 5201-3 ในวันและเวลาราชการ

----------------------

คู่มือลงทุน...ขนมเกสรลำเจียก

ทุนอุปกรณ์ 5,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ 15-20 บาท ต่อ 6-8 ชิ้น

รายได้ 25-30 บาท ต่อ 6-8 ชิ้น

แรงงาน 1 คนขึ้นไป

ตลาด ย่านอาหาร, ร้านขนมไทย

จุดน่าสนใจ ปัจจุบันมีคนทำขายไม่มาก

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=155546
เกสรลำเจียก

Friday, August 5, 2011

แนะนำอาชีพ 'พวงมาลัยโครเชต์สื่อรัก'

แนะนำอาชีพ 'พวงมาลัยโครเชต์สื่อรัก'
จากกรณีที่คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ซึ่งเป็นคอลัมน์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสังคมไทย ส่งเสริมการประกอบอาชีพของคนไทย โดยมิได้มีการคิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ได้นำเสนออาชีพ “พวงมาลัยโครเชต์” ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ภายหลังจึงทราบว่าชิ้นงานลักษณะนี้ ’มีลิขสิทธิ์“ โดยเจ้าของลิขสิทธิ์คือ “คุณสุภารัตน์ ซื่อตรง” ซึ่งทางทีมงานคอลัมน์ฯก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้อีกครั้งที่นำเสนอเรื่องนี้ไปโดยมิได้เป็นการสัมภาษณ์คุณสุภารัตน์ เนื่องจากไม่ทราบข้อเท็จจริง ทั้งนี้ โดยจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อมวลชนเมื่อทราบข้อเท็จจริงทางทีมงานฯได้รีบติดต่อ คุณสุภารัตน์เพื่อขออภัย และขอข้อมูลเพื่อนำเสนอสู่สาธารณะโดยเร็วที่สุด ซึ่งทาง คุณสุภารัตน์ ซื่อตรง ก็ได้กรุณาให้ข้อมูลกับทางทีมงานฯมานำเสนอ ดังต่อไปนี้...

คุณสุภารัตน์ ซื่อตรง เปิดเผยกับทีม “ช่องทางทำกิน” ว่า เริ่มสร้างสรรค์ชิ้นงานในลักษณะของมาลัยโครเชต์มาตั้งแต่ปี 2545 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการที่ได้ติดตามข่าวพระราชสำนัก และรู้สึกชื่นชมกับรูปแบบพวงมาลัยที่ประชาชนทูลเกล้าฯถวาย ซึ่งในความรู้สึกของตนคิดว่าสวยมาก และเกิดความคิดว่าน่าจะสามารถนำงานถักโครเชต์มาสร้างสรรค์เป็นพวงมาลัยได้ เหมือนกับการทำงานพวงมาลัยดอกไม้สด โดยงานมาลัยโครเชต์นั้นมีข้อดีคือสามารถเก็บไว้ได้นาน โดยไม่เหี่ยวเฉาเหมือนพวงมาลัยดอกไม้สด ซึ่งหลังจากคิดประดิษฐ์ชิ้นงานในรูปแบบเฉพาะของตนขึ้นมา ก็ได้ทำการยื่นขอจดลิขสิทธิ์โดยใช้ชื่อว่า แนะนำอาชีพ 'พวงมาลัยโครเชต์สื่อรัก'

ในเดือน พ.ค. 2549 ตนได้มีโอกาสนำมาลัยถักโครเชต์ที่ประดิษฐ์ขึ้น ทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งทรงรับสั่งว่าอยากให้อนุรักษ์งานนี้ไว้ หลังจากนั้นในเดือน ก.ค.ปีเดียวกัน มีการประกวดโอทอป ตนจึงได้นำมาลัยถักโครเชต์ส่งเข้าประกวดโอทอประดับประเทศ ซึ่งได้รับรางวัลโอทอป 3 ดาว และได้รับรางวัลอื่น ๆ อีกหลายรางวัล อาทิ รางวัลแทนคุณแผ่นดิน รางวัลอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย รางวัลภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น

“สำหรับลายที่ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯถวายนั้น เราจะไม่มีการผลิตทั่วไป แม้จะมีคนสนใจอยากจะให้เราผลิต แต่เราก็ไม่ทำ เพราะถือว่าเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของเรา และครั้งหนึ่งได้เคยมีความคิดที่จะทูลเกล้าฯถวายลิขสิทธิ์แด่พระองค์ท่าน แต่พระองค์ท่านทรงเห็นว่าเราทำเป็นอาชีพ ทรงมีหนังสือแจ้งกลับมาว่าไม่ขอรับ แต่อยากให้เราอนุรักษ์และช่วยเผยแพร่ให้งานชิ้นนี้ยั่งยืนต่อไปนาน ๆ” คุณสุภารัตน์ เจ้าของลิขสิทธิ์ แนะนำอาชีพ 'พวงมาลัยโครเชต์สื่อรัก' กล่าว

พร้อมทั้งบอกอีกว่า... จุดเด่นของมาลัยถักโครเชต์สื่อรัก อยู่ที่ความคงทน และยังทำให้มีกลิ่นหอมของมะลิได้ ซึ่งงานที่สร้างสรรค์ขึ้นจะใช้สำลีเป็นองค์ประกอบในการยัดไว้ในตัวมาลัย เพื่อให้เป็นรูปทรงที่สวยงาม จะไม่ใช้เส้นใยโพลีเอสเตอร์เพราะซักไม่กี่ครั้งก็จะเสียรูปทรง โดยสำหรับกลิ่นมะลินั้น จะทำการฉีดไว้ที่สำลี โดยฉีดก่อนจะที่นำสำลียัดในมาลัย

ทั้งนี้ ชิ้นงานที่ทางคุณสุภารัตน์สร้างสรรค์ขึ้นนั้น โดย ทั่วไปจะมีอยู่ 3 ขนาด คือ เล็ก กลาง ใหญ่ และก็จะมีทั้ง มาลัยแบบกลมธรรมดา, มาลัยแขวนหน้ารถ, มาลัยถวายพระ, มาลัยสองชาย, มาลัยช่อดอกกุหลาบ ฯลฯ ซึ่งรูปแบบนั้นก็กล่าวได้ว่ามาลัยดอกไม้สดมีรูปแบบใด มาลัยถักโครเชต์ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยมาลัยถักโครเชต์ที่คุณสุภารัตน์สร้างสรรค์ขึ้นนี้ ปัจจุบันราคาจำหน่ายมีตั้งแต่ชิ้นละ 120 บาท ถึง 3,000 บาท หรือขึ้นอยู่กับขนาด รูปแบบชิ้นงาน

“งานตัวนี้จะไม่เหมือนงานโครเชต์ทั่วไป เพราะสำหรับงานถักโครเชต์นั้นรูปแบบมักจะหมุนย้อนไปมา แต่งานของเราจะมีการพลิกแพลงและคิดลายใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งจะถักยากกว่า” คุณสุภารัตน์กล่าวนอกจากผลิตชิ้นงานเพี่อจำหน่ายแล้ว คุณสุภารัตน์ ซื่อตรง ยังเจียดเวลาเพื่อการสอน เป็นวิทยากรให้ความรู้เกี่ยวกับการถักมาลัยโครเชต์ให้กับผู้ที่สนใจด้วย โดยคุณสุภารัตน์นั้นอยู่ที่ จ.จันทบุรี ผู้ที่สนใจไปขอเรียนรู้ก็จะสอนให้โดยไม่คิดค่าสอน มีเพียงค่าวัสดุอุปกรณ์ และหากผู้ที่สนใจอยู่ไกลก็จะให้มีการรวมกลุ่มกันประมาณ 15-20 คน เมื่อมีเวลาคุณสุภารัตน์ก็จะไปสอนให้โดยไม่คิดค่าสอนเช่นกัน มีเพียงค่าเดินทาง-ค่าที่พักตามความเหมาะสม และค่าวัสดุอุปกรณ์

และหากผู้สนใจได้ฝึกหัดทำแล้วสนใจที่จะนำไปทำเป็นอาชีพ ก็จะต้องมีการติดต่อเพื่อขออนุญาตจาก คุณสุภารัตน์ ซื่อตรง โดยหากคุณสุภารัตน์พิจารณาแล้วเห็นว่าเหมาะสม ก็จะออกใบคุ้มครองในการจำหน่ายสินค้าให้ โดยผู้ที่จะนำไปทำเป็นอาชีพเสียค่าใช้จ่ายเรื่องใบคุ้มครองฯดังกล่าวนี้ เพียง 1,200 บาทต่อปี“เราจะพิจารณาปีต่อปี เนื่องจากบางคนช่วงแรกก็สนใจอยากทำเป็นอาชีพ แต่ต่อมาเกิดเบื่อหรือไม่อยากทำแล้ว เพราะงานนี้เป็นงานฝีมือที่ค่อนข้างยากและใช้เวลา ซึ่งคนที่จะทำได้ดีต้องรัก และทุ่มเท” คุณสุภารัตน์กล่าว พร้อมทั้งบอกว่า ที่มีการกำหนดเงื่อนไข มีเรื่องใบคุ้มครองนี้ อยากอธิบายว่า ไม่เคยมีความคิดอยากจะฟ้องร้องใคร แต่ต้องดูแลและพยายามรักษางานนี้ไว้ให้ดี เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติอย่างดีที่สุด ตามที่ได้เล่าไว้แต่ต้น “ความจริงเราก็เคยมีความคิดอยากจะเลิกทำหลายครั้ง ยิ่งในช่วงที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม สินค้าเสียหายและเป็นหนี้ธนาคารมากมาย แต่ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ดีที่สุด และโชคดีที่มีผู้ใหญ่ที่เคารพเข้ามาให้ความช่วยเหลือเพราะไม่อยากให้งานของ เราล้ม เราจึงมีกำลังใจสู้ต่อขึ้นมาได้” คุณสุภารัตน์ เจ้าของลิขสิทธิ์ ’มาลัยถักโครเชต์สื่อรัก“ กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบัน คุณสุภารัตน์ ซื่อตรง ยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ชิ้นงานที่ “มีคุณค่า” นี้อยู่ที่จันทบุรี อยู่เลขที่ 64 หมู่ 4 ต.จันทนิมิต อ.เมือง จ.จันทบุรี 22000 โทร. 08-1004-4921, 08-6109-2827 และเรื่องราวของชิ้นงานของคุณสุภารัตน์นี้ยังมีการจัดทำเป็น หนังสือมาลัยโครเชต์สื่อรัก ซึ่งผู้ที่สนใจในส่วนของหนังสือ ติดต่อสอบถามได้ที่ โทร. 08-7008-5735.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=497&contentId=155325
แนะนำอาชีพ 'พวงมาลัยโครเชต์สื่อรัก'

Sunday, July 31, 2011

แนะนำอาชีพ 'เส้นบะหมี่ไข่'

ปัจจุบันอาหารจานเส้นเข้ามามีบทบาทกลายเป็นอาหารจานหลักของคนไทยทั่วไป มีคนหันมาทำอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งก็เปิดช่องว่างอาชีพผลิตวัตถุดิบองค์ประกอบในการขายก๋วยเตี๋ยวให้กว้าง ขึ้น และวันนี้ทางทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำ “เส้นบะหมี่ไข่” ขาย ซึ่งหาตลาดขายได้ไม่ยาก มาให้ลองพิจารณากัน...

สุปรีชา หงส์สวาสดิวัฒน์ หรือ “อากู๋ชา” เจ้าของสูตร “บะหมี่ไข่” และเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวที่ จ.ราชบุรี เล่าให้ฟังว่า สู้ชีวิตมานาน กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ก็ผ่านอะไรมามากมาย และเปลี่ยนอาชีพมาหลากหลายอาชีพ เริ่มตั้งแต่ช่วงเป็นวัยรุ่นก็รับจ้างปั้นโอ่ง ทำอยู่นานหลายปีก็เบื่ออาชีพลูกจ้าง จึงขยับขึ้นมาขายโอ่งแทน แต่อาชีพนี้ก็มีค่าใช้จ่ายมาก ทั้งค่าขนส่ง ค่าน้ำมัน และค่าใช้จ่ายจิปาถะ จึงเปลี่ยนเป็นประกอบอาชีพค้าขายอย่างอื่น อาทิ ฟูก ที่นอน แต่ก็ทำได้ไม่เวิร์ก เลยเปลี่ยนเป็นขายของกินตามตลาดนัด อย่าง ปลาทู หอยแมลงภู่ กุ้ง เรียกว่าขายสารพัดอย่างที่มีกำไรเลี้ยงครอบครัว

“แล้วต่อมาก็ขายผลไม้ ทำประมาณ 2 ปีก็ยังไม่ดีขึ้น ไม่เหลือเงินเก็บ สุดท้ายพี่สาวก็เลยบอกให้ลองขายก๋วยเตี๋ยวดู ผมก็โอเคเลย เพราะมีคนสอนวิธีทำให้ ขายก๋วยเตี๋ยวได้ระยะหนึ่งก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณ 3 ปีก็หันมาทำลูกชิ้นเอง เพราะแต่ละวันเราใช้ลูกชิ้นเยอะ ก็ต้องเอาต้นทุนไปลงค่าลูกชิ้นวันหนึ่งเกือบ 2 ใน 3 ของรายได้ พอทำลูกชิ้นเอง ก๋วยเตี๋ยวยิ่งขายดีกว่าเดิม ต่อมาก็ทำบะหมี่และเกี๊ยวเองเพิ่มเติม โดยเรียนจากผู้ที่เคยทำอาชีพนี้มาก่อนแล้ว ซึ่งสูตรทุกอย่างที่ได้มา จะนำมาปรับให้เป็นสูตรของตัวเอง” เจ้าของช่องทางทำกินรายนี้เล่า

นอกจากขายก๋วยเตี๋ยวแล้ว อากู๋ชายังทำลูกชิ้นหมูขายด้วย ในราคาขายปลีกกิโลกรัมละ 120 บาท และขายส่งกิโลกรัมละ 100 บาท

สำหรับการทำ “เส้นบะหมี่ไข่” นั้น อุปกรณ์ในการทำหลัก ๆ ก็มี เครื่องนวด, เครื่องกระแทกอัดแน่น, เครื่องรีด นอกนั้นก็จะเป็นอุปกรณ์ครัวเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ

ส่วนผสม/วัตถุดิบการทำ “เส้นบะหมี่ไข่” หลัก ๆ ก็มี แป้งสาลี, โซเดียมคาร์บอเนต, ไข่ไก่, เกลือป่น, น้ำสะอาด และแป้งนวลที่ใช้สำหรับโรยบะหมี่

ขั้นตอนการทำ “เส้นบะหมี่ไข่” เริ่มจากนำแป้งสาลีมาร่อน 3-4 ครั้งเพื่อให้แป้งเบา ตั้งพักไว้ในอ่างผสม ทำเป็นบ่อตรงกลางแป้ง ละลายเกลือป่นและโซเดียมคาร์บอเนตในน้ำสะอาด ตอกไข่ไก่ใส่ตามลงไป ตีให้เข้ากัน เสร็จแล้วเทลงไปผสมกับแป้งสาลี ทำการนวดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี นำเข้าเครื่องกระแทกแป้งให้แน่น เสร็จเอาผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาด ๆ คลุมปิดไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง (ในขั้นตอนนี้หากไม่มีเครื่องนวดและเครื่องกระแทกแป้ง ก็ใช้มือนวดไปเรื่อย ๆ ขณะนวดก็ทุ่มน้ำหนักมือไปที่แป้ง นวดจนแป้งเหนียวนุ่ม มีความยืดหยุ่น เด้ง ๆ ดีแล้วก็พักไว้)

ต่อไปเป็นขั้นตอนการรีดแป้งเป็นแผ่น โดยโรยแป้งนวลลงบนกระบะที่จะรีดแผ่นแป้งเตรียมไว้ จากนั้นนำส่วนผสมแป้งที่ได้มาเข้าเครื่องรีด ทำการรีดทับให้เป็นแผ่นยาว ไล่จากหนาไปหาบางตามความต้องการ เสร็จแล้วนำแป้งนวลมาโรยเส้นบะหมี่ที่ได้ แล้วจับให้เป็นก้อนด้วยมือ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย สำหรับจุดเด่นของเส้นบะหมี่ไข่เจ้านี้นั้น อากู๋ชาบอกว่า อยู่ที่ความเหนียว นุ่ม ยืดหยุ่น และก้อนใหญ่ โดยแต่ละก้อนน้ำหนักอยู่ที่ 100 กรัม หรือเท่ากับ 2 ก้อนของบะหมี่ที่วางขายตามตลาดทั่ว ๆ ไป การเก็บรักษา ควรเก็บไว้ในตู้เย็น ซึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 3-4 วัน หากเก็บไว้นานไปเมื่อนำไปใช้เส้นจะเละ

ใครสนใจ “เส้นบะหมี่ไข่” และลูกชิ้น ของอากู๋ชา ก็ต้องไปที่ร้าน ปรีชาลูกชิ้นหมู ปรีชาบะหมี่เกี๊ยว เลขที่ 73/2 หมู่ 10 ต.เจดีย์หัก อ.เมือง จ.ราชบุรี อยู่บริเวณสามแยกเขางู ซึ่งร้านนี้ทำเงินจากการรับจัดงานนอกสถานที่ได้ด้วย โดยคนที่สนใจเรียนรู้การทำบะหมี่ แผ่นเกี๊ยว ลูกชิ้น เพื่อเป็น “ช่องทางทำกิน” ลองติดต่อสอบถามไปที่ โทร. 08-1197-5780 และ 08-1668-3998.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=525&contentId=154088