Saturday, February 25, 2012

แนะนำอาชีพ ‘เมนูปลานิล’

“ปลานิล” เป็นพันธุ์ปลาที่ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิอากิฮิโต แห่งประเทศญี่ปุ่น ทรงจัดส่งมาทูลฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 50 ตัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปล่อยเลี้ยงในบ่อบริเวณตำหนักสวนจิตรลดา พระราชวังสวนดุสิต เมื่อครบ 1 ปี ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานลูกปลานิลให้กรมชลประทานเลี้ยงขยายพันธุ์และแจกจ่ายเกษตรกร พร้อมกับปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติให้เป็นแหล่งอาหารของชาวบ้าน จนกระทั่งทุกวันนี้ประชาชนชาวไทยได้รับประทาน “เมนูปลานิล” กันอย่างทั่วถึง และยังเป็น “ช่องทางทำกิน” ได้ด้วย...

ทั้งนี้ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นการส่งเสริมการบริโภคปลานิลที่เป็นอาหารโปรตีนชั้นดี ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายในการนำปลานิลมาปรุงอาหารรับประทาน ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์ประจำสาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ทำการคิดค้นเมนูปลานิลเมนูใหม่ ๆ ที่สามารถเปลี่ยนเนื้อปลาธรรมดา ๆ ให้เป็นเมนูที่สุดพิเศษเทียบเท่ากับเมนูปลาราคาแพง

ผศ.พงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า เมนูที่คิดขึ้นตอนนี้มีอยู่ 2 เมนูคือ “ปลานิลนึ่งน้ำมะกรูด” และ “ข้าวม้วนปลานิลปรุงรสสมุนไพร” โดยทั้ง 2 เมนูนี้มีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยากอะไรมากนัก คนทั่วไปสามารถทำกันเองได้ในครอบครัว ซึ่งนอกจากจะอร่อยแล้วยังได้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน และก็ยังสามารถนำสูตรไปปรับทำขายเป็นอาชีพได้

หลายคนอาจคิดว่าเนื้อปลานิลมีกลิ่นคาว แต่จริง ๆ แล้วปลาทุกชนิดล้วนมีกลิ่นคาวทั้งนั้น เพียงแต่ในการนำมาประกอบอาหารก็จะต้องมีวิธีการและเคล็ดลับเพื่อดับกลิ่นคาว ซึ่ง 2 เมนูปลานิลที่ว่ามาข้างต้นนั้น ใช้ “มะกรูด” ซึ่งเป็นเครื่องปรุงที่เป็นสมุนไพรของไทย มาดับกลิ่นคาว และสามารถเพิ่มรสชาติอาหารให้แปลกใหม่ไม่จำเจอีกด้วย ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำหลัก ๆ ก็เป็นอุปกรณ์เครื่องครัวที่สามารถหาได้จากในครัวเรือนทั่วไป

“ปลานิลนึ่งน้ำมะกรูด” ส่วนผสมประกอบด้วย... ปลานิล แล่เอาแต่เนื้อ 300 กรัม, หน่อข่าอ่อน 10 หน่อ, น้ำมะกรูด 2 ช้อนโต๊ะ, เกลือป่น ฝ ช้อนชา ขั้นตอนการทำเริ่มจากปลอกหน่อข่าอ่อน ใช้มีดซอยที่หัวข่าบาง ๆ จากนั้นแล่ปลานิลเอาแต่เนื้อให้เป็นชิ้นยาวบาง ๆ แล้วนำมาพันที่ข่าอ่อน เสร็จแล้วผสมน้ำมะกรูดกับเกลือให้เข้ากัน ราดลงที่เนื้อปลาที่พันข่าอ่อนแล้ว นำไปนึ่งราว 10 นาที ก็พร้อมเสิร์ฟกับน้ำจิ้ม รับประทานกับผักนึ่ง เช่น ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ฟักทอง บวบ

สำหรับ “สูตรน้ำจิ้ม” ส่วนผสมก็มี... พริกชี้ฟ้าแดงสับ 1 ช้อนชา, ต้นผักชีหั่น 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะกรูด 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 1 ช้อนชา เมื่อเตรียมส่วนผสมเรียบร้อย ก็ให้นำน้ำตาลทราย เกลือ และน้ำมะกรูด ผสมคนให้เข้ากันก่อน จากนั้นใส่พริกชี้ฟ้าแดงสับ ต้นผักชีหั่น และน้ำต้มสุกเล็กน้อย คนให้ส่วนผสมข้ากันอีกครั้ง ชิมให้ได้ 3 รส เปรี้ยว-เค็มหวาน น้ำจิ้มนี้ก็ใช้ราดที่เนื้อปลานิลพันข่าอ่อนที่นึ่งสุกแล้ว จากนั้นก็รับประทานได้เลย

ถัดมาเป็นเมนู “ข้าวม้วนปลานิลปรุงรสสมุนไพร” ส่วนผสมที่ใช้ก็มี... ข้าวกล้องหุงสุก 2 ถ้วย, เนื้อปลานิลนึ่งเอาแต่เนื้อ ฝ ถ้วย, หอมแดงซอย 2 ช้อนโต๊ะ, ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ, ขิงอ่อนซอย 1 ช้อนโต๊ะ, พริกชี้ฟ้าซอย 1 เม็ด, ใบมะกรูดซอย 2 ใบ, ผักชีเด็ดใบ 1 ต้น, น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว
1 ช้อนโต๊ะ และแผ่นสาหร่าย โดยวิธีทำเริ่มจากทำน้ำปรุงรสก่อน... นำน้ำตาลปี๊บ, น้ำมะขาม, น้ำปลา ใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดก็ยกลงใส่น้ำมะนาวชิมรสให้เข้มข้นจัดจ้านเพื่อดับคาว แล้วตั้งพักไว้ จากนั้นนำเนื้อปลานิลนึ่งสุก หอมแดง ตะไคร้ ขิง พริกชี้ฟ้า ใบมะกรูด ที่ซอยไว้แล้ว ใส่ลงภาชนะ นำน้ำปรุงรสที่ทำเตรียมไว้ใส่ คลุกเคล้าให้เข้ากัน โรยใบผักชี พักไว้
ต่อไปเป็นขั้นตอนการม้วนข้าว ขั้นตอนนี้เหมือนกับการห่อซูชิ ต้องมีอุปกรณ์ช่วย 1 อย่างคือเสื่อม้วนข้าวญี่ปุ่น การม้วนเริ่มจากนำแผ่นสาหร่ายวางลงบนเสื่อม้วนข้าว แล้วตักข้าวกล้องที่หุงเตรียมไว้ประมาณ 1 ทัพพีใส่ลงบนแผ่นสาหร่ายด้านล่างหรือด้านคนม้วน เกลี่ยข้าวให้ทั่วเกือบ ฝ ของพื้นที่แผ่นสาหร่าย ตักส่วนผสมปลาที่คลุกเตรียมไว้มาใส่เป็นแนวตามขวาง ม้วนข้าวให้เป็นก้อนกลมจากนั้นใช้มีดคม ๆ ตัดข้าวม้วนสาหร่ายออกเป็นชิ้น ๆ ตามขนาดที่ต้องการ

“เคล็ดลับการเตรียมปลาไม่ให้มีกลิ่นคาว” ผศ.พงศ์ศักดิ์บอกว่า ควรนำปลาไปทาเกลือก่อน จากนั้นเช็ดให้แห้ง มีดที่ใช้ทำต้องคม ตอนแล่เนื้อปลาต้องคอยเช็ดมีดตลอดเพื่อจะทำให้ได้เนื้อปลาที่ออกมาสวยงามและไม่มีกลิ่นคาว

“เมนูปลานิลสูตรใหม่” ทั้ง 2 สูตรที่ว่ามานี้ ถือเป็นอีกทางเลือกของผู้บริโภคสมัยใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพด้วย รวมถึงอาจถูกใจผู้ที่ชื่นชอบข้าวม้วนสาหร่ายแบบญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี สำหรับผู้ที่รู้จักนำไปฝึกทำ ต่อยอดดัดแปลงตามความเหมาะสม และหากใครต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ต้องการติดต่อ ผศ.พงศ์ศักดิ์ ก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-9600-0993 หรือที่คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โทร.0-2549-4990-2
...............................................................................................................................

คู่มือลงทุน...เมนูปลานิลสูตรใหม่

ทุนเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบการลงทุน

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย

รายได้ ตั้งราคาขายให้มีกำไรราว 40%

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ย่านขายอาหาร, ย่านชุมชน

จุดน่าสนใจ จุดขายคือเมนูสุขภาพสูตรใหม่

http://www.dailynews.co.th/article/384/14413

Friday, February 24, 2012

แนะนำอาชีพ ‘เค้กผ้าขนหนู’

ทีม “ช่องทางทำกิน” เคยนำเสนองานฝีมือ-งานประดิษฐ์ที่มีวัสดุหลักเป็น “ผ้าขนหนู” มาแล้วหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าตลาดสินค้าประเภทนี้จะยังไม่มีทีท่าว่าจะตัน ทั้งผู้ผลิตหน้าเก่าหน้าใหม่ก็ยังคงมีผลงานนำเสนอออกมาอย่างต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ ที่จะหยิบจับ ดัดแปลง ปรับใช้ และต่อยอดอย่างไร อย่างงาน “เค้กผ้าขนหนู” ที่ต่อยอดจากงานชิ้นเล็กคือคัพเค้กผ้าขนหนู ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” นำมาเสนอให้พิจารณากันในวันนี้ ก็เป็นอีกตัวอย่าง...

“จิระวดี วันจันทร์ศิริ” ซึ่งทำชิ้นงานประเภทนี้จำหน่ายผ่านทางหน้าเว็บไซต์ www.tonklafavors.com เล่าว่า หลังจากงานคัพเค้กผ้าขนหนูซึ่งมีจุดขายในเรื่องของขนาดที่เล็ก ราคาไม่สูง และลวดลายสีสันที่ดูน่ารัก ได้กระแสการตอบรับดีมาก มีลูกค้าสนใจสั่งซื้อเพื่อนำไปเป็นของชำร่วย หรือซื้อเพื่อนำไปขายต่อตามแหล่งต่าง ๆ ก็ได้เกิดไอเดียที่จะพัฒนาสินค้าให้แหวกออกไปอีก โดยเน้นชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ใกล้เคียงกับเค้กของจริงมากขึ้น เพื่อฉีกตลาดหาลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง คือลูกค้าประเภทบริษัท หน่วยงาน องค์กร โดยสินค้าที่ผลิตนี้ลูกค้าส่วนใหญ่จะนำไปมอบเพื่อเป็นของขวัญ หรือไม่ก็ถูกนำไปใช้ประดับตกแต่งในงานเลี้ยง งานต่าง ๆ ตามแต่โอกาส ซึ่งได้รับการตอบรับค่อนข้างดีไม่แพ้งานชิ้นเล็ก

“งานเค้กผ้าขนหนูนี้ จะเน้นขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่างานคัพเค้ก โดยจะเน้นลูกค้าที่ต้องการสินค้าที่เหมือนเค้กจริง ๆ ส่วนใหญ่ลูกค้าจะซื้อเพื่อนำไปเป็นของขวัญ ของรับไหว้ โดยเฉพาะลูกค้าประเภทบริษัทจะเยอะเป็นพิเศษ นอกจากนี้ก็มีลูกค้าที่ซื้อเพื่อนำไปเป็นของประดับตกแต่งในงานเลี้ยงต่าง ๆ” จิระวดีกล่าว

เค้กผ้าขนหนู แม้จะเป็นงานตัวใหม่ แต่วิธีการทำและขั้นตอนต่าง ๆ ไม่ต่างจากงานคัพเค้กผ้าขนหนูเท่าไหร่นัก เพียงแต่มีรายละเอียดในเรื่องของขนาดและการใช้วัสดุที่ต้องใช้จำนวนมากขึ้น ซึ่งสาเหตุที่พยายามคิดแหวกตลาดทั้งที่สินค้าเดิมก็ขายดี จิระวดีบอกว่า ปัจจุบันมีสินค้าที่ทำเลียนแบบกันมาก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร กลับมองว่าการที่มีคนนิยมทำก็แสดงว่าสินค้าเป็นที่ยอมรับของตลาด แต่ก็จะต้องพยายามพัฒนาสินค้าและมองหาเทคนิคใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา

เธอบอกว่า ทั้งหมดนี้ก็เป็นการต่อยอดจากแรงบันดาลใจเดิมที่ชอบทานและชอบรูปทรงสีสันของขนมเค้ก จึงอยากจะทำงานจำลองขนม งานผ้าขนหนูประดิษฐ์เป็นขนมเค้ก ซึ่งรูปแบบของ “เค้กผ้าขนหนู” ที่เธอทำ ปัจจุบันมีอยู่ราว 10 แบบ และยังสามารถต่อยอดออกไปได้อีกเรื่อย ๆ “ตลาดตอนนี้ถือว่ายังไปได้ ดูจากพื้นที่ที่ลูกค้าสั่งสินค้าเข้ามา ตอนนี้มีลูกค้าอยู่เกือบทั่วไป และปริมาณงานจะเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ”

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้ประมาณ 2,000 บาท ส่วนทุนวัสดุอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย โดยราคาขายคิดเป็นขนาด คือคิดเป็นปอนด์ เหมือนขนมเค้ก เริ่มตั้งแต่ปอนด์ละ 170 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรายละเอียดและความยากง่ายของชิ้นงาน

วัสดุและอุปกรณ์ในการทำ หลัก ๆ ประกอบด้วย ผ้าขนหนูสีสันต่าง ๆ, ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ สำหรับใส่เบเกอรี่, ดอกไม้ประดิษฐ์, วัสดุตกแต่ง, ปืนยิงกาวซิลิโคน และเครื่องมืองานประดิษฐ์เบ็ดเตล็ด อาทิ กรรไกร คัทเตอร์ เข็มด้าย

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากคิดแบบ โดยอาจร่างแบบลงบนกระดาษก่อน หากเป็นงานคัพเค้กจะต้องกำหนดว่าจะเลือกใช้ผ้าขนหนูกี่ผืนต่อ 1 ชิ้นงาน แต่เมื่อเป็นงานเค้กก้อนแบบปอนด์นั้น จะใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่เพียงผืนเดียว จากนั้นทำการเลือกภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ที่จะใช้ โดยเลือกให้เหมาะสมกับขนาดของชิ้นงานหรือผ้าขนหนู เมื่อเลือกและกำหนดแบบได้แล้ว การทำก็เริ่มจากการนำผ้าขนหนูที่เตรียมไว้มาทำการม้วนให้ครบวงรอบ จากนั้นจัดวางลงไปในภาชนะที่เตรียมไว้ และใช้ปืนกาวซิลิโคนยิงยึดไว้เป็นจุดเล็ก ๆ โดยต้องระวังอย่าให้ชิ้นงานหลวมหรือแน่นจนเกินไป
ขั้นตอนต่อไป นำวัสดุตกแต่งที่เตรียมไว้มาประดับลงบนผ้าขนหนู นำปืนกาวยิงยึดติดส่วนประกอบของวัสดุตกแต่ง ส่วนการทำวิปปิ้งครีมเทียมนั้น ขั้นตอนคล้ายกับการทำคัพเค้กโดยนำกระดาษสามาขยำหรือจับให้เป็นก้อน ๆ และใช้ปืนกาวยิงเพื่อยึดติด ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ “เค้กผ้าขนหนู”

“ขั้นตอนการทำมีไม่มาก ไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ต้องประณีตพอสมควร คนที่สนใจคิดจะทำอาชีพงานฝีมือนี้ เรื่องของคุณภาพและความละเอียดของงานเป็นเรื่องสำคัญ และต้องซื่อสัตย์ ไม่ใช่ใช้ผ้าขนหนูนิดหน่อยแล้วยัดไส้อย่างอื่นไว้ข้างใน เรื่องความซื่อสัตย์นี่ก็ถือว่าสำคัญไม่แพ้เรื่องคุณภาพและความละเอียดของงาน” จิระวดีกล่าว

ใครสนใจติดต่อเจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ ติดต่อได้ที่ โทร.0-2980-0232, 08-9275-4004 หรือตามเว็บไซต์ข้างต้น ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งงานไอเดียที่ไม่หยุด ต่อยอดพัฒนาด้วยขนาด จนขยายตลาดได้อย่างน่าสนใจ

..........................................................................................

คู่มือลงทุน...เค้กผ้าขนหนู

ทุนเบื้องต้น ประมาณ 2,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัสดุ ประมาณ 50% ของราคา
รายได้ ราคา 170 บาทขึ้นไป/ชิ้น
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด กลุ่มของขวัญ-ของตกแต่ง
จุดน่าสนใจ ขายไอเดีย ลงทุนไม่สูงมาก

http://www.dailynews.co.th/article/384/14259

Saturday, February 18, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ขนมไข่สอดไส้’

แนะนำอาชีพ ‘ขนมไข่สอดไส้’ มีจุดขายคือความต่าง

อาชีพทำขนมขายยังเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่หลายคนสนใจอยู่เสมอ ซึ่งอาชีพนี้แม้ไม่มีหน้าร้านก็สามารถทำขายได้ หากรู้จักการบริหารจัดการการตลาดที่เหมาะสม ซึ่งก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ แต่ก็ต้องรู้จักดัดแปลงหน้าตาหรือรูปแบบของขนมให้แตกต่าง ซึ่งกับขนมชื่อคุ้น ๆ ธรรมดาอย่าง “ขนมไข่” ก็พลิกแพลงสร้างจุดต่างได้หลากหลาย ทั้งรูปแบบและรสชาติ และวันนี้ลองมาดู “ขนมไข่สอดไส้” อีกหนึ่งกรณีศึกษาช่องทางทำกินที่น่าพิจารณา...

ภคนันท์ ธัญจิร หรือ แอปเปิ้ล ซึ่งทำ “ขนมไข่สอดไส้” ในชื่อ “ยิ้ม ยิ้ม” จำหน่าย เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของอาชีพนี้ว่า หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรีก็ได้เข้าทำงานตามบริษัทต่าง ๆ มาเป็นเวลากว่า 20 ปี สุดท้ายอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการอาวุโสของฟิตเนสมีชื่อแห่งหนึ่งเป็นเวลากว่า 8 ปี ก็รู้สึกเบื่อ จึงได้ลาออกมาเพื่อจะทำธุรกิจของตัวเอง แต่จังหวะไม่ดี ด้วยขณะนั้นในปี 2553 ภาวะทางการเมืองไม่สู้ดีนัก จึงทำให้ต้องปิดร้านสปาลง จากนั้นก็พยายามมองหาช่องทางอาชีพอื่นที่ใช้เงินลงทุนน้อย พอดีได้ติดตามคอลัมน์เกี่ยวกับอาชีพในหนังสือพิมพ์ที่ทำของขายโดยไม่ต้องมีหน้าร้าน

“ก็ปิ๊งทันทีว่าน่าจะทำขนมดีกว่า เพราะเป็นคนชอบทำอาหารและขนมอยู่แล้ว คิดว่าทำงานอยู่กับบ้านน่าจะดีกว่า ไม่ต้องวุ่นวาย แถมประหยัดค่าใช้จ่าย ขนมที่คิดจะทำขายก็มีอยู่หลายอย่าง แต่ก็มาลงตัวที่ขนมไข่ ซึ่งก็คิดว่าถ้าเราจะทำขนมธรรมดาพื้น ๆ นี้ให้ขายได้ จะต้องพัฒนาดัดแปลงสูตรให้มีความแตกต่างจากเจ้าอื่น ๆ จึงคิดทำขนมไข่สอดไส้ รสชาติต่าง ๆ เช่น ไส้ครีมวานิลลา สังขยาใบเตย ส้ม สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ลูกเกด เป็นต้น แต่ยังคงรูปแบบของขนมไข่โบราณอยู่ ซึ่งปัจจุบันหาทานยาก โดยตอนแรกไม่รู้จะทำขายใคร ก็เริ่มจากเพื่อน ๆ และลูกน้องเก่า ก็ไม่ผิดหวังค่ะ ทุกคนยินดีอุดหนุน และช่วงปีใหม่ก็จัดเป็นรูปแบบกล่องของขวัญ ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีค่ะ ที่สำคัญได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดีจากพี่ชายคนเดียว เป็นผู้นำขนมที่ทำแล้วไปส่งขายตามที่ต่าง ๆ ด้วยค่ะ”

คุณแอปเปิ้ลบอกว่า ขนมไข่นี้ทำง่ายมาก ๆ ขนมที่ทำออกมานั้นตัวเนื้อขนมจะอร่อยคล้าย ๆ บัทเตอร์เค้ก ที่สำคัญขายได้กำไรดีทีเดียว จะส่งตามร้านขนม ร้านกาแฟ หรือเปิดหน้าร้านก็ได้

วัสดุอุปกรณ์ทำขนมขนมไข่สอดไส้ มีไม่มากนัก หลัก ๆ ที่สำคัญก็ต้องมี เตาอบขนมไข่แบบ 16 หลุม (มาตรฐาน) จะใช้แบบเตาแก๊ส หรือเตาไฟฟ้า ก็ตามความสะดวก, ตาชั่ง, ไม้พายพลาสติก, เครื่องตีไข่, ช้อนสำหรับหยอดขนม, ช้อนตวง, ถ้วยตวง, แปรงสำหรับใช้ทาเนย, ไม้จิ้มฟัน และตะกร้าใส่ขนมที่สุกแล้ว

สำหรับส่วนผสมขนมไข่สอดไส้ หลัก ๆ คือแป้งสาลีอเนกประสงค์, ไข่ไก่, น้ำตาลทราย, ผงฟู, นมผง, กลิ่นวานิลลา, น้ำมันปาล์ม, เกลือ, น้ำสะอาด โดยสัดส่วนและขั้นตอนในการทำ “ขนมไข่สอดไส้” ก็มีดังนี้คือ...เริ่มจากเตรียมไส้ขนม โดยนำไส้หลากรส ทั้งไส้วานิลลา, สังขยาใบเตย, ส้ม, สตรอเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่ มาบรรจุให้เรียบร้อย และลูกเกดเอาใส่ภาชนะเตรียมไว้

จากนั้นนำแป้งสาลีอเนกประสงค์ 190 กรัม, ไข่ไก่ 6 ฟอง, น้ำตาลทราย 200 กรัม, ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ, นมผง 1 ช้อนโต๊ะ และกลิ่นวานิลลานิดหน่อย น้ำมันปาล์ม เกลือ น้ำสะอาด อย่างละพอประมาณ ใส่ลงในหม้อตีไข่ เมื่อส่วนผสมพร้อมแล้วก็เริ่มเดินเครื่องตีให้ส่วนผสมเข้ากันประมาณ 5-7 นาที พอแป้งขึ้นฟูก็นำมาเทลงในภาชนะพลาสติก เพื่อทำการพักแป้งประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ผงฟูทำงานให้เต็มที่

ระหว่างรอก็วอร์มเตาหรืออุ่นเตาให้ ร้อน โดยให้อุ่นเตาบน ประมาณ 20 นาที ส่วนเตาล่าง อุ่น 5 นาที เพื่อให้ความร้อนคงที่ เวลาหยอดขนมจะได้พองและสุกพอดี เมื่อแป้งพร้อม-เตาพร้อมก็ใช้ช้อนตักแป้งหยอดให้เต็มพิมพ์ (ขั้นตอนการหยอดนี้ต้องอาศัยความชำนาญสักนิด มิฉะนั้นขนมอาจจะไหม้ได้)

หยอดแป้งเสร็จแล้ว ก็ต้องรีบนำไส้รสชาติต่าง ๆ ที่เตรียมไว้ มาหยอดบีบใส่ลงตรงกลางขนม จังหวะที่บีบหยอดไส้ให้กดลงไปนิดหน่อย เพราะพอขนมสุกไส้จะได้เลื่อนลงไปอยู่ตรงกลางตัวขนมพอดี เมื่อหยอดไส้เสร็จแล้วก็ปิดฝาอบขนม รอสักครู่ไม่เกิน 3 นาทีขนมก็จะสุกเหลืองน่ารับประทาน ถึงตอนนี้กลิ่นขนมจะหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณเลยทีเดียว

จากสูตรการทำ “ขนมไข่สอดไส้” ข้างต้นนี้ จะสามารถทำขนมได้ประมาณ 8 เตา หรือจำนวนประมาณ 125 ชิ้น เมื่ออบขนมสุกดีแล้วก็นำขนมบรรจุกล่องรูปแบบตามใจชอบ ส่วนทางร้านของแอปเปิ้ลจะบรรจุ 11 ชิ้นต่อกล่อง ขายในราคา 25 บาท ขนมจะชิ้นพอดี ๆ ไม่ใหญ่มาก จะนุ่ม หอม หวาน มันอร่อย โดยจะได้รสชาติแปลกใหม่จากไส้ขนมไส้ต่าง ๆ

“ขนมไข่สอดไส้” ยิ้ม ยิ้ม ของ แอปเปิ้ล-ภคนันท์ ขายส่งตามร้านกาแฟ เช่น อินทนิล อะเมซอน บ้านใร่กาแฟ และรับสั่งทำด้วย ซึ่งใครสนใจสอบถาม ต้องการติดต่อกับคุณแอปเปิ้ล ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-1907-6068 หรือทางอีเมล akananapple@hotmail.com ซึ่งนี่ก็เป็นกรณีศึกษาการสร้าง “ช่องทางทำกิน” จากขนม โดยไม่ต้องมีหน้าร้าน

.........................................

คู่มือลงทุน...ขนมไข่สอดไส้

ทุนอุปกรณ์ ขึ้นอยู่กับขนาดธุรกิจ

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% ของราคา

รายได้ ราคา 25 บาท / 11 ชิ้น

แรงงาน 1 คนขึ้นไป

ตลาด ส่งร้านกาแฟ ร้านขนมทั่วไป

จุดน่าสนใจ ไส้รสชาติต่าง ๆ เป็นจุดขาย

แนะนำอาชีพ ‘ขนมไข่สอดไส้’ http://www.dailynews.co.th/article/384/13281

Friday, February 17, 2012

แนะนำอาชีพ "เพนท์ของแต่งบ้าน "

แนะนำอาชีพ "เพนท์ของแต่งบ้าน " งานศิลป์ทำขายได้ไม่ยาก งานฝีมือเกี่ยวกับการวาดที่นำมาผสมผสานลงไปในผลิตภัณฑ์ สามารถสร้างสรรค์เป็นงานแฮนด์เมดออกมาจำหน่ายได้ราคาดี ซึ่งปัจจุบันงานประเภทนี้ก็ถือว่ายังมีช่องว่างในตลาดอีกมาก หากเป็นคนช่างคิดพลิกแพลงสร้างจุดเด่นให้สินค้า หารูปแบบของตัวเองให้เจอ งานประเภทนี้ก็ยังเป็นที่สนใจของลูกค้า อย่างเช่นงาน ’เพนท์ของแต่งบ้านและแต่งสวน“ เช่น กระถางดินเผา ถังสังกะสี กรอบไม้เก่า ที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้...

ปฐมพงศ์ สุขตะคุ เจ้าของผลงานเพนท์กระถาง ถังสังกะสี สร้างสรรค์ของตกแต่งบ้านและสวนด้วยไม้ เล่าให้ฟังว่า เป็นคนชื่นชอบงานตกแต่ง และก็จบมาทางด้านศิลปกรรม หลังจากเรียนจบก็มีโอกาสได้ใช้วิชาศิลปะที่เรียนมาไปทำงานประเภทดิสเพลย์อยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่หลังจากที่ทำงานอยู่ไม่นานก็ออกมาเปิดร้านเป็นของตัวเอง ชื่อว่า “AD2d” โดยรับออกแบบสิ่งพิมพ์ รับงานอีเวนต์ออกแบบจัดบูธต่าง ๆ รับทำพวกม็อคอัพโมเดล เป็นงานหลัก ๆ ที่ทำอยู่

ส่วนงานจำพวกของตกแต่งบ้านและสวนนั้น เป็นงานที่ทำเป็นอาชีพเสริม อาศัยช่วงที่ว่างจากงานหลักมานั่งสร้างสรรค์งาน ไม่ว่าจะเป็นการเพนท์กระถางต้นไม้ดินเผา เพนท์อุปกรณ์ที่เป็นสังกะสี เพนท์โต๊ะ-เก้าอี้ ทำของตกแต่งบ้านและตกแต่งสวนจากไม้เก่าและไม้ใหม่ เช่น กรอบไม้เก่าสำหรับไว้แขวนกระถาง บ้านนก กล่องอเนกประสงค์ เป็นต้น

“งานเพนท์ของตกแต่งมันเกิดจากการที่ผมชอบของตกแต่งบ้านอยู่แล้ว มีเวลาผมมักจะไปเดินดูของตกแต่งบ้าน ประกอบกับผมก็มีความสามารถด้านศิลปะอยู่แล้ว เมื่อมีเวลาว่างจากงานหลักผมก็มานั่งทำงานเพนท์กระถาง ทำงานไม้เก่า ซึ่งผมจะปรับให้เป็นสไตล์ของตัวเอง จะออกเป็นงานวินเทจกับโมเดิร์นผสมผสานกัน เริ่มแรกผมเริ่มทำเป็นงานไม้ พวกบ้านนก กรอบรูปไม้เก่า ไว้แขวนตกแต่งบ้านหรือสวน จากนั้นก็เริ่มมาเพนท์กระถาง เพนท์งานอื่น ๆ ตามออกมาเรื่อย ๆ”

เจ้าของตัวอย่าง “ช่องทางทำกิน” รายนี้ กล่าวต่ออีกว่า ’การที่เรานำไม้เก่ามาทำเป็นของตกแต่งบ้าน ตกแต่งสวน หรือการเพนท์กระถางต้นไม้นั้น เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นหลายเท่าตัว“

เรื่องตลาดขายชิ้นงาน ปฐมพงศ์จะเปิดขายผ่านเว็บไซต์ ซึ่งก็ถือว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของปฐมพงศ์นั้นก็จะเป็น
กลุ่มเจ้าของร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าต่าง ๆ ที่มักจะซื้อไปแต่งร้าน

“งานเพนท์กระถาง เพนท์ถังสังกะสีนั้น เป็นงานที่ทำไม่ยาก ใช้เวลาฝึกฝนไม่นานก็สามารถทำได้ คนที่ไม่มีพื้นฐานความรู้เรื่องศิลปะก็สามารถฝึกทำได้ เริ่มทำแรก ๆ เราก็เริ่มจากวาดตามแบบที่ไม่ยาก อย่างพวกดอกไม้ การ์ตูน หรือจะใช้วิธีลอกลายแล้ววาดตามก็ได้ ฝึกไม่ยาก ขอแค่มีใจรักและชอบจริง ๆ เท่านั้น” ปฐมพงศ์กล่าว

วัสดุอุปกรณ์ในการทำงานประเภทนี้ หลัก ๆ มีดังนี้คือ...ไม้เก่า, ไม้ใหม่ ใช้ไม้ฉำฉา, สีสเปรย์, สีอะคริลิก, กระดาษทราย, พู่กัน นอกเหนือจากนี้ก็พวกอุปกรณ์เครื่องมือช่างต่าง ๆ อย่าง เลื่อย สว่าน ปั๊มลม เป็นต้น

การทำของตกแต่งบ้านและสวนนั้น ยกตัวอย่าง ’เพนท์กรอบไม้เก่าแขวนต้นไม้“ เริ่มจากการออกแบบรูปทรง ขนาด และลวดลายที่ต้องการก่อน เมื่อทำการออกแบบเรียบร้อยแล้วก็เริ่มลงมือทำ โดยเริ่มจากการเตรียมไม้เก่าที่เป็นไม้ฝาบ้านเก่า ไม้จะมีหน้ากว้างประมาณ 3 นิ้ว นำมาทำการตัดให้ได้ขนาดความยาวที่ต้องการ ตัดประมาณ 3-4 แผ่น จากนั้นก็นำมาเรียงต่อติดกัน ยึดติดกันให้แน่นด้วยตะปู ก็จะได้แผ่นไม้ที่มีลักษณะเป็นไม้สี่เหลี่ยมแผ่นใหญ่

ขั้นตอนต่อไปก็นำกระดาษทรายมาทำการขัดผิวไม้ให้เรียบ ขัดเรียบร้อยก็เช็ดทำความสะอาด จากนั้นก็เริ่มลงสีพื้นโดยใช้สีขาว พอสีพื้นแห้งก็ลงสีจริงตามที่ต้องการ เมื่อสีแห้งก็ให้ใช้กระดาษทรายขัดสีออก ซึ่งนี่เป็นเทคนิคการทำเพื่อให้งานออกมาดูเป็นงานเก่า ได้ความคลาสสิก การขัดนั้นจะต้องขัดตามลายไม้ เพราะจะทำให้ชิ้นงานขึ้นเส้นสวย

เมื่อลงสีและขัดสีเรียบร้อยก็ใช้สว่านเจาะรูตรงกลาง นำลวดชนิดแข็งหรือเหล็กเส้นที่ดัดเป็นวงกลมมีปลายยื่นออกมาไปเสียบที่รูที่เจาะไว้ สำหรับใส่กระถางต้นไม้ได้ ส่วนด้านล่างของกรอบไม้ก็เจาะติดห่วงไว้แขวนของต่าง ๆ

ต่อด้วยวิธีการ ’เพนท์กระถางต้นไม้ดินเผา“ เริ่มจากนำกระถางขนาดที่ต้องการมาทำการขัดผิวด้วยกระดาษทราย เช็ดทำ ความสะอาด จากนั้นก็ลงสีขาวรองพื้น รอให้สีแห้งก็ลงสีจริงตามที่ต้องการ พอสีแห้งก็ทำการวาดลวดลายที่ต้องการลงไปได้ทันที (สำหรับคนที่ยังวาดรูปไม่ชำนาญใช้วิธีลอกลายรูปที่ต้องการลงบนกระถางแล้วจึงค่อยวาดลงสีตามแบบก็ได้) เมื่อวาดเรียบร้อยก็รอสีแห้ง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ พร้อมจำหน่าย

ปิดท้ายด้วยวิธีการ ’เพนท์ถังสังกะสี“ การเพนท์วัสดุที่เป็นสังกะสีนั้นจะเพนท์ยากหน่อย เพราะพื้นผิวของสังกะสีจะมีความมัน ดังนั้นก่อนลงสีต้องใช้กระดาษทรายขัดผิวของวัสดุให้เกิดความหยาบเล็กน้อย จากนั้นใช้สีเสปรย์กระป๋องพ่นเป็นการการรองพื้น พอสีแห้งจึงค่อยลงสีจริงที่ต้องการ จากนั้นก็ทำการวาดลวดลายตามที่ต้องการ

ราคาชิ้นงานประเภทนี้ ถ้าเป็นการเพนท์กระถางต้นไม้ดินเผา ราคาอยู่ที่ใบละประมาณ 50-300 บาท ถังสังกะสีเพนท์ ราคาอยู่ที่ใบละประมาณ 120-300 บาท กรอบรูปไม้เก่าแขวนต้นไม้ ราคาอยู่ที่ 200-500 บาท โดยระดับราคานั้นขึ้นอยู่กับขนาด รูปแบบ และลวดลายของชิ้นงาน โดยมีต้นทุนวัสดุอยู่ที่ประมาณ 50% ของราคาขาย

ใครสนใจชิ้นงานประเภท ’เพนท์ของแต่งบ้านและแต่งสวน“ ที่เป็นงานแฮนด์เมดของปฐมพงศ์ ซึ่งยังมีชิ้นงานรูปแบบอื่น ๆ อีกหลากหลาย คลิกเข้าไปดูตัวอย่างสินค้าได้ที่เว็บไซต์ http://ad2darthome.plazathai.com หรือต้องการจะสั่งออร์เดอร์ไปใช้ หรือจำหน่ายต่อเป็น “ช่องทางทำกิน” ก็ติดต่อไปได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 08-1648-1145.

แนะนำอาชีพ "เพนท์ของแต่งบ้าน " งานศิลป์ทำขายได้ไม่ยาก http://www.dailynews.co.th/article/384/13033

Saturday, February 11, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ถั่วแปบไร้แป้ง’

แนะนำอาชีพ ‘ถั่วแปบไร้แป้ง’ พลิกแพลงขนมไทยทำเงิน
อาชีพทำกิน ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร ขนม หรืองานประดิษฐ์ ก็จำเป็นต้องใช้ความคิดดัดแปลงปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างจุดขาย สร้างจุดเด่นเพื่อสร้างการจดจำ อย่างการนำขนมไทยโบราณมาประยุกต์พัฒนาปรับให้เข้ากับยุคสมัย เกิดเป็นสูตรขนมไทยที่มีเอกลักษณ์ อย่าง “ถั่วแปบไร้แป้ง” นี่ก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าพิจารณา...

ปูรณ์ภัสสร ประเสริฐบัณพร-ยุทธศาสตร์ อนันตกุล เจ้าของสูตร “ถั่วแปบไร้แป้ง” ที่จะนำเสนอในวันนี้ เล่าว่า ทางบ้านยึดอาชีพทำขนมไทยขายมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ โดยมีหน้าร้านขายขนมไทยหลากหลายประเภท ทั้งขนมทั่วไปและขนมไทยหายาก อาทิ ทองเอก, จ่ามงกุฎ, เสน่ห์จันทร์, เกสรลำเจียก อยู่ที่อ่างทอง ต่อมามีคนรู้จักชักชวนบอกว่าน่าจะนำขนมไทยเหล่านี้มาขายในตลาดกลุ่มคนเมือง บ้าง เพราะเป็นขนมไทยหาทานยาก ตลาดน่าจะไปได้ดีกว่าการขายอยู่ต่างจังหวัด จึงเริ่มทดลองขายในกรุงเทพฯ โดยตระเวนเปิดแผงขายตามตลาดนัดในย่านสำนักงานและออฟฟิศต่าง ๆ สลับหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยขนมไทยที่ทำขายก็จะเปลี่ยนสลับกันไปตามแต่กลุ่มเป้าหมายในจุดขายนั้น ๆ

สำหรับถั่วแปบไร้แป้งนี้ ปูรณ์ภัสสรเล่าว่า เกิดจากความพยายามในการมองหาจุดแตกต่างจากขนมถั่วแปบเจ้าอื่น ๆ ในตลาด เนื่องจากพอนำขนมมาขายในตลาดเมือง คู่แข่งมีมากกว่าการขายในตลาดต่างจังหวัด จึงคิดและมองหาว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำให้ขนมไทยเป็นขนมที่คนทุกกลุ่มสามารถ ทานได้ ไม่ค่อยมีปัญหาต่อสุขภาพ และสามารถสร้างจุดขายให้แตกต่างจากขนมถั่วแปบเจ้าอื่น ๆ เธอจึงทดลองอยู่นาน โดยนำสูตรการทำขนมถั่วแปบโบราณซึ่งเป็นสูตรประจำบ้านที่ทำขายอยู่ มาพัฒนาจนกลายมาเป็นขนมถั่วแปบสูตรไร้แป้งที่ทำขายอยู่ในปัจจุบันนี้...

“ลูกค้าจะชอบถั่วแปบไร้แป้งมาก โดยเฉพาะลูกค้าผู้หญิง เพราะไม่หวานมาก อีกทั้งไม่มีแป้งที่ทำให้หลายคนกลัวว่าทานแล้วจะทำให้อ้วน ตอนที่ทำออกมาใหม่ ๆ ลูกค้าจะยังไม่รู้จัก ก็ต้องอาศัยเรียกให้ชิม ซึ่งทุกคนพอทราบว่าเป็นถั่วแปบสูตรไร้แป้งก็ติดใจ จนตอนนี้ถือว่าเป็นขนมตัวเอกของทางร้านเลยก็ว่าได้” ปูรณ์ภัสสรกล่าว

จุดเด่นของขนมถั่วแปบไร้แป้งนี้ อยู่ที่ส่วนผสมวัตถุดิบที่จะไม่มีการใช้แป้งเข้ามาผสมเลย แต่จะเน้นกรรมวิธีการทำที่จะทำให้ขนมเกาะก้อนกันเป็นกลุ่ม และการปั้นก็จะเลือกปั้นแค่ขนาดพอดีคำ ไม่เน้นทำเป็นชิ้นใหญ่ ๆ โดยการทานสามารถเลือกได้ว่าจะทานสด ๆ เลย หรือจะโรยน้ำตาลคลุกงาเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหวานและความหอมก็ได้ ขณะที่การเก็บรักษา หากแช่ตู้เย็นจะสามารถเก็บไว้ได้ 2 วัน แต่จะอร่อยที่สุดคือซื้อแล้วทานเลย เพราะถั่วจะนิ่มและยังหอมอยู่

ทุนเบื้องต้นอาชีพถั่วแปบไร้แป้งนี้ ใช้ประมาณ 15,000 บาทขึ้นไป ส่วนทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย โดยราคาขายนั้นอยู่ที่กล่องละ 30 บาท ซึ่ง 1 กล่องนั้นจะมีขนมถั่วแปบ 7 ลูก สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ “ถั่วแปบไร้แป้ง” หลัก ๆ ก็มีอาทิ เครื่องกวนหรือเครื่องตีแป้งทำขนม, หม้อซึ้งสำหรับนึ่ง, แม่พิมพ์แบบกดสำหรับกดถั่ว, กระทะใบบัว เป็นต้น

ส่วนผสมของขนมถั่วแปบไร้แป้ง ตามสูตรก็ประกอบด้วย ถั่วเหลืองแกะเปลือก 12 กิโลกรัม แบ่งเป็นสำหรับการปั้นตัวขนม 6 กิโลกรัม และอีก 6 กิโลกรัม สำหรับเป็นถั่วคลุก, น้ำตาลทรายขาว 2 กิโลกรัม, เกลือ 6 ช้อนโต๊ะ โดยส่วนผสมตามสูตรนี้จะสามารถทำขนมถั่วแปบได้ประมาณ 800 ลูก

ขั้นตอนการทำ ถั่วแปบไร้แป้ง เริ่มจากการนำถั่วเหลืองแกะเปลือกมาล้างน้ำทำความสะอาด จากนั้นแบ่งออกสำหรับทำตัวขนมและทำถั่วสำหรับคลุก โดยถั่วเหลืองสำหรับนำมาคลุกให้นำไปแช่น้ำไว้ ขณะที่ถั่วที่จะใช้สำหรับการทำตัวขนมถั่วแปบให้นำเข้าเครื่องกวน เติมน้ำตาลทรายตามอัตราส่วนข้างต้น หรือตามชอบ จากนั้นเปิดเครื่องกวนให้กวนต่อไปประมาณ 2 ชั่วโมง หรือกวนจนถั่วแห้งหมาด ๆ ไม่ต้องกวนจนแห้ง เพราะจะทำให้แตกง่ายขณะปั้น

เมื่อกวนถั่วด้วยเครื่องเสร็จแล้วก็ให้นำถั่วที่กวนได้มาเทใส่กระทะใบบัว ตั้งไฟอ่อน ๆ กวนด้วยมือต่อไปอีกระยะ หรือจนพอที่ถั่วจะร่อนหรือไม่ติดกระทะ จากนั้นนำมาตั้งปล่อยทิ้งไว้ให้ถั่วเย็นตัว หรือจนสามารถที่จะใช้มือจับได้ แล้วทำการปั้นด้วยการใช้แม่พิมพ์กดออกมาเป็นตัวขนมก้อนกลม ๆ จากนั้นก็นำถั่วแปบที่ได้มาคลุกกับถั่วเหลืองส่วนที่แช่น้ำทิ้งไว้และนำขึ้น เตรียมไว้แล้ว โดยคลุกให้ทั่ว เพื่อให้ถั่วติด ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“ขนมถั่วแปบนี้มีเครื่องมืออุปกรณ์ในการทำไม่มาก อีกทั้งขั้นตอนการทำไม่เยอะ เพียงแต่แต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลา และต้องอาศัยการคัดเลือกวัตถุดิบที่ดี ขนมที่ทำออกมาถึงจะมีคุณภาพ” ปูรณ์ภัสสรกล่าว

“ถั่วแปบไร้แป้ง” เจ้านี้ จะตระเวนขายตามตลาดนัดทั่วไป ซึ่งหากใครสนใจต้องการติดต่อสอบถามแหล่งขาย ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-7403-7188 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีตัวอย่าง “ช่องทางทำกิน” จากขนมไทยประยุกต์ ที่น่าสนใจไม่น้อย.

..........................................

คู่มือลงทุน...ถั่วแปบไร้แป้ง

ทุนเบื้องต้น ประมาณ 15,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% ของราคา

รายได้ ราคา 30 บาท / 7 ลูก

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ย่านอาหาร, ตามตลาดนัด

จุดน่าสนใจ สอดรับกับกระแสรักสุขภาพ

แนะนำอาชีพ ‘ถั่วแปบไร้แป้ง’ พลิกแพลงขนมไทยทำเงิน
http://www.dailynews.co.th/article/384/12069

Friday, February 10, 2012

แนะนำอาชีพ ‘หัวใจดอกรัก’

แนะนำอาชีพ ‘หัวใจดอกรัก’ทำเงินช่วงวาเลนไทน์
นวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก ใกล้เข้ามา โอกาสนี้ใครหลาย ๆ คนก็จะเตรียมหาของแทนใจเพื่อไปเซอร์ไพร้ส์ ไปมอบให้คนรักกัน ซึ่งในช่วงเวลานี้ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่หลายคนสามารถใช้ในการทำอาชีพหลัก อาชีพเสริม สร้างงาน สร้างเงินกันได้เป็นกอบเป็นกำ และวันนี้ทีม ’ช่องทางทำกิน“ ก็มีข้อมูลการ ’สร้างรายได้ช่วงวาเลนไทน์“ มาเล่าสู่กัน...

อ.อนุสรณ์ ใจทน ภาควิชาการบริหารธุรกิจคหกรรมศาสตร์ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) เป็นผู้สร้างสรรค์งานประดิษฐ์ ’หัวใจดอกรัก–หัวใจไม่รู้โรย“ โดยเจ้าตัวบอกว่า ของขวัญที่นิยมให้กันในวันวาเลนไทน์ ส่วนมากจะเป็นดอกกุหลาบ และช็อกโกแลต ซึ่งมีราคาสูง โดยเฉพาะดอกกุหลาบซึ่งในช่วงเทศกาลแห่งความรักมักจะมีราคาแพงกว่าปกติ 2-3 เท่า ดังนั้นจึงได้คิดงานประดิษฐ์โดยใช้ดอกไม้ไทย อย่าง ดอกรัก หรือ ดอกบานไม่รู้โรย ที่มีราคาไม่แพง มาเป็นองค์ประกอบ ซึ่งก็สื่อถึงความรักได้เป็นอย่างดีเช่นกัน

การทำ หัวใจดอกรัก นั้น อุปกรณ์ที่ใช้หลัก ๆ ก็มี กรรไกรตัดลวด, กรรไกรตัดกระดาษ, ตะปูเข็ม, ไม้กลัด ส่วนวัสดุที่ใช้ก็มี โฟมตัน เกลาเป็นรูปหัวใจ ให้ได้ขนาดกว้าง 6 นิ้ว สูง 5 นิ้ว และหนา 1 นิ้ว, ดอกรัก 0.5 ลิตร (หรือดอกบานไม่รู้โรย 500 กรัม), ริบบิ้นขาว-แดง, ดิ้นยืด, ดิ้นสปริง, กระดาษสาญี่ปุ่น, ป่านรามี่, ก้านลวดสำเร็จขนาดยาว 1 ฟุต

วิธีทำ เมื่อเกลาโฟมตันให้ได้รูปและขนาดข้างต้นแล้ว ทำการขัดให้เนียนอีกครั้งด้วยกระดาษทราย หรือสก๊อตช์ไบรต์ ส่วนดอกรัก ใช้ดอกรักแบบแกะเปลือกที่มีราคาถูกกว่าแบบไม่แกะเปลือก แม้มีข้อเสียคือสีหม่นเล็กน้อย แต่แก้ไขได้โดยใช้แป้งเด็กโรยเพื่อให้มีสีขาว และกันไม่ให้ยางติดมือ จากนั้นใช้ตะปูเข็มแทงเข้าไปตรงกลางดอก ทำจนครบ เตรียมไว้

เสร็จแล้วเสียบก้านลวดสำเร็จตรงกลาง ด้านล่างของหัวใจ จากนั้นค่อย ๆ ปักดอกรักไปตามเนื้อโฟม ทำไปเรื่อย ๆ จนดอกรักเต็มพื้นที่ ซึ่งขั้นตอนการปักดอกรักนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

พันดิ้นยืด หรือดิ้นสปริงสีทอง ไปรอบ ๆ ดอกไม้ มากน้อยแค่ไหนให้ดูตามความสวยงาม

ต่อมาเป็นขั้นตอนการตกแต่งช่อดอก เริ่มที่ตัดกระดาษสาสีแดง ขนาดกว้าง 2 ฟุต ยาว 2 ฟุต พับครึ่ง จากนั้นนำมาห่อก้านลวดสำเร็จให้เรียบร้อย แปะด้วยสก๊อตเทปที่บริเวณขั้วของก้านลวดให้แน่น

ตัดกระดาษสาสีแดงขนาด 1x1 ฟุต จำนวน 6 ชิ้น เสร็จแล้วจับจีบแต่ละชิ้นให้เป็นรูปทรงพัด (ทรงหงาย) มัดด้วยสก๊อตเทปที่ฐานพัดของแต่ละอันให้เรียบร้อย เสร็จแล้วนำไปตกแต่งรอบฐานหัวใจโฟมโดยรอบ พันด้วยสก๊อตเทปให้แน่น จากนั้นตัดป่านรามี่ขนาด 1x1 ฟุต จำนวน 6 ชิ้น เสร็จแล้วจับจีบเป็นรูปทรงพัด (ทรงคว่ำ) มัดด้วยสก๊อตเทปที่ฐานพัดของแต่ละอันให้เรียบร้อย เสร็จแล้วนำไปตกแต่งรอบฐานหัวใจโฟมโดยรอบ พันด้วยสก๊อตเทปให้แน่นอีกครั้ง

เตรียมริบบิ้นผ้าต่วน (สีแดง) และริบบิ้นแก้ว (สีขาว) ยาว 1.5 เมตร โดยวางริบบิ้นสีขาวบนริบบิ้นสีแดง ทำเป็นโบหูกระต่าย 4 หู รัดตัวโบด้วยริบบิ้นขาว เสร็จแล้วนำไปมัดที่ใต้ฐานหัวใจอีกครั้งหนึ่ง เท่านี้ก็เรียบร้อย

ในกรณีที่ใช้ ดอกบานไม่รู้โรย ตกแต่ง จะคล้าย ๆ กับการทำหัวใจดอกรัก แต่เพิ่มตรงที่ตัดเนื้อโฟมตันรูปหัวใจด้านในออกมาเป็นรูปหัวใจอีกดวง โดยให้เหลือเนื้อที่ด้านข้างประมาณ 1.5 นิ้ว

ส่วนตัวดอกไม้นั้น ให้แกะใบและก้านออกให้หมดเหลือแต่ส่วนของดอกเพียงอย่างเดียว แล้วใช้ไม้กลัดแทงที่กลางดอก ทำจนครบจำนวน แล้วปักดอกไม้ไปตามเนื้อโฟมจนเต็มพื้นที่

การตกแต่ง หัวใจไม่รู้โรย นี้ไม่ต้องใช้ดิ้นยืด หรือดิ้นสปริงพัน เพราะดอกบานไม่รู้โรยเป็นดอกไม้มีสีในตัวอยู่แล้ว ส่วนการตกแต่งช่อนั้น สามารถทำด้วยโบริบบิ้นในหลาย ๆ แบบ

ราคาขาย หัวใจดอกรัก - หัวใจไม่รู้โรย สามารถตั้งได้ตั้งแต่ช่อละ 500-1,000 บาท ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ตกแต่ง ในขณะที่ต้นทุนอยู่ที่ช่อละประมาณ 150-500 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ตกแต่งเช่นกัน

สนใจงานประดิษฐ์ ’หัวใจดอกรัก–หัวใจไม่รู้โรย“ ต้องการติดต่อสอบถาม อ.อนุสรณ์ ใจทน ติดต่อได้ที่ภาควิชาการบริหารธุรกิจคหกรรมศาสตร์ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร หมายเลขโทรศัพท์ 0-2281-9756-8 ต่อ 6502 และ 08-6185-4526 ในวันและเวลาราชการ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกตัวอย่าง “ช่องทางทำกิน” ช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ เทศกาลแห่งความรักก็สามารถทำเงินได้ดี ถ้ารู้จักพลิกแพลง.

..........................................

คู่มือลงทุน...หัวใจดอกรัก

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 50- 100 บาท

ทุนวัสดุ 150-500 บาท / 1 ช่อ

รายได้ 500-1,000 บาท / 1 ช่อ

แรงงาน 1 คน

ตลาด ส่งร้านดอกไม้, รับสั่งทำ

จุดน่าสนใจ ฝึกทำเป็นอาชีพเสริมได้

แนะนำอาชีพ ‘หัวใจดอกรัก’ทำเงินช่วงวาเลนไทน์ http://www.dailynews.co.th/article/384/11878

Saturday, February 4, 2012

แนะนำอาชีพ ‘แกะสลักพระพุทธรูป’

แนะนำอาชีพ ‘แกะสลักพระพุทธรูป’ ฝึกปรือฝีมือดียังมีอนาคต
ปัจจุบันคนที่ทำงาน “แกะสลักพระพุทธรูปจากไม้” มีไม่มาก ซึ่งด้วยความที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ งานรูปแบบนี้ก็น่าจะเป็นงานที่ยืนระยะได้อีกนาน หากมีการฝึกฝนฝีมือให้ดี ๆ งานดังกล่าวนี้ก็น่าจะยังไปได้อีกไกล เพราะตลาดก็ถือว่ากว้าง และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีตัวอย่างผู้ที่ทำงานแกะสลักพระพุทธรูปจากไม้มาให้พิจารณากัน...

รุ่งเรือง ศรีกระจ่าง ช่างแกะสลักพระพุทธรูปจากไม้ และแกะสลักรูปเหมือน วัย 40 ปี ชาวสุโขทัย เล่าว่า ยึดอาชีพช่างแกะสลักพระพุทธรูป และรูปเหมือน มานานกว่า 10 ปีแล้ว เมื่อก่อนทำอาชีพช่างซ่อมเครื่องยนต์ แต่รายได้น้อย ไม่พอใช้ จึงคิดเปลี่ยนอาชีพ โดยเลือกเป็นช่างแกะสลักไม้เป็นพระพุทธรูป ซึ่งในสุโขทัยมีพระพุทธรูปมากมาย จึงได้ซึมซับเรื่องพระเข้ามาในใจ และหวังว่าหากฝึกให้สำเร็จ ในอนาคตน่าจะยึดทำเป็นอาชีพได้ จึงค่อย ๆ เริ่มทดลองทำ

เริ่มแรกใช้แบบพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระบูชาในบ้านมาเป็นแบบครู โดยหาท่อนไม้สักที่ผุพังหรือที่ถูกทิ้งมาใช้ฝึกหัดทำ จนมีฝีมือสร้างงานได้ ต่อมาก็ค่อย ๆ พัฒนา รับงานแกะสลักจากงานสั่งทำจากลูกค้าบ้าง หรือจากวัดต่าง ๆ ที่มาจ้างให้ทำ ซึ่งก็ได้พัฒนาไปถึงงานแกะสลักประตูหน้าต่างโบสถ์ และรูปเหมือนบุคคล พระเกจิอาจารย์ต่าง ๆก็มีงาน มีรายได้พอสมควร มาจนถึงทุกวันนี้

อุปกรณ์ที่ใช้ในงานนี้ก็เป็นอุปกรณ์ช่างไม้ สิ่วแบบต่าง ๆ อาทิ สิ่วแบน (สำหรับงานหน้าตรง) สิ่ววงเล็บ (สำหรับงานโค้ง), สิ่วรูปตัววี (สำหรับงานตกแต่ง) แต่ละอย่างใช้ขนาด เบอร์ 0-20, มีดพร้า, ไม้บรรทัด, ดินสอ, ค้อน, เลื่อย, กบไสไม้, สว่าน, กระดาษทราย, แล็กเกอร์ ทุนอุปกรณ์นั้นก็อาจจะตั้งแต่ 10,000 กว่าบาท ไปจนถึง 100,000 บาทขึ้นไป

ขั้นตอนวิธีแกะสลัก รุ่งเรืองแจกแจงว่า เริ่มจากต้องหาไม้มาแกะสลัก ให้ได้ขนาดพอ ๆ กับขนาดพระพุทธรูปที่จะแกะ โดยขนาดพระพุทธรูปยอดนิยมที่คนนิยมซื้อไปบูชา คือพระพุทธรูปปางสมาธิ ขนาดสูง 30 เซนติเมตร ขนาดหน้าตักกว้าง 9 นิ้ว ราคาประมาณ 1,000 บาท (แกะสำเร็จแล้ว) ซึ่งก็จะต้องหาขนาดไม้ให้ได้ใหญ่กว่าเล็กน้อย

เมื่อได้ไม้แล้ว ก็ใช้ดินสอวาดหน้าไม้ด้านบนให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ให้ได้ขนาดเท่า ๆ กับท่อนไม้ จากนั้นเลื่อยเปลือกไม้ด้านข้างออกไปตามรอยที่ขีดไว้ โดยเลื่อยจากบนลงล่าง อาจจะใช้เลื่อยไฟฟ้าหรือเลื่อยมือก็ได้ตามสะดวก เมื่อเลื่อยเสร็จแล้วจะได้ขนาดไม้ที่จะใช้แกะ จากนั้นก็ค่อย ๆ เขียนรูปพระพุทธรูปแบบคร่าว ๆ บนหน้าไม้ด้านหน้า เลือกหน้าไม้ฝั่งที่กว้างที่สุด

วิธีการวาด ให้กะขนาดและสัดส่วนของพระพุทธรูปที่จะแกะ แล้วจึงวาดลงไป ซึ่งองค์ประกอบของพระพุทธรูปจะประกอบไปด้วย เศียร, ไหล่, แขน, หน้าอก, หน้าตัก, มือ และฐาน

การแกะสลักไม้ จะแกะส่วนของพระพุทธรูปไปทีละส่วน โดยขุดเอาเนื้อไม้ออกเพื่อให้ได้รูปพระพุทธรูปตามที่ต้องการ ใช้สิ่วและค้อนแซะเนื้อไม้ด้านบน ซึ่งเป็นส่วนของเศียร และไหล่ หลักการคือขุดเนื้อไม้ระหว่างบ่ากับเศียรด้านข้างออก ทำแบบนี้ทั้ง 2 ด้าน เมื่อเสร็จจะเห็นบริเวณเศียรพระ และไหล่

ต่อไปก็เป็นการแกะเนื้อไม้เพื่อให้เกิดอกและแขน ใช้สิ่วแกะเนื้อไม้ด้านข้างออก เมื่อแกะเนื้อไม้บริเวณนี้ออกแล้วจะเห็นหน้าอกและส่วนที่เป็นแขนพระขึ้นมา จากนั้นก็มาทำแบบเดียวกันอีก คือบริเวณหน้าตัก และมือ ใช้วิธีการเดียวกันคือใช้สิ่วแกะเนื้อไม้ไปตามรอยที่ขีดเส้นไว้ ซึ่งเสร็จจากขั้นตอนนี้แล้วก็จะได้พระพุทธรูปทั้งองค์ขึ้นมา

รุ่งเรืองบอกว่า หากเป็นองค์พระที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ บริเวณแขนพระพุทธรูปจะต้องขุดเนื้อไม้ให้เป็นร่องลงไป และด้านหลังพระจะต้องขุดเนื้อไม้บริเวณข้าง ๆ เพื่อทำเป็นวงแขน โดยขุดเนื้อไม้ด้านหลังให้ตรงกับวงแขนด้านหน้า เพื่อให้เกิดเป็นวงแขนขึ้นมา

จากนั้นก็เป็นงานตกแต่งพระพุทธรูป โดยเริ่มตกแต่งพระพุทธรูปที่บริเวณลำตัว หน้า แต่งให้เป็นรูปตา จมูก ปาก หู และเศียรพระ เป็นลำดับสุดท้าย ตกแต่งให้สวยงาม และ ต้องมีศิลปะตามแบบฉบับที่ถูกต้อง เสร็จแล้วก็ขัดองค์พระด้วยกระดาษทราย แล้วลงแล็กเกอร์ 2-3 ชั้น แต่ละชั้นก่อนลงทับต้องผึ่งให้แห้ง 4 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อความเงางาม

ทั้งนี้พระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ ปางสมาธิ ขนาดสูง 30 เซนติเมตร ขนาดหน้าตักกว้าง 9 นิ้ว ราคาเช่าบูชาประมาณ 1,000 บาทขึ้นไป โดยมีต้นทุนประมาณ 400 บาทขึ้นไป หรือเฉลี่ยแล้วจะมีต้นทุนประมาณ 40%

ใครสนใจงาน “แกะสลักพระพุทธรูปจากไม้” และรูปเหมือน ต้องการติดต่อ รุ่งเรือง ศรีกระจ่าง ติดต่อได้ที่รุ่งเรืองศิลป์ 100/7 หมู่ 3 ชุมชนรามเล็ก ต.เมืองเก่า อ.เมือง จ.สุโขทัย โทร.08-8904-6077 และเนื่องจากงานแกะสลักไม้นี้ถือเป็นเรื่องยากพอสมควร หากใครสนใจอาชีพนี้จริง ๆ ทางรุ่งเรืองบอกว่า ยินดีจะให้คำปรึกษา.

..........................................

คู่มือลงทุน...แกะสลักพระพุทธรูปไม้

ทุนอุปกรณ์ 10,000-100,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัสดุ ประมาณ 40% ของราคาบูชา

รายได้ ค่าฝีมือประมาณ 60% ของราคา

แรงงาน 1 คนขึ้นไป

ตลาด รับสั่งทำ

จุดน่าสนใจ งานพุทธศิลป์ขายฝีมือราคางาม


แนะนำอาชีพ ‘แกะสลักพระพุทธรูป’ ฝึกปรือฝีมือดียังมีอนาคต http://www.dailynews.co.th/article/384/10811

Friday, February 3, 2012

แนะนำอาขีพ "พวงกุญแจรองเท้า"

แนะนำอาขีพ พวงกุญแจรองเท้า งานหนังย่อส่วนทำเงินสวย
งานประดิษฐ์ งานแฮนด์เมด มีผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานออกมาจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย เหมือนว่าจะครอบคลุมงานศิลปะประดิษฐ์ทุกประเภท แต่ในความเหมือนของสินค้าก็สามารถทำให้แตกต่างได้ ขอแค่พยายามคิดพลิกแพลง สร้างสรรค์งานออกมาในรูปแบบของตัวเอง อย่างเช่นงาน ’พวงกุญแจรองเท้าหนัง“ ที่ย่อส่วนรองเท้าหนังแท้มาทำเป็นพวงกุญแจได้อย่างน่ารัก กลายเป็นอีกรูปแบบ ’ช่องทางทำกิน“ ซึ่งวันนี้เราลองมาดูข้อมูลการทำอาชีพนี้กัน...

นพดล ไกรเพ็ชร และ นิสา นิติพันธ์ สร้างสรรค์งาน “พวงกุญแจรองเท้าหนัง” มาประมาณ 1 ปีแล้ว โดยนิสาเล่าถึงการที่มาจับงานชิ้นนี้ว่า เรียนมาทางด้านออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ส่วนงานพวงกุญแจรองเท้าหนังนั้น จริง ๆ แล้วรับมาขายตั้งแต่สมัยที่ยังศึกษาอยู่ ขายมาตั้งแต่อยู่ปี 1 ซึ่งตอนนั้นไปเจอพี่คนหนึ่งที่เขาขายอยู่ที่ตลาดพันธุ์ทิพย์พลาซ่า เมื่อเห็นแล้วก็ชอบ เห็นว่าน่ารักและไม่เหมือนใคร จึงรับจากพี่เขามาเพื่อขายต่อ

“หลังจากที่รับมาจำหน่ายอยู่ระยะหนึ่ง พี่ที่รับของเขามาขายเห็นว่าชอบ จึงแนะนำให้ลองทำเองดู โดยพี่เขายินดีที่จะคนสอนให้ เราก็อยากทำอยู่แล้ว จึงไปเรียนกับพี่เขา ซึ่งได้เรียนรู้ถึงเรื่องวิธีการทำเบื้องต้น และวิธีการเลือกวัสดุที่จะมาใช้ทำ ซึ่งใช้เวลาเรียนประมาณ 2 ชั่วโมง และก็กลับมาทดลองทำ ปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นแบบฉบับของตัวเอง”

นพดลเล่าเสริมนิสาว่า การไปเรียนรู้การทำจากพี่เขา เหมือนไปขอคำแนะนำ แต่เมื่อนำมาทำจะไม่ลอกเลียนแบบมา 100 เปอร์เซ็นต์ จะมาคิดทำตามแนวทางของตัวเอง ซึ่งงานของพี่ที่เขาสอนมาจะเป็นรองเท้าหนังคู่ที่ใหญ่ ก็มาปรับเปลี่ยนให้เล็กลง เพราะคิดว่าน่าจะเป็นงานที่ดูน่ารัก และมีรูปทรงของรองเท้าที่หลากหลายมากขึ้น ช่วงแรกก็ทดลองทำผิดทำถูกอยู่นาน กว่าจะได้รูปแบบที่ลงตัวตามที่ต้องการ

หลังจากที่ทดลองทำจนได้แบบ ได้แพทเทิร์นที่ต้องการแล้ว ก็เริ่มลงมือทำออกจำหน่าย มีทั้งแบบที่เป็นหนังแท้และหนังพีวีซีที่มีสีสันสดใส งานที่เป็นหนังแท้นั้นคนที่ชอบจะเป็นกลุ่มที่มีอายุ ส่วนกลุ่มวัยรุ่นนักศึกษาจะชอบงานที่ทำจากหนังพีวีซีที่มีสีสันสดใส ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงแรกที่ทำออกจำหน่ายนั้นก็มีท้อบ้าง เนื่องจากเป็นงานที่ต้องใช้ความพยายามในการประดิษฐ์ขึ้นมา ในช่วงแรกที่ออกไปขายก็ขายออกยาก จึงต้องมาปรับแผนหากลุ่มตลาดใหม่ โดยการยอมลดราคาสินค้าลงมา ตั้งราคาให้คนขายอยู่ได้ ลูกค้าก็อยู่ได้ ทำให้ได้กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายขึ้น ขายได้เยอะขึ้น

นพดลกล่าวต่อว่า สำหรับงานพวงกุญแจรองเท้าหนังนี้ ถึงจะทำเป็นคู่เล็กย่อลงมา แต่การทำนั้นทรงรองเท้าก็จะต้องได้สัดส่วนที่เหมือนจริง ทั้งสองข้างจะต้องเท่ากัน และงานจะต้องแข็งแรงทนทาน ไม่ชำรุดเสียหายง่าย

สำหรับอุปกรณ์ในการทำชิ้นงาน หลัก ๆ มีดังนี้คือ... หนังแท้, หนังพีวีซี, กรรไกร, เชือกหนัง, ค้อน, ที่เจาะรูหนัง, คีม, กาวยาง, โฟมยาง (สำหรับทำพื้นรองเท้า), ห่วงพวงกุญแจ, กระดาษทราย เป็นต้น

ทั้งหนังแท้และหนังพีวีซีนั้น ใช้วิธีซื้อที่เป็นเศษหนังจากร้านหนังจะได้ในราคาที่ถูก

ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากการออกแบบรูปแบบรองเท้าที่เราต้องการจะทำ เมื่อได้รูปแบบแล้วจากนั้นก็ทำการวาดแพทเทิร์นลงบนกระดาษแข็ง ซึ่งแพทเทิร์นของรองเท้าหนังพวงกุญแจจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่เป็นพื้นรองเท้า, ส่วนหัวรองเท้า และส่วนตัวรองเท้า

ได้แบบแพทเทิร์นแล้วก็ตัดกระดาษแข็งตามแบบ นำแบบแพทเทิร์นส่วนพื้นรองเท้ามาวางบนโฟมยางสำหรับทำพื้น ใช้ดินสอวาดตามแบบ เมื่อได้แบบทั้ง 2 ข้าง ก็ตัดพื้นออกมาตามแบบที่ร่างไว้ ก็จะได้พื้นรองเท้า นำพื้นไปขัดด้วยกระดาษทรายเก็บรายละเอียดให้พื้นได้รูปทรง โดยส่วนด้านหัวให้เป็นทรงโค้งมน (เวลาติดหนังส่วนหน้าจะทำให้ติดได้สนิท) จากนั้นก็มาทำแบบส่วนที่เป็นหัวรองเท้า และตัวรองเท้า

เมื่อได้แบบทั้งหมดแล้ว ก็เริ่มทำการติดประกอบเข้าด้วยกันทั้ง 3 ส่วน เริ่มจากนำพื้นรองเท้าและส่วนหัวรองเท้ามาประกอบติดกันก่อน ยึดด้วยกาวยางให้แน่นหนา เมื่อพื้นและส่วนหน้าติดกันแน่น กาวแห้งดีแล้ว ก็เอาส่วนตัวมาประกอบติดเข้าไป รอให้กาวแห้ง จึงทำการเจาะรูรองเท้าแล้วนำเชือกเทียนหรือเชือกหนังมาร้อยเป็นเชือกรองเท้า

“ยังไม่ต้องเจาะใส่พวงกุญแจวางขายเป็นคู่ เผื่อลูกค้าต้องการที่จะเจาะเป็นพวงกุญแจอย่างละข้าง หรืออาจจะทำเป็นที่ห้อยโทรศัพท์ ก็ตามใจลูกค้า” เจ้าของผลงานกล่าว

การลงทุนทำพวงกุญแจรองเท้าหนังนี้ ใช้ทุนเบื้องต้นประมาณ 500 บาท ก็สามารถทำออกมาได้ประมาณ 1,000 คู่ โดยสินค้าของนิสาและนภดลมีราคาขายดังนี้คือ... ถ้าเป็นแบบใช้หนังแท้ ราคาคู่ละ 49 บาท ถ้าใช้หนังพีวีซี ราคาคู่ละ 39 บาท แต่ถ้าสั่งซื้อตั้งแต่ 20 คู่ขึ้นไป จะได้ในราคาส่งอยู่ที่คู่ละประมาณ 30 บาท

“นอกจากพวงกุญแจรองเท้าหนังแล้ว เรายังต่อยอดพัฒนาให้สินค้าของเรามีความหลากหลายมากขึ้น เราทำรองเท้าหนังสำหรับใส่ตุ๊กตาบาบี้และตุ๊กตาบลายธ์ด้วย เพื่อให้ลูกค้าได้มีทางเลือกมากขึ้น นอกจากนั้นสินค้าของเราก็ยังมี พวงกุญแจเสื้อกั๊กที่ทำจากหนัง, พวงกุญแจหมวกคาวบอย และกระเป๋าใส่โทรศัพท์มือถือด้วย” นพดลกล่าว

สนใจ ’พวงกุญแจรองเท้าหนัง” ของนิสาและนพดล แวะไปดูกันได้ โดยทั้ง 2 จะขายทุกเสาร์-อาทิตย์ ที่ตลาดพูนทรัพย์ หรือไม่ก็ไปที่พันธุ์ทิพย์พลาซ่างามวงศ์วาน ต้องโทรฯสอบถามก่อน ที่ โทร. 08-9440-9317.
http://www.dailynews.co.th/article/384/10632

แนะนำอาชีพ "เกี๊ยวซ่ากุยช่ายทอด"

แนะนำอาชีพ "เกี๊ยวซ่ากุยช่ายทอด"
อร่อยเกี๊ยวแบบอิตาเลียน หวานนุ่มลิ้น 'ขนมปังพิซซ่า'
วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 00:00 น.
ขนมปังพิซซ่า
ริซอตโต้กับเห็ดทรัฟเฟิล
เกี๊ยวไส้ชีส
ชีสบูคารากับผัก
เกี๊ยวซ่ากุยช่ายทอด
เกี๊ยวแบบอิตาเลียน
ช็อกโกแลตมูสในน้ำแข็งไส

โดยมากแล้วเดือนละครั้ง หรือปีละ 6–7 ครั้ง ผมมักมีเพื่อนสาว ซึ่งความจริงก็ไม่ได้สาวซักเท่าไหร่นักนะครับ แต่เป็นเพื่อนที่ผมสนิทชิดชอบแล้วก็คุ้นเคยกันมาก สาว ๆ กลุ่มนี้ก็จะนัดกินข้าวกัน โดยจะเลือกร้านที่แปลก ๆ ไปเรื่อย ๆ มานั่งกินอาหารกัน แล้วก็แชร์กัน ไม่ต้องมีใครเลี้ยงใครทั้งนั้น หมายความว่าทุกคนออกเงินกันหมด สั่งตามที่เราชอบใจที่อยากจะกิน มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน นั่งคุยกันในเรื่องต่าง ๆ ตามประสาเพื่อน ๆ ไม่มีอะไรซีเรียส ไม่มีอะไรที่เลวร้าย แต่ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข

เมื่อปลายปีที่แล้ว ผมได้ไปกินกับเพื่อนสาวทั้งหลายของผม และได้ฉลองวันเกิดน้องสาวของผมคนหนึ่งด้วย เรานัดไปกินที่โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท ซึ่งจองไว้ที่ร้านอาหารอิตาเลียนชื่อว่า รอสซินีส์ ซึ่งเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียง และเปิดมานานแล้ว

ปกติผมจะเป็นคนที่ไปสายที่สุด แต่คราวนี้กลายเป็นผมเป็นคนไปถึงเร็วที่สุด ระหว่างนั่งรอพวกสาว ๆ อยู่ ผมนั่งจิบไวน์และจิบโปรเซกโก ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ กับแชมเปญเพื่อรอพวกเขา ไม่นานพวกเพื่อน ๆ ของผมก็เริ่มทยอยมากัน เชฟที่ร้านเมื่อเห็นว่าพวกผมมานั่งรออยู่นานแล้วก็พยายามเสิร์ฟอาหารมาให้ เราขบเคี้ยวเล่น แต่ผมว่าไม่เป็นไร รอให้เพื่อน ๆ มากันครบเสียก่อน

ร้านนี้บรรยากาศดี โดยมากแล้วจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไปกินที่ร้านนี้เป็นประจำ พอเพื่อน ๆ มาถึงก็บอกว่าหิวมากเลย ปรากฏว่าจานแรกขอ ขนมปังพิซซ่า มากินก่อนเลย เชฟบอกว่าเดี๋ยวทำให้ ซึ่งขนมปังพิซซ่าเป็นแผ่นบาง ๆ มีซอสมะเขือเทศอยู่เล็กน้อย มีชีสอยู่นิดหน่อยครับ กินเข้าไปแล้ว รสชาติดี เพราะกินกับไวน์ครับ เข้ากันได้ดี ชุ่มคอดีจัง ทำให้ไม่ฝืดคอ ส่วนพิซซ่าก็อร่อย รสชาติไม่รุนแรง เหมาะสำหรับกินกับไวน์ที่สุด

หลังจากนั้นเขาก็ส่งอาหารเรียกน้ำย่อยมาให้เรา 2 อย่าง คือ ตับห่านทอดกับซอสราสเบอร์รี่ สั่งมา 2 จาน เพราะเราไปกันหลายคน ตับห่านชิ้นหนามากเลยครับ ส่วนซอสราสเบอร์รี่ก็สีแดงมากตัดกับสีน้ำตาลของตับห่าน น่าทานมาก รสชาติและวิธีการทอดของเขาทำได้ดีมาก ข้างนอกจะไหม้กรอบนิด ๆ แต่ว่าข้างในตรงกลางจะเหมือนวุ้น ความจริงแล้วก็คือเลือดของตับครับ กินเข้าไปเหมือนไขมันจะละลายในปาก

จากนั้นเขาก็เอาอาหารเรียกน้ำย่อยอีกจานหนึ่งมาให้คือ หอยเชลล์ราดซอส ซึ่งเขาจะเอาหอยเชลล์ไปนาบกับกระทะครับ แล้วมีซอสตามลงไปด้วย แต่นาบต้องไม่ให้สุกจนเกินไปให้ข้างในยังเป็นสีชมพูอยู่ ยังแดง ๆ มีความชุ่มชื้นอยู่นะครับ อร่อยจริง ๆ เลยครับ

ตามมาด้วย ชีสบูคารากับผัก เป็นขนมปัง คล้าย ๆ ขนมปังพิต้า เป็นขนมปังแผ่นบางมาก เสิร์ฟกับชีสที่เรียกว่า บูคารา หรือบูราต้า แล้วก็มีผักอยู่ในนั้นด้วย เพราะว่าสาว ๆ เขาอยากจะกินผัก แต่ใครที่กินชีสเข้าไปก็อ้วนได้เหมือนกัน เราก็กินกับขนมปัง จานนี้อร่อยมากมีรสชาติครีมแล้วก็มีความเปรี้ยวเล็กน้อย ใช้ได้เลยครับ

อาหารจานต่อไปที่ผมจะพูดถึง ล้วนเป็นอาหารที่ทำด้วยแป้งทั้งนั้น มีครีม ซอส ชีส ไม่อ้วนก็แย่แล้วครับ แต่บอกให้นะว่าเกี๊ยวของคนอิตาเลียน หรือที่ภาษาฝรั่งเขาเรียกว่า ราวีโอลี ซึ่งเราสั่งมา 2 อย่าง จานหนึ่งเป็น เกี๊ยวไส้ชีส ทำด้วยแป้งขาว มีไข่ มีผักนิดหน่อยครับ

ส่วนอีกจานหนึ่งเป็น เกี๊ยวแบบอิตาเลียน ทำด้วยแป้งโฮลวีท จะออกมากลายเป็นสีน้ำตาล หรือขาวนิด ๆ แล้วมีไส้เป็นผักโขมครับ เมื่อกินเข้าไปแล้วอร่อยมาก ต่างคนต่างแบ่งกันกิน ไม่ต้องกินเยอะเดี๋ยวอ้วนครับ

อาหารจานสุดท้ายที่เราสั่งมากินก็คือริซอตโต้ คำว่า ริซอตโต้ของคนอิตาเลียนก็คือข้าวผัดแบบอิตาเลียน เขาไม่ใช้ข้าวแบบไทยนะครับ แต่เขาจะใช้คล้าย ๆ กับข้าวญี่ปุ่น แต่วิธีการหุงข้าวหรือวิธีการผัดข้าวของเขาแปลกกว่าของเรา คือ เขาจะเอาน้ำมันมะกอกใส่ หรือเนยใส่ลงไปในกระทะ ทำให้ร้อน เสร็จแล้วเอาหอมใส่ บางทีใส่หญ้าฝรั่น บางทีใส่เครื่องอะไรต่าง ๆ เข้าไปผัด

พอผัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาถึงจะเอาข้าวดิบ ๆ ที่เป็นเม็ดสั้น ๆ เอาไปผัดกับน้ำมันและกับเครื่องต่าง ๆ เสร็จแล้วค่อย ๆ เทน้ำซุป โดยมากจะเป็นน้ำซุปไก่ลงไป แล้วก็ผัด แล้วก็คนไปเรื่อย ๆ จนข้าวอมน้ำเริ่มสุกนิด ๆ แล้วก็เติมน้ำไปเรื่อย ๆ จนน้ำข้น โดยลักษณะจะต้องเละ ๆ ข้น ๆ เหมือนกับโจ๊กเลยครับ แต่ข้าวยังเป็นเม็ดอยู่ จากนั้นจะปรุงรสให้ความหอม ความเค็ม ความอร่อย อาจจะใส่ครีมหรือไม่ใส่ครีมก็ได้

วันนั้นเราสั่งเป็น ริซอตโต้กับเห็ดทรัฟเฟิล ซึ่งราคาแพงมาก ซึ่งเอามาขูด ๆ เป็นชิ้นบาง ๆ วางไว้ด้านบนของริซอตโต้ โดยปกติริซอตโต้ที่แท้จริง เม็ดข้าวจะต้องกรุบ ๆ อยู่เหมือนเม็ดข้าวที่ไม่สุก คนไทยส่วนมากไปอิตาลี พอได้กินริซอตโต้เข้าไป ก็บ่นว่าฝรั่งหุงข้าวไม่เป็น แต่นี่คือลักษณะของริซอตโต้ที่แท้จริงครับ เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามกินให้เป็น ถ้าเราอยากจะเข้าใจถึงวัฒนธรรมการกินของคนอิตาเลียน

มาที่ขนมหวานเป็น ช็อกโกแลตมูสในน้ำแข็งไส เป็นช็อกโก แลตเอามาพ่นใส่เข้าไปในถ้วย แล้วก็โรยด้วยผงโกโก้ หรือบางทีก็เป็นช็อกโกแลตที่เป็นแผ่น ๆ เวลาเรากินก็ต้องรีบกิน เวลาเราตักทีเราต้องตักไปให้ถึงก้นของแก้วเลย มิฉะนั้นก็จะไม่ได้ความเย็นของน้ำแข็งไส และความร้อนของช็อกโกแลต กินรวมกันแล้วอร่อย ผมกินทั้งหมดเลย มิน่าล่ะน้ำตาลของผมถึงได้ขึ้น นับว่าเป็นอาหารที่แปลกดีและอร่อยมากครับ

เพราะฉะนั้นถ้าใครมีเวลาอย่าลืมแวะไปที่รอสซินีส์ ที่โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท อาหารเขามีให้เลือกหลายอย่าง และอร่อยด้วยครับ.

ที่อยู่ : 250 ชั้นล็อบบี้ โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท ถนนสุขุมวิท เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110โทรศัพท์ : 0-2649-8888เวลาเปิด : จันทร์-ศุกร์ 12.00–14.30 น., เสาร์ 18.30–22.00 น.อาทิตย์ 12.00–15.00 น. และ 18.30–22.00 น.

ชิมให้เป็น การชิมริซอตโต้

ถ้าคนไทยไม่มีประสบการณ์เรื่องวัฒนธรรมการกินของฝรั่งเขาแล้ว ก็จะไม่รู้เลยว่าริซอตโต้ที่แท้จริงจะต้องมีความกรุบ ๆ อยู่ในข้าวแต่ละเม็ด ไม่ใช่ว่า ฝรั่งเขาทำข้าวไม่เป็นนะครับ แต่ฝรั่งเขาเคยทำกินกันมาแบบนี้

เสน่ห์ของริซอตโต้ คือ ความเข้มข้นของแป้งที่ถูกคนมา เวลาที่เราค่อย ๆ ใส่น้ำซุป หรือครีม หรืออะไรต่าง ๆ ก็ตาม ที่ทำให้ข้าวมีรสชาติแล้วทำให้ข้าวกลายเป็นข้าวที่อยู่ในซอส โดยการผัดอยู่เรื่อย ๆ โดยเราจะทำสตูแล้วเอาข้าวไปผัด จากนั้น เอาน้ำสตูราดเข้าไปในนั้น ซึ่งจะทำให้อร่อยมาก

ยิ่งต้มนาน ๆ ก็จะยิ่งทำให้น้ำสตูเข้มข้น ข้าวก็จะอมรสชาติของสตู รสชาติของซอสต่าง ๆ ที่เราใส่เข้าไปในข้าวที่เรากำลังผัดอยู่ และเมื่อได้ที่แล้วก็ปรุงรสให้เรียบร้อย แล้วก็กินแบบนั้นเลยครับ เป็นอาหารที่แปลกดี แต่นาน ๆ ครั้งผมถึงจะได้กินริซอตโต้ ซึ่งทำให้ผมท้องอืด เพราะว่าข้าวยังไม่สุกตรงกลาง แต่ว่านี่คือลักษณะของวัฒนธรรมการกินของชาวอิตาเลียนเขานะครับ ต้องลองกินถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร จะได้ชิมให้เป็นอย่างไรครับ.

เกี๊ยวซ่ากุยช่ายทอด

เครื่องปรุงไส้กุยช่ายทอด

-เต้าหู้แข็งหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 1/4 ถ้วยตวง

-กุยช่ายซอย 1 ถ้วยตวง

-กุ้งแห้ง 1/4 ถ้วยตวง

-เบคอนซอย 1/4 ถ้วยตวง

-พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา วิธีทำ

1. ในชามผสม ใส่เต้าหู้ กุยช่ายซอย กุ้งแห้ง เบคอนซอย พริกไทยป่น ผสมให้เข้ากัน พักไว้เป็นไส้

เครื่องปรุงเกี๊ยวซ่ากุยช่ายทอด

-แผ่นแป้งเกี๊ยวซ่า 10 แผ่น

-ส่วนผสมไส้ พอประมาณ

-น้ำเปล่า 1 ลิตร

-น้ำมันปาล์ม สำหรับทอด

-จิ๊กโฉ่ว สำหรับจิ้ม

-ซีอิ๊วดำหวาน สำหรับเสิร์ฟ

วิธีทำ

1. นำแผ่นแป้งเกี๊ยวซ่ามาวางส่วนผสมของไส้ลงไปกลางแผ่นแป้ง ทาน้ำตามขอบแป้งให้ทั่ว พับขอบแป้งเข้าหากัน จับกลีบแป้งให้ติดกัน พักไว้

2. นำลังถึงใส่น้ำตั้งเตาให้ร้อน เรียงเกี๊ยวซ่ากุยช่ายลงนึ่ง ใช้เวลาประมาณ 3–5 นาที พอสุกยกออกพักไว้

3. นำกระทะตั้งเตาใส่น้ำมันลงไป พอร้อน นำเกี๊ยวซ่ากุยช่ายที่ห่อแป้งแล้วลงทอด ให้สุกเหลือง

4. ตักเกี๊ยวซ่ากุยช่ายทอดออกพักไว้

5. จัดเกี๊ยวซ่ากุยช่ายทอดลงในจาน เสิร์ฟพร้อมกับจิ๊กโฉ่ว และซีอิ๊วดำหวาน

ส่วนผสมแป้งเกี๊ยวซ่า

-แป้งสาลี 180 กรัม

-เกลือป่น 1 ช้อนชา

-น้ำร้อน 100 มิลลิลิตร

-น้ำมันปาล์ม 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. ในชามผสม ใส่แป้งสาลี เกลือป่น ลงไป แล้วหยอดน้ำร้อนลงไป นวดให้ส่วนผสมเข้ากัน

2. ใส่น้ำมันลงไป นวดให้ส่วนผสมเข้ากัน และร่อนออกจากขอบชามผสม

3. ปิดด้วยพลาสติกถนอมอาหาร พักไว้ประมาณ 30-60 นาที ที่อุณหภูมิห้อง

4. นำแป้งที่ได้มารีดให้เป็นแผ่นกลม ๆ ใช้เป็นแป้งเกี๊ยวซ่าความรู้คู่ครัว

ถาม : ใส่เบคอนและกุ้งแห้งกับกุยช่ายทำไม?

ตอบ : ใส่เพราะเบคอนให้ความเค็มและหอม ส่วนกุ้งแห้งให้รสชาติและความหอม

หมึกแดง
www.mcdangguide.com
http://www.dailynews.co.th/article/224/10464