Saturday, April 28, 2012

แนะนำอาชีพ "ไอศกรีมสมุนไพร(2)"

เมื่ออาทิตย์ที่ 22 เม.ย. 2555 “ช่องทางทำกิน” ได้นำเสนอข้อมูล “ไอศกรีมสมุนไพร1” ที่ตั้งชื่อตามอัญมณี ดีต่อสุขภาพ สูตรของคณาจารย์สาขาวิชาเทคโนโลยีและการจัดการความปลอดภัยของอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ไปแล้ว 2 สูตรคือ ไพฑูรย์ (ไอศกรีมเชอร์เบท อัญชัญ ตะไคร้ สมุนไพร) และ เขียวส่อง (ไอศกรีมเชอร์เบท สะระแหน่ มะนาว) อาทิตย์ที่ 29 เม.ย.นี้มาต่ออีก 3 สูตร ตามที่แจ้งไว้ ดังนี้... ...................................................................... 3 สูตรไอศกรีมสมุนไพรวันนี้ ประกอบด้วย... บุษราคัม (ไอศกรีมกะทิสด ฟักทอง), มุกดาหาร (ไอศกรีมนมถั่วเหลือง งาดำ), ทับทิม (ไอศกรีมเชอร์เบท ลูกหม่อน) ซึ่งอุปกรณ์หลัก ๆ ที่ใช้ในการทำก็อย่างที่เคยบอกไว้แล้วคือ ถังปั่นไอศกรีม เครื่องปั่นน้ำผลไม้ และอุปกรณ์สำหรับชั่งตวง เครื่องชั่งน้ำหนัก ถ้วยตวงน้ำ ถ้วยตวงของแห้ง เป็นต้น ซึ่งที่ต้องใช้ทั้งเครื่องชั่งน้ำหนัก และถ้วยตวงควบคู่กัน ก็เพราะส่วนผสมบางอย่างต้องใช้ในปริมาณสัดส่วนที่แน่นอน ไอศกรีม บุษราคัม (ไอศกรีมกะทิสด ฟักทอง) สีเหลือง ส่วนผสมไอศกรีม 1 กก. มีฟักทองนึ่ง 130 กรัม, น้ำกะทิ 760 กรัม, น้ำตาลทรายขาว 30 กรัม, น้ำตาลปี๊บ 45 กรัม, เกลือ 1 กรัม, หางนมผง 30 กรัม, สารคงตัว 4 กรัม (อาทิ เจลาติน) และไข่แดง (ไข่ไก่เบอร์ 2) 1 ฟอง วิธีทำ คั้นมะพร้าวขูดขาวให้ได้น้ำกะทิ 760 กรัม ผสมกับน้ำตาลปี๊บ และเกลือ ตั้งไฟที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส ในอีกด้านก็ผสมหางนมผง น้ำตาลทรายขาว และสารคงตัวเข้าด้วยกัน แล้วจึงค่อย ๆ เติมลงในน้ำกะทิที่ตั้งไฟ คนจนละลายเข้ากันดี อุ่นให้ได้อุณหภูมิประมาณ 65 องศาเซลเซียส เสร็จแล้วนำเข้าเครื่องปั่น ใส่ไข่แดง ปั่นต่อด้วยความเร็วสูงสุด นาน 1 นาที เพื่อให้ส่วนผสมเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นเทใส่หม้อสแตนเลส ยกขึ้นตั้งไฟเพื่อพาสเจอร์ไรซ์ ตั้งไฟให้ได้อุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส นาน 2 นาที แล้วรีบนำไปแช่เย็นจัด บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น จากนั้นจึงนำออกมาปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมจนเป็นไอศกรีม เพิ่มเนื้อไอศกรีมด้วยเนื้อฟักทองนึ่ง จากนั้นนำเข้าแช่ช่องแข็งเพื่อบ่มอีกอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จ ต่อไปเป็นไอศกรีม มุกดาหาร (ไอศกรีมนมถั่วเหลือง งาดำ) สีเทา ส่วนผสมไอศกรีมขนาด 1 กก. ประกอบด้วย งาดำคั่ว บดหยาบ 25 กรัม, นมถั่วเหลือง รสหวาน 840 กรัม, นมผง 36 กรัม, สารคงตัว 4 กรัม (อาทิ เจลาติน) และน้ำตาลทราย 120 กรัม วิธีทำ นำนมถั่วเหลืองขึ้นตั้งไฟแบบหม้อตุ๋น คนด้วยทัพพีสแตนเลส จนได้อุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส ในอีกด้านก็เตรียมส่วนผสม (ของแห้ง) ได้แก่ นมผง สารคงตัว และน้ำตาลทราย ผสมให้ส่วนผสมกระจายตัวทั่วกันดี จากนั้นจึงเติมส่วนผสมของแห้งนี้ลงไปในนมถั่วเหลืองที่ตั้งไฟ คนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน เสร็จแล้วนำมาใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ใช้ความเร็วสูงสุดปั่นนาน 1 นาที จากนั้นนำไปพาสเจอร์ไรซ์ โดยการอุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2 นาที แล้วรีบนำไปแช่ให้เย็นจัดทันที บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น เสร็จแล้วก็นำออกมาปั่นด้วยเครื่องปั่นไอศกรีม เพิ่มเนื้อไอศกรีมด้วยงาดำคั่วบด คนให้เข้ากับไอศกรีมอย่างเบามือ แล้วนำเข้าแช่ในช่องแข็งเพื่อบ่มอีกอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จ อีกสูตรคือไอศกรีม ทับทิม (ไอศกรีมเชอร์เบท ลูกหม่อน) สีแดง ส่วนผสมไอศกรีมขนาด 1 กก. ประกอบด้วย น้ำลูกหม่อน 497 กรัม, นมสด 397 กรัม, น้ำตาลทราย 50 กรัม, น้ำผึ้ง 50 กรัม และสารคงตัว 6 กรัม (อาทิ เจลาติน) วิธีทำ ผสมน้ำผึ้งกับนมสด ตุ๋นที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ใส่สารคงตัวที่ผสมเข้ากันดีกับน้ำตาลทราย คนให้ละลาย อุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส แล้วนำขึ้นมาใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ใช้ความเร็วสูงสุดปั่น 1 นาที เสร็จแล้วนำไปพาสเจอร์ไรซ์ โดยการตุ๋นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 นาที แล้วรีบนำไปแช่ให้เย็นจัดทันที บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น จากนั้นนำออกมาผสมกับน้ำลูกหม่อนที่แช่เย็น แต่งรสเปรี้ยวเล็กน้อย สุดท้ายนำมาปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมจนเป็นไอศกรีม แล้วนำเข้าแช่ช่องแข็งเพื่อบ่มอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จ ทั้งนี้ ทางอาจารย์ที่ให้ข้อมูลมาบอกว่า ไอศกรีมตามสูตรดังกล่าวนี้ จากการใช้ส่วนผสมที่เน้นคุณค่าของสมุนไพร มีส่วนผสมของนมสดหรือผลิตภัณฑ์นมเป็นส่วนน้อย ก็ทำให้จัดเป็นกลุ่มไอศกรีมที่มีไขมันค่อนข้างต่ำ สำหรับต้นทุนวัตถุดิบในการทำไอศกรีม 2 กก. หากบรรจุถ้วยขนาด 4 ออนซ์ จะบรรจุได้ประมาณ 40 ถ้วย มีต้นทุนรวมประมาณไม่เกิน 16 บาท ส่วนราคาขายนั้นสามารถตั้งได้ที่ราคาถ้วยละ 20-25 บาท แล้วแต่ทำเลในการขาย ...................................................................... แฟน “ช่องทางทำกิน” ที่สนใจ “ไอศกรีมสมุนไพร” สูตรของสาขาวิชาเทคโนโลยีและการจัดการความปลอดภัยของอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ รศ.อรวรรณ เคหสุขเจริญ, อาจารย์อาฒยา สันตกุล, อาจารย์เบญจวรรณ สุธรรมรักษ์ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2287-9722 ในวันและเวลาราชการ สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน .................................................. คู่มือลงทุน...ไอศกรีมสมุนไพร ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 16 บาท / ถ้วย 4 ออนซ์ รายได้ 20-25 บาท / ถ้วย 4 ออนซ์ แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป ตลาด ชุมชน, สถานศึกษา, สำนักงาน จุดน่าสนใจ เพื่อสุขภาพใช้เป็นจุดขายที่ดีได้ http://www.dailynews.co.th/article/384/104194

แนะนำอาชีพ ''หมอนอิง''

จจรักและความชอบมักเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้หลายคนหันมาทุ่มเทเอาจริงเอาจังในสิ่งที่รักที่ชอบ และหลายครั้งความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังก็ยังสามารถทำให้งอกเงยเป็น ’ช่องทางทำกิน“ ได้อย่างน่าสนใจ ยิ่งกับคนช่างสังเกต รู้จักศึกษามองหาช่องว่างของตลาด โอกาสที่จะทำเงินก็ยิ่งเพิ่ม อย่างเช่นงานไอเดียช่างคิดประดิษฐ์ ’หมอนอิง“ รายนี้... “อรุณโรจน์ บุญฉลอง” เพิ่งเรียนจบมาได้ไม่นาน ซึ่งด้วยความที่เป็นคนชอบงานศิลปะกับเป็นคนช่างคิดประดิษฐ์ จึงชอบสินค้าประเภทงานฝีมือเป็นอย่างมาก ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเรียนจบแล้วอยากจะผลิตงานฝีมือของตนเองขึ้นมาทำเป็นธุรกิจ และด้วยความที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องของเทคโนโลยีไอทีด้วย จึงมองว่าปัจจุบันตลาดจำหน่ายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตหรืออีคอมเมิร์ซ น่าจะเหมาะสำหรับคนที่คิดเริ่มต้นทำธุรกิจ เนื่องจากไม่ต้องลงทุนในเรื่องของหน้าร้าน การเปิดร้านตกแต่งร้าน สามารถจะใช้รูปแบบการขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตได้เลย จึงทำให้เกิดธุรกิจ “หมอนอิง” ขึ้นโดยใช้ชื่อ “ฉลองหมอนอิง” จำหน่ายสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ http://www.chalongpillow.weloveshopping.com สาเหตุที่เลือกทำงานหมอนอิงนี้ เธอเล่าว่า ได้แรงบันดาลใจจากการเห็นของขวัญของฝากที่ขายตามท้องตลาด เลยคิดว่าเป็นสินค้าที่มีตลาดน่าสนใจ บวกกับความชื่นชอบในความน่ารักของสินค้าประเภทนี้ จึงคิดว่า “หมอนอิง” ขนาดไม่ใหญ่มาก น่าจะสามารถทำตลาดในกลุ่มของขวัญ-ของที่ระลึกได้ โดยหมอนอิงที่ผลิตขึ้น “มีจุดเด่นที่รูปแบบ” ที่เน้นไปที่การ ขายความน่ารัก ความกวนของตัวการ์ตูนต่าง ๆ อาทิ ตัวสัตว์ประหลาดหรือมอนสเตอร์ นอกจากนี้ ยังมีบริการให้ ลูกค้าสามารถที่จะใส่ข้อความไว้ด้านหลังหมอนอิงได้ เช่น ใส่ชื่อคนที่จะมอบให้, ชื่อคนรัก, วันเดือนปีเกิด เป็นต้น อีกทั้งลูกค้ายังสามารถสั่งทำหมอนอิงแบบชนิดหมอนคู่ได้อีกด้วย “เน้นขายที่ความน่ารักและความกวนของตัวการ์ตูนที่ทำขึ้น เพราะกลุ่มลูกค้าเราหลัก ๆ ก็จะเป็นกลุ่มคนวัยเดียวกัน คือกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน ซึ่งกลุ่มนี้จะชอบสินค้าที่ไม่ใหญ่เกินไปนัก และมีราคาที่ไม่สูงมาก นอกจากนี้ก็จะชอบงานที่ไม่ซ้ำใคร รวมถึงรูปแบบที่ดูแปลกตา” อรุณโรจน์กล่าว ในเรื่องช่องทางในการจำหน่ายสินค้า เจ้าตัวบอกว่า ช่องทางจำหน่ายตอนนี้ก็เน้นที่การขายชิ้นงานทางอินเทอร์เน็ต เนื่องจากมองว่าคนรุ่นใหม่ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นมาก ลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการก็น่าจะสามารถเข้ามาชมสินค้า และสามารถเข้าถึงได้ง่าย บวกกับในระยะเริ่มต้นการเปิดร้านค้าแบบออนไลน์ก็มีต้นทุนที่ต่ำกว่าเปิดร้านจริงมาก จุดอ่อนที่จะมีอยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นเรื่องของความรู้สึกลูกค้า ที่มักอยากจะลองจับหรือได้เห็นสินค้าจริง โดยปัจจุบันสินค้าที่ทำขึ้นมาขายนั้นจะยังเน้นที่การผลิตหมอนอิงเป็นหลัก แต่ในอนาคตก็อาจจะเพิ่มสินค้าประเภทอื่นเข้ามาให้มากขึ้น เพื่อทำให้เกิดความหลากหลาย เช่น หมอนรองนั่ง, หมอนรองคอ, พวงกุญแจ, ที่ห้อยโทรศัพท์ เป็นต้น ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ อรุณโรจน์ บอกว่า อยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายหลัก ๆ คือ จักรเย็บผ้าและผ้า ส่วนทุนวัสดุอยู่ที่ประมาณ 40% จากราคาขาย โดยสินค้ามีเริ่มต้นที่ 250-500 บาท หรือแล้วแต่ออร์เดอร์ที่ีลูกค้าสั่ง วัสดุอุปกรณ์ในการทำ หลัก ๆ ประกอบด้วย จักรเย็บผ้า, ผ้า สีและชนิดต่าง ๆ, วัสดุตกแต่ง เช่น กระดุม โบ ริบบิ้น ผ้าลูกไม้, เข็มกับด้าย, กรรไกร, คัตเตอร์, ใยสังเคราะห์ สำหรับยัดในหมอน ซึ่งวัตถุดิบหรือวัสดุเหล่านี้สามารถหาซื้อได้จากร้านจำหน่ายอุปกรณ์งานผ้าและงานฝีมือได้ทั่วไป ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการออกแบบรูปแบบของหมอนอิงที่จะทำ โดยใช้การวาดร่างบนกระดาษเพื่อกำหนดแบบไว้ก่อน จากนั้นนำผ้าที่เลือกไว้มาตัดขึ้นแบบตามที่ได้ออกแบบไว้ โดยอาจใช้วิธีตัดเป็นชิ้นส่วนต่าง ๆ ไว้ทีเดียวหลาย ๆ ชิ้นเพื่อประหยัดเวลาในการทำ จากนั้นนำส่วนประกอบต่าง ๆ มาเย็บเข้ามุมไว้ด้วยกันจนขึ้นรูปเป็นปลอกหมอน ลำดับถัดมาคือการตกแต่งตามจินตนาการ ตามไอเดีย ด้วยวัสดุตกแต่งที่เตรียมไว้ จากนั้นยัดใยสังเคราะห์ที่เตรียมไว้ข้างในตัวหมอนอิง ทำการเย็บปิดและตรวจเช็กความเรียบร้อย เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำงาน “ผ้าที่ใช้จะเน้นที่ลวดลายแปลก ๆ สีสันสดใส และจะเลือกใช้ผ้าเกรดดี ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนสูงหน่อย แต่ก็จะได้คุณภาพของชิ้นงานที่แข็งแรงทนทานขึ้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นและไว้ใจในสินค้า ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญมากโดยเฉพาะสำหรับการจำหน่ายสินค้าทางอินเทอร์เน็ต จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ” อรุณโรจน์กล่าว ใครสนใจชิ้นงาน ’หมอนอิง“ ของอรุณโรจน์ อยากจะดูรูปแบบสินค้าที่หลากหลาย ก็คลิกเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ที่ระบุไว้แต่ตอนต้น หรือต้องการติดต่อกับผู้ทำก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-0952-9914 หรือทางอีเมล arunrod_b@yahoo.com ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ ที่เกิดจากใจรัก-ความชอบ และการศึกษาเรื่องการตลาด ที่ก็น่าสนใจ. http://www.dailynews.co.th/article/384/103958

Saturday, April 21, 2012

แนะนำอาชีพ"ไอศกรีมสมุนไพร 1"

หน้าร้อนแบบนี้ ของหวาน ๆ เย็น ๆ ขายดี และ “ไอศกรีม” ก็เป็นหนึ่งในของหวานเย็นที่ผู้คนนิยม วันนี้ทาง “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอข้อมูล “ไอศกรีมสมุนไพร” ที่ตั้งชื่อตามอัญมณีที่มีคุณค่า สูตรของสาขาวิชาเทคโนโลยี และการจัดการความปลอดภัยของอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ โดย รศ.อรวรรณ เคหสุขเจริญ, อาจารย์อาฒยา สันตกุล, อาจารย์เบญจวรรณ สุธรรมรักษ์ ให้ลองพิจารณากัน... ......................................... ไอศกรีมสมุนไพรที่ตั้งชื่อตามอัญมณีดังกล่าวนี้ มีการจำแนกการรับประทานตามหมู่โลหิตสำหรับผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพด้วย โดยประกอบด้วยไอศกรีม 5 รส ได้แก่ ไพฑูรย์ (ไอศกรีมเชอร์เบท อัญชัญ ตะไคร้ สมุนไพร), เขียวส่อง (ไอศกรีมเชอร์เบท สะระแหน่ มะนาว), บุษราคัม (ไอศกรีมกะทิสด ฟักทอง), มุกดาหาร (ไอศกรีมนมถั่วเหลือง งาดำ), ทับทิม (ไอศกรีมเชอร์เบท ลูกหม่อน) ซึ่งทางอาจารย์ได้บอกว่า ผลิตไอศกรีมดังกล่าวนี้เนื่องจากไอศกรีมทั่วไปประกอบด้วยเนื้อ นม เนย อยากจะทำไอศกรีมไขมันต่ำ แต่มีคุณค่าทางอาหาร จึงมาลงตัวที่ไอศกรีมสมุนไพร อุปกรณ์การทำ หลัก ๆ ก็มี ถังปั่นไอศกรีม เครื่องปั่นน้ำผลไม้ และอุปกรณ์สำหรับชั่งตวง เครื่องชั่งน้ำหนัก ถ้วยตวงน้ำ ถ้วยตวงของแห้ง ซึ่งที่ต้องใช้ทั้งเครื่องชั่งน้ำและถ้วยตวง ก็เพราะส่วนผสมบางอย่างต้องใช้ในสัดส่วนที่แน่นอน สำหรับสูตรการทำไอศกรีมสมุนไพร มาดูกันที่ ไพฑูรย์ (ไอศกรีมเชอร์เบท อัญชัญ ตะไคร้ สมุนไพร) สีน้ำเงิน-ม่วง ซึ่งต้องใช้ น้ำตะไคร้สมุนไพร ซึ่งประกอบด้วยตะไคร้ (บุบพอแตก) 100 กรัม, สะระแหน่ 200 กรัม ดอกอัญชันแห้ง 100 กรัม น้ำสะอาด 2 ลิตร ทำเป็นน้ำตะไคร้สมุนไพรโดยต้มน้ำพอเดือด ปิดไฟ ใส่ตะไคร้ ดอกอัญชัญแห้ง และใบสะระแหน่ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที หรือทิ้งไว้ให้เย็น แล้วจึงกรอง พักไว้ นอกจากนี้ยังมีส่วนผสม น้ำส้มแขก ใช้ส้มแขก 20 กรัม น้ำสะอาด 500 กรัม ต้มน้ำพอเดือด ใส่ส้มแขกต้มต่อไปให้เดือดประมาณ 10 นาที ปิดไฟตั้งทิ้งไว้ให้เย็น แล้วกรอง ส่วนผสมสำหรับทำไอศกรีมไพฑูรย์ 1 กก. ใช้น้ำตะไคร้สมุนไพร 398 กรัม, น้ำส้มแขก 100 กรัม, วิปปิ้งครีม 100 กรัม, นมสด 199 กรัม, น้ำตาลทราย 199 กรัม, สารคงตัว 199 กรัม (อาทิ เจลาติน ซื้อตามร้านเคมีภัณฑ์สำหรับไอศกรีม) วิธีทำ ชั่งตวงส่วนของน้ำตาลทราย สารคงตัว (ของแห้ง) รวมกันไว้แล้วพักไว้ จากนั้นชั่งหรือตวงส่วนผสมวิปปิ้งครีม นมสด น้ำตะไคร้สมุนไพร (ของเหลว) ตามส่วน ยกเว้นน้ำส้มแขก เทลงในหม้อสแตนเลสมีด้ามจับ ตั้งไฟแบบหม้อตุ๋น คนด้วยทัพพีสแตนเลส ใช้ความร้อนที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส จากนั้นจึงเติมส่วนผสมของแห้งที่เตรียมไว้ลงไป คนให้เข้ากันจนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน ตุ๋นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 65 องศาฯ เสร็จแล้วยกลงจากเตา แล้วจึงเติมน้ำส้มแขก จากนั้นค่อย ๆ เทส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ใช้ความเร็วสูงสุดปั่นนาน 1 นาที แล้วนำไปพาสเจอร์ไรซ์โดยการตุ๋นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 80 องศาฯ นาน 2 นาที เสร็จแล้วนำไปแช่ให้เย็นจัดทันที บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น แล้วจึงนำมาปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมจนเป็นไอศกรีม นำเข้าแช่ช่องแข็งเพื่อบ่มอีกอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จขั้นตอน มีข้อสังเกตว่า นมจะเป็นลิ่มเมื่อผสมกับกรด แต่จะกระจายและละลายตัวดีเมื่อปั่นด้วยเครื่องปั่นของเหลว ดูกันต่ออีกสูตรคือ ไอศกรีมสมุนไพร เขียวส่อง (ไอศกรีมเชอร์เบท สะระแหน่ มะนาว) สีเขียว ซึ่งส่วนผสมต้องใช้น้ำสะระแหน่ เตรียมสะระแหน่ 400 กรัม น้ำสะอาด 2 ลิตร ต้มน้ำพอเดือด ปิดไฟ ใส่ใบสะระแหน่ ทิ้งไว้ 15 นาที ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วกรอง ทั้งนี้ ส่วนผสมไอศกรีมเขียวส่อง 1 กก. ก็มี น้ำสะระแหน่ 460 กรัม, น้ำมะนาว 60 กรัม, นมสด 369 กรัม, น้ำผึ้ง 60 กรัม, น้ำตาลทราย 46 กรัม และสารคงตัว 5 กรัม วิธีทำ นำน้ำผึ้งใส่ในนมสด ตั้งไฟแบบตุ๋น ที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ใส่สารคงตัวที่ผสมเข้ากันดีกับน้ำตาลทราย คนให้ละลาย อุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 65 องศาฯ เสร็จแล้วผสมกับน้ำมะนาวและน้ำสะระแหน่ จากนั้นนำลงปั่นด้วยเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ใช้ความเร็วสูงสุด ปั่น 1 นาที จึงนำไปพาสเจอร์ไรซ์โดยการอุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 80 องศาฯ 2 นาที แล้วนำไปแช่ให้เย็นจัดทันที บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น จึงแต่งรสด้วยการเติมน้ำเชื่อมและน้ำมะนาว จากนั้นก็นำไปปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมจนได้ลักษณะไอศกรีมเชอร์เบท แล้นำเข้าแช่ช่องแข็งเพื่อบ่มอีกอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จ ทั้งนี้ ทางอาจารย์ที่ให้ข้อมูลมาบอกว่า ไอศกรีมตามสูตรดังกล่าวนี้ จากการใช้ส่วนผสมที่เน้นคุณค่าของสมุนไพร มีส่วนผสมของนมสดหรือผลิตภัณฑ์นมเป็นส่วนน้อย ก็ทำให้จัดเป็นกลุ่มไอศกรีมที่มีไขมันค่อนข้างต่ำ สำหรับต้นทุนวัตถุดิบในการทำไอศกรีม 2 กก. หากบรรจุถ้วยขนาด 4 ออนซ์ จะบรรจุได้ประมาณ 40 ถ้วย มีต้นทุนรวมประมาณไม่เกิน 16 บาท ส่วนราคาขายนั้นสามารถตั้งได้ที่ราคาถ้วยละ 20-25 บาท แล้วแต่ทำเลในการขาย ......................................... ใครสนใจ “ไอศกรีมสมุนไพร” ดังที่ว่ามาข้างต้น สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ รศ.อรวรรณ เคหสุขเจริญ, อาจารย์อาฒยา สันตกุล, อาจารย์เบญจวรรณ สุธรรมรักษ์ โทร.0-2287-9722 ในวันและเวลาราชการ หรือที่ โทร.08-1485-3588 (อ.อาฒยา), 08-9529-0262 (อ.เบญจวรรณ) และในวันอาทิตย์ที่ 29 เม.ย. 2555 หน้า “ช่องทางทำกิน” ก็จะนำสูตรไอศกรีมสมุนไพรอีก 3 สูตรคือ บุษราคัม (ไอศกรีมกะทิสด ฟักทอง), มุกดาหาร (ไอศกรีมนมถั่วเหลือง งาดำ), ทับทิม (ไอศกรีมเชอร์เบท ลูกหม่อน) มานำเสนอกันต่ออีกตอน... สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน ......................................... คู่มือลงทุน...ไอศกรีมสมุนไพร ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 16 บาท / ถ้วย 4 ออนซ์ รายได้ 20-25 บาท / ถ้วย 4 ออนซ์ แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป ตลาด ชุมชน, สถานศึกษา, สำนักงาน จุดน่าสนใจ เพื่อสุขภาพใช้เป็นจุดขายที่ดีได้ http://www.dailynews.co.th/article/384/51304

Friday, April 20, 2012

แนะนำอาชีพ ‘แก้วใส่เทียนหอม’

งานฝีมือเกี่ยวกับการดัดลวด เป็นงานที่มีหลากหลายรูปแบบ แต่แม้ปัจจุบันจะมีผู้ผลิตงานประเภทนี้อยู่ไม่น้อย ก็ยังมีช่องว่างในตลาดเหลืออยู่ หากเป็นคนช่างคิดประดิษฐ์และพลิกแพลง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสร้างจุดเด่นให้สินค้าจนเป็นที่ยอมรับของลูกค้า อย่างเช่นงาน ’แก้วใส่เทียนหอมแต่งด้วยลวดดัดและคริสตัล“ ที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ นำมาบอกเล่ากันในวันนี้… ชิ้นงานดังกล่าวนี้เป็นการนำแก้วที่ใช้สำหรับใส่เทียนหอมมาต่อยอด ประดิษฐ์ตกแต่งด้วยลวดดัดและคริสตัลใส่ลงไป จากแก้วใส่เทียนธรรมดาก็ทำให้ดูสวยงามขึ้น เป็นการสร้างจุดเด่นให้สินค้า และยังเพิ่มมูลค่าให้สินค้าได้อีกด้วย เก๋-อรรถพล แสนศิริ ซึ่งนำแก้วใส่เทียนหอมมาตกแต่งด้วยลวดดัดและคริสตัล เล่าว่า ปกติจะรับทำงานตกแต่ง ออกแบบฉากรายการต่าง ๆ เป็นอาชีพหลัก แต่หลังเกิดวิกฤติการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา งานประจำที่รับทำอยู่ก็เริ่มลดน้อยลงไปอย่างมาก “งานลดลง แต่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ยังเท่าเดิม ทั้งค่าบ้าน ค่ารถ ค่าใช้จ่าย อื่น ๆ อีกมากมาย ผมจึงคิดว่าจะมาอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ต้องพยายามมองหาช่องทางที่สามารถทำเป็นรายได้เสริม จนมาจับงานลวดดัดทำเป็นสร้อยตกแต่งกับคริสตัล เพราะผมมองว่าบ้านเรานั้นยังมีงานประเภทนี้น้อยอยู่” หลังจากคิดที่จะเริ่มทำสร้อยจากลวดดัด เขาก็เริ่มศึกษาวิธีการทำอย่างจริงจัง...“ผมไม่ได้มีความรู้เรื่องการดัดลวดมาก่อน จึงต้องเริ่มศึกษาวิธีการทำ โดยผมศึกษาจากอินเทอร์เน็ต ใช้วิธีการเปิดดูวิธีทำจากยูทูบ แล้วก็ทดลองทำตาม จากนั้นผมก็จะฝึกหัดทำและดัดแปลงให้เป็นสไตล์ของผมเอง ซึ่งก็ใช้เวลาในการลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็สามารถทำออกมาได้สวยงาม เมื่อฝึกทำจนสามารถทำได้ดีแล้ว เขาก็เริ่มดัดลวดทำเป็นสร้อยแล้วตกแต่งด้วยคริสตัลรูปแบบต่าง ๆ ออกจำหน่าย แต่หลังจากที่ทำสร้อยขายอยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์ เก๋ก็เริ่มที่จะมองหาทำสินค้าแบบใหม่เพื่อให้แตกต่างไปจากตลาดที่หลายคนขายกันอยู่... “ผมคิดว่าเราต้องทำงานที่ดูแล้วแตกต่างไปจากตลาดเดิม ๆ ซึ่งลวดดัดนั้นมันน่าจะนำมาทำอะไรได้อีกเยอะ จนในที่สุดผมก็ได้ไอเดียใหม่ โดยผมได้ไปเดินดูของที่สวนจตุจักรแล้วเห็นแก้วใส่เทียนหอมที่มีรูปทรงต่าง ๆ สวยงาม อีกทั้งมีสีสันที่สวยงามด้วย จึงคิดว่าน่าจะนำมาทำการตกแต่งด้วยลวดดัดได้ จึงได้นำมาทดลองทำ โดยการนำแก้วใส่เทียนหอมมาประดิษฐ์ตกแต่งด้วยลวดดัดกับคริสตัล เมื่อทำเสร็จก็เอาไปให้เพื่อนดู ทุกคนดูแล้วก็บอกว่าน่าจะไปได้ ผมจึงเริ่มลงมือทำงานลักษณะนี้มาเรื่อย ๆ ได้กว่า 1 เดือนได้แล้ว” วัสดุอุปกรณ์ในการทำชิ้นงานแบบนี้ ก็มี...คีมม้วน,คีมบีบ, คีมตัด, ลวดอะลูมิเนียม เบอร์17, 19 (ลวดอะลูมิเนียมมีคุณสมบัติที่นิ่ม ดัดงอง่าย ไม่เป็นสนิม เหมาะที่จะนำมาทำ), ลวดสลิง (ใช้สำหรับร้อยมัดตกแต่งคริสตัลให้เป็นรูปต่าง ๆ โดยลวดสลิงนั้นมีความเหนียวทนแข็งแรง), คริสตัลรูปทรงต่าง ๆ, แก้วใส่เทียนหอม รูปทรงและสีสันต่าง ๆ สำหรับทุนเบื้องต้นของค่าอุปกรณ์ อยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท ขั้นตอนการทำ...เริ่มจากการนำคริสตัลรูปแบบรูปทรงต่าง ๆ ตามที่ต้องการ มาร้อยทำเป็นดอกไม้ โดยใช้ลวดสลิงเบอร์เล็กทำการร้อยคริสตัลรูปทรงที่ต้องการเข้ามาไว้ด้วยกัน ใช้ประมาณ 4-5 เม็ด แล้วแต่รูปทรงของคริสตัล จากนั้นก็ทำการมัดและจัดรูปทรงให้เป็นดอกไม้ มัดติดกันให้แน่น เมื่อได้ดอกไม้ที่ทำจากคริสตัลแล้ว ใช้ลวดอะลูมิเนียมทำการร้อยไปในเส้นลวดสลิงที่มัดดอกไม้ไว้ ใช้ดอกไม้จากคริสตัลประมาณ 3-4 ดอก ทำให้เป็นรูปวงกลมที่สามารถสวมด้านนอกแก้วใส่เทียนได้ เมื่อทำการร้อยดอกไม้กับลวดอะลูมิเนียมเสร็จก็นำไปใส่สวมแก้วใส่เทียนหอมที่ต้องการ โดยให้วงของดอกไม้คริสตัลที่ร้อยนั้นอยู่ประมาณกลางแก้วใส่เทียนหอม ใช้ลวดมัดยึดเกาะกับขอบแก้วกันแผงดอกไม้รูดหล่น จากนั้นก็ใช้ลวดอะลูมิเนียมมาทำการพันรอบดอกไม้ แล้วทำการดัดลวดให้เป็นลายต่าง ๆ ตามที่ต้องการ ตรงนี้เป็นการตกแต่งตามจินตนาการของคนทำ การทำนั้นจะต้องดูให้แน่นหนาเรียบร้อย ไม่หลวมไป เมื่อดัดลวดใส่ลายแล้วก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย พร้อมจำหน่าย ราคาขาย “แก้วใส่เทียนหอมตกแต่งด้วยลวดดัดและคริสตัล” มีตั้งแต่ 220-250 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของแก้ว โดยมีต้นทุนวัสดุประมาณ 50% ของราคาขาย “รูปแบบการดัดลวดในแก้วแต่ละใบนั้นจะไม่เหมือนกันทุกชิ้น เพราะเป็นงานแฮนด์เมดที่ทำขึ้นทีละชิ้น ส่วนสีสันของแก้วกับคริสตัลที่ทำดอกไม้นั้น ต้องดูให้ตัดกัน ให้ออกมาดูสวยงาม” เจ้าของผลงานกล่าว และว่า “แก้วใส่เทียนหอมตกแต่งด้วยลวดดัดและคริสตัล ของผม นอกจากจะนำไปใส่เทียนได้แล้ว ยังสามารถพลิกแพลงนำไปใส่ต้นไม้เล็ก ๆ ไว้ตกแต่งบ้าน โต๊ะทำงาน หรือที่อื่น ๆ ได้อีกด้วย” สำหรับผู้ที่สนใจ ’แก้วใส่เทียนหอมตกแต่งด้วยลวดดัดและคริสตัล“ ของเก๋-อรรถพล เขาเปิดร้านขายอยู่ที่ตลาดนัดสวนรถไฟ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ หรือเข้าไปดูงานได้ที่ www.vineandcraft.com หรือ facebook@sansiri หรือหากต้องการสั่งออร์เดอร์ก็โทรศัพท์ไปสอบถามได้ที่เบอร์ 08-1889-9978 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบ ’ช่องทางทำกิน“ จากการพลิกแพลงงานลวดดัด งานประดิษฐ์ตกแต่ง ที่ก็น่าสนใจ. http://www.dailynews.co.th/article/384/23236

Saturday, April 14, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ไส้กรอกอีสานเนื้อ’

“ไส้กรอกอีสาน” เป็นอาหารเลื่องชื่อที่ไม่เพียงนิยมเฉพาะภาคอีสานเท่านั้น หากแต่ยังได้รับความนิยมจากคนทั่วทุกภาค การทำไส้กรอกอีสานขายจึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งหากใครทำขายโดยพลิกแพลงไส้กรอกอีสานให้เป็นสูตรเฉพาะของตัวเองขึ้นมา ก็น่าจะยิ่งน่าสนใจ อย่างเช่น “ไส้กรอกเนื้อ” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

.....................................................................................

ชนิตา มินยา ซึ่งทำผลิตภัณฑ์ ไส้กรอกเนื้ออิสลาม ขาย เล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่า ความจริงแล้วเธอมีอาชีพเป็นแม่บ้าน เลี้ยงดูลูกสาวและลูกชายอยู่กับบ้าน แต่พอลูกเริ่มโตค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในบ้านก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เธอจึงเริ่มทำอาชีพเสริมเพื่อช่วยเหลือครอบครัวด้วยการขายลูกชิ้นปิ้งอยู่แถวถนนรามคำแหง กำไรจากการขายลูกชิ้นก็พอจะได้ค่ากับข้าวในแต่ละวัน ต่อมาเธอก็คิดเพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลายให้เป็นตัวเลือกให้กับลูกค้า จึงคิดจะทำไส้กรอกเนื้อขายในสไตล์อิสลาม เพราะคิดว่าน่าจะไปได้ดี เพราะไม่ค่อยมีคนทำขาย จึงได้ทดลองทำ

ในการทำนั้นก็ดัดแปลงปรับปรุงพลิกแพลงจากสูตรไส้กรอกอีสาน จนได้เป็นสูตรเฉพาะของตัวเอง แล้วให้เพื่อนบ้าน คนในครอบครัว ช่วยกันชิมและติชม จนรสชาติอยู่ตัวคงที่จึงเริ่มทำขาย ทำให้ที่ร้านมีลูกค้าเพิ่มขึ้น “เมื่อจะทำแล้วก็ต้องทำให้ ก็ทำไส้กรอกเนื้อสูตรที่ตัวเองดัดแปลงขึ้นขายมาประมาณ 2 ปีแล้ว โดยขายควบคู่ไปกับลูกชิ้นปิ้ง ขายอยู่แถวสะพานลอยที่หน้าปาก ซอยรามคำแหง 184 รายได้ก็พออยู่พอกินสำหรับครอบครัว แต่ตอนหลังมาประสบปัญหาเรื่องสถานที่ขาย ที่มักจะถูกไล่ บางวันทำของออกไปแล้วไม่มีที่ขาย ก็ไม่มีรายได้ ของก็เสียหาย จึงคิดหาช่องทางขายทางอื่น ด้วยการทำขายส่ง อาศัยว่าแม้จะกำไรน้อยหน่อย แต่ขายได้ปริมาณมากหน่อย ก็พอจะอยู่ได้ไม่เดือดร้อน นอกจากไส้กรอกเนื้อแล้ว ก็ยังมีไส้กรอกวุ้นเส้นที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย ปัจจุบันนอกจากจะทำขายเองแล้ว ก็ส่งขายที่ตลาดมีนบุรี และละแวกใกล้เคียง” ชนิตากล่าว

สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำไส้กรอก หลัก ๆ ก็มี เครื่องยัดไส้หรือเครื่องกรอกไส้, ถาด, ตาชั่ง, เตาถ่าน, หม้อ, กะละมัง, มีด, เขียง, กรรไกร, เชือกป่านหรือเชือกฝ้าย และเครื่องมือเบ็ดเตล็ดจากในครัว

ส่วนผสม “ไส้กรอกเนื้อ” ตามสูตรนั้นหลัก ๆ ก็มี เนื้อวัวอย่างดี 1ฝ กิโลกรัม, มันพื้นท้อง 2 กิโลกรัม, กระเทียม 2 กิโลกรัม, พริกไทยป่น 2 ขีด, ข้าวสุก, รากผักชีสับ, เกลือ, ไส้เทียม และสีผสมอาหารนิดหน่อย ขั้นตอนการทำ “ไส้กรอกเนื้อ” เริ่มการนำเนื้อและมันพื้นท้องมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปเข้าเครื่องบดรวมกันให้พอหยาบ ๆ ตั้งพักเตรียมไว้ จากนั้นให้นำกระเทียมมาบดทั้งเปลือกให้ละเอียด แล้วเติมข้าวสุกที่เตรียมไว้ตามลงไปในกระเทียมบด จากนั้นทำการคลุกเคล้าให้ทั่ว ก่อนจะนำไปใส่ลงในเนื้อบดที่เตรียมไว้

เติมเกลือ พริกไทย รากผักชีตามลงไป ใช้มือเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันให้ทั่ว แล้วนวดรวมกันประมาณ 15 นาที ระหว่างนวดส่วนผสมให้เหยาะสีผสมอาหารลงไปนิดหน่อย เพื่อให้มีสีสันน่ารับประทาน

เมื่อนวดส่วนผสมได้ที่แล้ว ก็นำส่วนผสมที่ได้ไปใส่ถุงพลาสติก ผูกปากให้แน่น นำไปใส่ไว้ในถังพลาสติกทิ้งไว้ 1 คืน พอเช้าก่อนจะนำไปกรอกใส่ไส้ ก็นำไส้เทียมมาล้างเอาเกลือออก แช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ไส้เทียมเกิดความยืดหยุ่น เสร็จแล้วขยำล้างไส้เทียมให้สะอาดอีกรอบ ก่อนจะนำไปใช้กรอกไส้

ขั้นตอนการกรอกไส้ นำอุปกรณ์ที่จะใช้มาเตรียมให้พร้อม มีกรรกไกร ถาด เชือกป่าน นำส่วนผสมที่ทำเตรียมไว้ใส่ลงในเครื่องยัดไส้ นำไส้เทียมใส่ตรงก๊อกเปิด-ปิดเพื่อทำการกรอกส่วนผสมลงไปในไส้ เมื่อกรอกเสร็จแล้วใช้เชือกมัดเป็นปล้องขนาดยาว 5 นิ้ว ก่อนจะนำไปตามแดด หากต้องการให้มีรสชาติเปรี้ยวน้อย ก็ตากทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ถ้าต้องการเปรี้ยวมากก็ให้ตากแดดนาน 2-3 ชั่วโมง ก่อนจะนำไปจำหน่าย ทั้งแบบปลีกและส่ง

ชนิตายังบอกอีกว่า ไส้กรอกเนื้อนี้หากนำมาย่างขายเองก็จะต้องมีเครื่องเคียงด้วย ได้แก่ กะหล่ำปลี ขิง และพริกขี้หนู ที่สำคัญคือไส้กรอกเนื้อที่ทำจะไม่ใส่สารกันบูด แต่เน้นใช้วัตถุดิบที่ใหม่ สะอาด สำหรับราคาขาย ถ้าย่างขายเองขายชิ้นละ 12 บาท ส่วนราคาขายส่งชิ้นละ 6 บาท ซึ่งทั้งสองรูปแบบเมื่อเฉลี่ยแล้วก็มีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 50% ของราคา

.....................................................................................

ใครสนใจ “ไส้กรอกเนื้อ” เจ้านี้ ต้องการไปอุดหนุน อยากลองรับประทานอาหารอีสานสไตล์อิสลามรูปแบบนี้ ก็ไปได้ที่ปากซอยรามคำแหง 184 กรุงเทพฯ หรือต้องการสั่งไปจำหน่ายต่อเป็น “ช่องทางทำกิน” อีกขั้นหนึ่ง ก็ติดต่อสอบถามกับ ชนิตา ได้ที่ โทร.08-4154-8820

http://www.dailynews.co.th/article/384/22306

แนะนำอาชีพ ‘กระดุม-ตุ้มหู’ ต่อยอด ‘เศษผ้า’ เป็นเงิน

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันวัสดุงานฝีมือมีการปรับราคาขึ้น จนผู้ผลิตงานฝีมือหลายรายต่างก็ต้องพยายามปรับตัวพลิกให้พ้นวิกฤติ หลายคนพยายามหาจุดเด่นสร้างจุดขาย หลายรายก็ใช้วิธีสร้างมูลค่าเพิ่มต่อยอดจากวัสดุเดิมที่ใช้ผลิตชิ้นงาน ถือว่าเป็นการใช้ทรัพยากรและวัตถุดิบที่มีอยู่ให้คุ้มค่าเกิดประโยชน์มากที่สุด อย่างเช่นงานประดิษฐ์ ’กระดุมผ้า-ตุ้มหูผ้า“ ที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้ นี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าพิจารณาไม่น้อย...

“การัณยภาส ทวีสุข” เล่าให้ฟังว่า นี่เป็นงานที่ต่อยอดจากสินค้าประเภทผ้า อย่างกระเป๋าเก็บพวงกุญแจที่ทำอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็สังเกตว่าในการทำกระเป๋าผ้าจะมีเศษหรือชายของผ้าเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก จึงน่าจะนำเศษผ้าเหล่านั้นมาประดิษฐ์ต่อยอดเป็นสินค้าขึ้นมาเพิ่มได้ จึงคิดไปถึงงานกระดุมและตุ้มหูผ้า เพราะเป็นสินค้าชิ้นเล็ก ไม่ต้องใช้ผ้าผืนใหญ่มาตัดขึ้นรูปงานเหมือนเช่นงานกระเป๋าที่ทำอยู่ โดยงานชิ้นนี้เริ่มทำและออกจำหน่ายมาได้ประมาณ 3-4 เดือนผ่านทาง www.facebook.com/nokllamer และ www.yeshandmade.lnwshop.com ก็ปรากฏว่าได้รับการตอบรับดี

ลูกค้าส่วนใหญ่นอกจากจะเป็นกลุ่มลูกค้าเก่าจากสินค้าตัวเดิม ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น คือกลุ่มที่ซื้อสินค้าเพื่อนำไปจำหน่ายต่อ และซื้อสินค้าเพื่อนำไปเป็นวัสดุประกอบตกแต่งชิ้นงาน โดยจุดเด่นของสินค้าก็ยังยึดถือแนวทางเดิมที่ทำอยู่ คือ เน้นโทนสีคลาสสิก กับรูปแบบตัวการ์ตูนที่ดูน่ารัก

“รูปแบบและสีสันยังเน้นไปที่ความคลาสสิก สีสันไม่ฉูดฉาดมากนัก แต่เน้นดูน่ารักสดใส ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเศษผ้าที่เหลือจากการตัดเย็บกระเป๋า แต่ก็มีบางลายที่ต้องการตัวการ์ตูนชัดเจนก็จะใช้ผ้าผืนใหม่เลย เพื่อตัดและคัดเอาแต่เฉพาะตัวการ์ตูนนั้น ๆ” ผู้ผลิตชิ้นงานกระดุมและตุ้มหูผ้ารายนี้กล่าว

สำหรับสินค้านั้น หากเป็นกระดุมผ้าจะมี 3 ขนาด เรียกตามเบอร์ของกระดุมคือ เบอร์ 20 ขนาดประมาณ 1.2 เซนติเมตร, เบอร์ 28 ขนาดประมาณ 1.8 เซนติเมตร, เบอร์ 36 ขนาดประมาณ 2.2 เซนติเมตร ส่วนตุ้มหูผ้านั้นก็เรียกเบอร์ตามขนาดกระดุมเช่นเดียวกัน โดยเมื่อทำเสร็จจะมีการบรรจุใส่ซองพลาสติกใสพร้อมจำหน่าย แบ่งเป็นชุด ๆ อาทิ กระดุมผ้า ถ้าหากเป็นเบอร์ 20 ใน 1 ซองจะมีกระดุม 6 เม็ด, เบอร์ 28 ใน 1 ซองจะมีกระดุม 5 เม็ด, เบอร์ 36 ใน 1 ซองจะมีกระดุม 4 เม็ด ส่วนตุ้มหูจะแบ่งขายเป็นคู่ ๆ อยู่แล้ว

ทุนเบื้องต้น ใช้ประมาณ 3,000 บาท หลัก ๆ เป็นค่าเครื่องมือที่จำเป็นคือ เครื่องปั๊มกระดุม โดยเครื่องปั๊มจะมีขายตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์เย็บผ้าและงานฝีมือทั่วไป มีราคาตั้งแต่ 1,300-1,500 บาท ทุนวัตถุดิบประมาณ 40% จากราคาขาย โดยกระดุมผ้าขายเป็นชุด ชุดละ 20 บาท ส่วนตุ้มหูผ้า ถ้าซื้อขั้นต่ำที่ประมาณ 50 คู่ ราคาขายคู่ละ 5-9 บาท

วัสดุอุปกรณ์ในการทำ ประกอบด้วย เครื่องปั๊มกระดุม, แป้นพิมพ์สำหรับกดกระดุม (บล็อกทองเหลือง ใช้ 1 เบอร์ต่อ 1 บล็อก), ผ้าหรือเศษผ้า, อะไหล่กระดุมสังกะสี (เม็ดกระดุมด้านใน), ขากระดุม (เป็นเม็ดกระดุมพันด้ายสำหรับเป็นด้านหลังกระดุม), แป้นตุ้มหู, กรรไกร และกาวอเนกประสงค์ (กาวใสไร้คราบ)

ขั้นตอนการทำ วิธีปั๊มกระดุมผ้าและตุ้มหูผ้ามีวิธีการทำเหมือนกัน แตกต่างกันที่ต่างหูผ้าจะเพิ่มขั้นตอนการติดแป้นตุ้มหูเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น วิธีการทำเริ่มจาก นำแกนทองเหลืองใส่ลงไปในแป้นพิมพ์สำหรับกดกระดุม ซึ่งแป้นพิมพ์จะมีอยู่ 3 ส่วนคือ ส่วนบน ส่วนกด และส่วนสปริงที่เพิ่มแรงกดให้กระดุมที่ใส่ลงไปในหลุม

จากนั้นนำเศษผ้าวางบนแป้นหลุม โดยขนาดผ้าต้องไม่เล็กกว่าแป้นหลุม แล้ววางทับด้วยอะไหล่กระดุมที่เป็นสังกะสี กดตัวสังกะสีพร้อมผ้าลงไปในหลุม ขั้นตอนจากนี้ก็นำขากระดุมที่เป็นด้ายพันอยู่ ใส่ลงไปในบล็อกอีกชิ้นที่เห็นเป็นสปริง โดยเอาด้านนูนใส่ จากนั้นกดลงไป

ขั้นตอนต่อมาให้นำบล็อกทั้ง 2 ชิ้นประกบกัน แล้วนำเข้าเครื่องปั๊มกระดุมได้เลย โดยดึงแป้นหมุนเข้าหาตัว เปิดบล็อกด้านบนออก ก็จะได้กระดุม หรือส่วนประกอบหลักที่จะนำไปทำตุ้มหูผ้า

“การทำไม่ยาก แต่จะใช้เวลาสักหน่อยสำหรับขั้นตอนการเตรียมวัสดุ คือควรจัดแยกส่วนประกอบต่าง ๆ เตรียมไว้ก่อนให้พร้อม ตามจำนวนที่เราตั้งใจจะทำ จากนั้นก็นำส่วนประกอบนั้นมาเข้ากระบวนการทำ ก็จะทำให้ทำงานได้ไวขึ้น” ผู้ผลิตชิ้นงานรายนี้กล่าวแนะนำ

ใครสนใจชิ้นงาน ต้องการติดต่อ การัณยภาส ทวีสุข ติดต่อได้ที่ โทร.08-7071-9672 หรือเข้าไปชมงานได้ที่เว็บไซต์ตามที่ระบุไว้ข้างต้น ซึ่งนี่ก็เป็นอีกตัวอย่าง ’ช่องทางทำกิน“ จากเศษผ้า ที่ต่อยอดทำเงินได้อย่างน่าสนใจ...

http://www.dailynews.co.th/article/384/22140

Sunday, April 8, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ตกแต่งเคสมือถือ’

การ “ตกแต่งเคสมือถือ และสิ่งของต่าง ๆ สร้างรายได้” เป็นงานเชิงสร้างสรรค์ที่ใช้เทคนิค “แนพกิ้น เดคูพาจ” เป็นการผนึกกระดาษทิซชูลายสวย ๆ ลงบน เคสโทรศัพท์มือถือ หรือสิ่งของอื่น ๆ อาทิ... หมวก, เสื้อ, รองเท้าผ้าใบ, กระเป๋าต่าง ๆ, ตะกร้า, ขวด, กล่องต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นงานประดิษฐ์ที่น่าสนใจอีกรูปแบบหนึ่ง

ทั้งนี้ ยกตัวอย่างการผนึกตกแต่งลงบนเคสมือถือ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ เทคนิคการผนึก มีดังนี้คือ...

อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ ประกอบด้วย... ไดร์เป่าผมขนาดเล็ก, พู่กัน, แปรง, กรรไกรเล็ก, ลูกกลิ้ง หรือขวดแก้วเล็ก ๆ, ผ้าคอตตอน, กระดาษทรายน้ำ 3 เอ็ม เบอร์ 400, กาวลาเท็กซ์, น้ำยาเคลือบ, เคสโทรศัพท์มือถือสีขาว (หรือสิ่งของอื่น ๆ ตามแต่จะต้องการใช้ทำชิ้นงาน) และกระดาษทิซชู ซึ่งเป็นแบบที่นำเข้าจากต่างประเทศ ที่จะมีลวดลายสวยงาม
วิธีเลือกเคสมือถือคือ ต้องเลือกเคสแบบเรียบ เพราะถ้าเป็นแบบที่มีรูมาก ๆ พื้นที่ในการยึดติดระหว่างกระดาษทิซชูกับเคสจะมีน้อย การใช้งานระยะยาวจะไม่ดี คือร่อนได้ง่าย และไม่ควรใช้เคสแบบซิลิโคน เพราะเวลาผนึกกระดาษทิซชูแล้วก็จะร่อนได้ง่ายเช่นกัน ดังนั้น เลือกใช้เคสโทรศัพท์มือถือที่พื้นเรียบจะดีที่สุด และควรจะมันเงาไม่มากด้วย เพราะหากมันเงามากก็จะต้องขัดเยอะ เคสมือถือนี้หาซื้อได้ทั่วไป ที่เป็นเนื้อพลาสติกราคาโดยประมาณมีตั้งแต่ 30-1,000 บาท ส่วนกระดาษทิซชูที่ใช้ ซึ่งเป็นกระดาษทิซชูที่นำเข้าจากต่างประเทศนั้น ขนาดที่ใช้มี 4 ขนาดที่นิยม คือ 25x25 ซม., 33x33 ซม. และ 40x40 ซม. ราคาเฉลี่ยแผ่นละประมาณ 25 บาท กระดาษทิซชูดังกล่าวนี้จะมี 3 ชั้น แต่จะใช้ชั้นบนสุดที่มีลายเท่านั้น โดยกระดาษทิซชู 1 แผ่น ขนาด 33x33 ซม. สามารถใช้ผนึกตกแต่งเคสมือถือได้ 4 เคส ซึ่งลายยอดนิยมในการนำมาใช้ผนึกตกแต่ง ได้แก่... ลายดอกไม้, ลายผลไม้, ลายตุ๊กตา, ลายวิว, ลายการ์ตูน เป็นต้น

วิธีผนึกตกแต่ง กรณีเป็นเคสมือถือ เริ่มจาก... ขั้นตอนที่ 1 ใช้กระดาษทรายเบอร์หยาบ เบอร์ 400 ขัดเคสมือถือให้รอบ ๆ วิธีขัดคือขัดเป็นวงกลม ขัดเพื่อให้เกิดรอย เพื่อให้เกิดร่อง เวลาทากาวแล้วกาวจะได้ติดตามร่อง เพื่อการยึดติดที่ดี โดยเฉพาะตามส่วนมุมต้องขัดให้มากหน่อย เพราะต้องยึดกาวมากกว่าส่วนอื่น, ขั้นตอนที่ 2 เมื่อขัดเคสมือถือให้เกิดร่องเสร็จแล้ว ก็ทำการปัดฝุ่นออก จากนั้นทากาว เสร็จแล้วใช้ไดร์เป่าให้แห้งพอหมาด ๆ ไม่ต้องให้แห้งสนิท คือกะให้เวลาวางกระดาษทิซชูผนึกลงบนเคสมือถือแล้ว หากยังไม่เข้าตำแหน่งดีก็ยังสามารถดึงออกได้โดยที่กระดาษทิซชูไม่ขาด

ขั้นตอนที่ 3 ผนึกกระดาษทิซชู ตัดกระดาษทิซชูใหัมีขนาดใหญ่กว่าเคสมือถือห่างออกจากขอบเคสราว 1 นิ้ว ลอกกระดาษทิซชูชั้นที่ 2 และ 3 ออก ใช้เฉพาะชั้นบนสุด โดยวางกระดาษทิซชูลงบนเคสมือถือแล้วใช้มือกด รีดกระดาษทิซชูให้เรียบ เสร็จแล้วตัดมุมเพื่อที่จะเข้ามุมให้เรียบ แล้วใช้มือกดไว้สักครู่, ขั้นตอนที่ 4 ใช้ผ้าคอตตอนที่มีขนาดใหญ่กว่ากระดาษทิซชู ชุบน้ำให้หมาดกึ่งเปียก ดึงให้ตึง คลุมที่เคสมือถือเพื่อผนึกให้กระดาษทิซชูกับเคสติดกันแน่น เสร็จแล้วใช้ลูกกลิ้งหรือขวดกลิ้งบนผ้าจากล่างขึ้นบน (ห้ามกลิ้งกลับไปกลับมา) แล้วก็กลิ้งทางขวาง จากนั้นก็ใช้ไดร์เป่าให้แห้ง ต่อไปก็นำผ้าคอตตอนคลุมสันเคสมือถือ ใช้นิ้วชี้กลิ้งเพื่อผนึกสันของเคสมือถือ ใช้ไดร์เป่า เสร็จแล้วก็ทำด้านต่อไปจนครบ

ขั้นตอนที่ 5 ตัดกระดาษทรายขนาด 1x1 นิ้ว แล้วตัดขอบ โดยรูดจากด้านนอกเข้าด้านใน จนกระดาษทิซชูขาดออกจากขอบ จากนั้นใช้น้ำยาเคลือบทาเคลือบ 5-6 ชั้น โดยเมื่อทาแต่ละชั้นเสร็จแล้วต้องใช้ไดร์เป่าให้แห้งก่อน จึงจะทาเคลือบชั้นต่อไป, ขั้นตอนสุดท้าย เช็ดทำความสะอาดเคสมือถือด้านในที่เปื้อนกาวและน้ำยาเคลือบ เป็นอันเสร็จ

เคสโทรศัพท์มือถือที่ผนึกตกแต่งแล้ว สามารถตั้งราคาจำหน่ายได้ชิ้นละประมาณ 690-890 บาท โดย มีต้นทุนค่าวัสดุเฉลี่ยประมาณ 500 บาท กรณีจะผนึกตกแต่งลงบนสิ่งของอื่น ๆ ก็จะมีเทคนิควิธีการหลัก ๆ ที่คล้ายกับกรณีเคสโทรศัพท์มือถือ เพียงแต่จะมีจุดปลีกย่อยที่แตกต่างกันบ้าง ตามแต่สิ่งของที่จะใช้ในการผนึกตกแต่ง สำหรับกระดาษทิซชูที่ใช้ในการตกแต่งนั้น ลองตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.protonza.com

“การตกแต่งเคสโทรศัพท์มือถือนี้ หากฝึกฝนบ่อย ๆ จนมีความชำนาญ เชี่ยวชาญ สามารถใช้ฝีมือไปประกอบอาชีพสร้างรายได้ได้แน่นอน เพราะตลาดนี้ยังกว้างมาก ยังไม่เกร่อ แม้กระทั่งในกรุงเทพฯ เอง” ...นี่เป็นการระบุของ อ.วิไลพร วิทยากรฝึก “ตกแต่งเคสมือถือ และสิ่งของต่าง ๆ สร้างรายได้” กิจกรรมนำร่องตาม โครงการ “เดลินิวส์ฝึกอาชีพ” เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา และก็อย่างที่ระบุไว้แต่แรกว่าทักษะนี้ต่อยอดพลิกแพลงได้หลากหลาย

มีฝีมือ มีความคิดสร้างสรรค์ ก็มีโอกาสทำเงิน!!

http://www.dailynews.co.th/article/384/21172