Wednesday, October 21, 2009

แนะนำอาชีพ ‘กินเจ’

ขายได้ทั้งปี-ขายดีช่วง ‘กินเจ’

ในยุคที่เศรษฐกิจตกสะเก็ด ถ้าใครมัวแต่ย่ำอยู่กับสิ่งเดิม ๆ ก็คงไปไม่รอดแน่ ซึ่งกับการค้าขายนั้นการสร้างจุดขายและไอเดียที่แปลกใหม่เป็นสิ่งจำเป็นมาก และสำหรับตัวอย่าง “ช่องทางทำกิน” รายนี้ ก็มีไอเดียดี ๆ มีสินค้าน่าสนใจ ซึ่งกับ “เทศกาลกินเจ” ที่ใกล้จะมาถึง สินค้าตัวนี้ก็มีโอกาสขายดิบขายดียิ่งขึ้น...

เฉลิมพันธ์ เจษฎาพงศ์ภักดี หรือ เจ๋ง ทายาทร้านแม่เก่ง ขายข้าวเหนียวมูนสมุนไพรแฟนซี และ “ข้าวเหนียวมูนธัญพืช” เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจครอบครัว ที่ได้ระดมความคิดและลองผิดลองถูกในการทำข้าวเหนียวมูนร่วมกันมา สุดท้ายก็มาลงตัวกับรสชาติปัจจุบัน เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ที่ได้ลิ้มลอง

เจ๋งเองก็โตมาพร้อม ๆ กับธุรกิจข้าวเหนียวมูน รู้ขั้นตอนการผลิตและการขายทุกอย่าง และตอนนี้ก็ได้เข้ารับช่วงสานต่อธุรกิจนี้ โดยกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีบริหารธุรกิจ เพื่อจะนำความรู้มาพัฒนาธุรกิจต่อไป

“ข้าวเหนียวสมุนไพรแฟนซี เป็นแนวคิดของผม เป็นไอเดียที่นำสีจากสมุนไพรธรรมชาติมาผสมเพื่อสร้างสีสันและความแตกต่าง โดยทำเป็น 9 สี 9 รส สีม่วงจากอัญชัน, สีเหลืองจากขมิ้น, สีเขียวจากใบเตย, สีส้มจากแครอท, สีแดงจากบีทรูท, สีดำจากข้าวเหนียวดำ, สีชมพูจากดอกเฟื่องฟ้า และสีเนื้อจากแก่นฝาง เมื่อทำออกมาขายในตลาด กระแสตอบรับดีมาก ๆ จนระยะหลัง ๆ ก็มีคนลอกเลียนเยอะเหมือนกัน”

เจ๋งเล่าต่อไปว่า ต่อมาได้มีการพัฒนาสินค้า จนเกิดเป็น “ข้าวเหนียวมูนธัญพืช” ซึ่งจากกระแสรักสุขภาพ ก็มีลูกค้าสนใจมาก และในช่วง “เทศกาลกินเจ” เมื่อปีที่แล้ว ก็ขายดิบขายดี จนต้องทำต่อเนื่อง ซึ่งก็จะมีทั้ง ข้าวเหนียวมูนลูกเดือย, ข้าวเหนียวมูนแปะก๊วย, ข้าวเหนียวมูนเม็ดบัว, ข้าวเหนียวมูนถั่วเหลือง, ข้าวเหนียวมูนเผือก, ข้าวเหนียวมูนงาม่อน, ข้าวเหนียวมูนถั่วแดง, ข้าวเหนียวมูนกลอย

สำหรับการทำข้าวเหนียวมูนขาย อุปกรณ์ที่ต้องใช้หลัก ๆ ก็มี... เตาแก๊ส, ลังถึง, ไม้พาย, หม้อสเตนเลส, ถังน้ำ, กะละมังขนาดใหญ่, ถาด, มีด, ทัพพี, กระชอน, กระทะ, ผ้าขาวบาง ฯลฯ

ส่วนวัตถุดิบทำ “ข้าวเหนียวมูนธัญพืช” ถ้าใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 10 กก. จะใช้มะพร้าวขูดขาว 18 กก., น้ำตาลทรายขาว 6 กก. และลูกเดือย เผือก ถั่วแดง แปะก๊วย เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ “ข้าวเหนียวมูนธัญพืช” เช่น ลูกเดือย แปะก๊วย เผือก และถั่วแดง เริ่มจากนำข้าวเหนียวมาแช่น้ำทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง แล้วซาวล้างให้สะอาด นำไปใส่ลังถึงนึ่ง โดยรองด้วยผ้าขาวบาง เกลี่ยข้าวเหนียวให้ทั่ว นึ่งน้ำเดือดไฟแรงประมาณ 45 นาที เพื่อให้เมล็ดข้าวเหนียวอ่อนนุ่ม

ธัญพืชต่าง ๆ ให้แยกนึ่งแต่ละชนิด ลูกเดือย ให้นำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง แล้วซาวล้าง จากนั้นนำไปต้มสัก 10 นาที ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำแล้วนำไปนึ่งพร้อมกับข้าวเหนียว, แปะก๊วย ล้างให้สะอาด นำไปนึ่งพร้อมกับข้าวเหนียว, เผือก ทำการปอกเปลือก แล้วล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก นำไปนึ่งพร้อมกับข้าวเหนียว ส่วนถั่วแดง นำไปแช่น้ำ 3 ชั่วโมง ล้างให้สะอาด แล้วนำไปต้ม 15 นาที ให้เม็ดนิ่ม แล้วจึงนำไปนึ่งพร้อมข้าวเหนียว

ระหว่างที่รอข้าวเหนียวสุก ทำการคั้นมะพร้าวด้วยน้ำต้มสุกจนได้หัวกะทิสดที่เข้มข้น

นำหัวกะทิสดที่ได้มาแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกใช้ในการมูนข้าวเหนียว โดยนำน้ำกะทิมาเติมน้ำตาลทราย เกลือ ให้รสชาติออกหวานเค็มพอดี ๆ ใช้ทัพพีคนส่วนผสมให้ละลายเข้ากัน แล้วทำการกรองน้ำกะทิด้วยผ้าขาวบางอีกรอบให้สะอาด นำขึ้นตั้งไฟพอเดือด ยกลงตั้งพักไว้ เมื่อข้าวเหนียวที่นึ่งกับธัญพืชสุก เทใส่กะละมัง นำน้ำกะทิที่เตรียมไว้เทราดลงในข้าวเหนียวธัญพืชที่ยังร้อน ๆ ใช้ไม้พายช่วยมูนให้ข้าวเหนียวกับน้ำกะทิเข้ากันจนทั่ว แล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีเพื่อให้ความร้อนจากข้าวเหนียวดูดซึมน้ำกะทิให้แห้ง

น้ำกะทิอีกส่วน นำมาผสมแป้งข้าวโพด น้ำตาลทราย เกลือนิดหน่อย ชิมรสชาติตามชอบ นำขึ้นตั้งไฟใช้ความร้อนปานกลาง คนไปเรื่อย ๆ ไม่ให้กะทิแตกมัน พอเดือดยกลง ก็จะได้กะทิสำหรับราดข้าวเหนียวเพื่อเพิ่มรสชาติ และก็ต้องทำถั่วเขียวซีกคั่วไว้สำหรับโรยหน้าข้าวเหนียวมูนด้วย ซึ่งจุดเด่นข้าวเหนียวมูนร้านแม่เก่งคือจะมีรสชาติหวานมันกลมกล่อม ข้าวเหนียวไม่แฉะ ตอนรับประทานรสชาติยังคงติดลิ้น

ข้าวเหนียวมูนทุกอย่างของร้านนี้ ขาย กก.ละ 120 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 50% จากราคาขาย

ร้านข้าวเหนียวมูนร้านนี้อยู่ปากซอยหมู่บ้าน ต.รวมโชค 33/496 ซอยโชคชัย 4 (54) ถนนลาดพร้าว กรุงเทพฯ โทร. 08-9881-2349, 08-9889-8891, 0-2538-3331 ใครสนใจซื้อ สนใจจะสั่งไปขายต่อ ก็เชิญได้ตามสะดวก ซึ่งกับ “เทศกาลกินเจ” ที่ใกล้จะมาถึง “ข้าวเหนียวมูนธัญพืช” ก็เป็นอีกสินค้าที่มีแนวโน้มสดใส.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=23956&categoryID=525

แนะนำอาชีพ‘อาหารเจ’

‘อาหารเจ’ พร้อมทำเงิน

“ช่องทางทำกิน” วันนี้ยังคงเป็นข้อมูลอาชีพ “ขายอาหารเจ” รับ “เทศกาลกินเจ” ที่ใกล้จะมาถึง โดยวันนี้มีเมนูประเภท “ผัด” มาเปิดสูตรอีก 3 สูตรคือ...“ผัดหมี่เจ-ผัดโปรตีนเกษตรเจ-ผัดมะเขือยาวเจ”

อุไรวรรณ ติยะวัฒน์วิทยา เจ้าของ วินรถสองแถวรับ-ส่งในซอยย่านจรัญสนิทวงศ์ 37 เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญการทำอาหารเจ เธอเล่าว่า ช่วงเทศกาลกินเจจะเป็นช่วงที่อาหารเจได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งก็เคยมีความคิดที่จะทำขายเหมือนกัน แต่คนในครอบครัวห้ามไว้ เพราะไม่อยากให้เหนื่อยมาก และเพราะความใจดีชอบช่วยคน ถ้าทำขายก็คงจะได้กำไรไม่คุ้มเหนื่อย ประกอบกับอายุมากแล้ว จึงไม่ทำขาย แต่เปลี่ยนเป็นทำแจก 1 วันในช่วงเทศกาลกินเจ ซึ่งก็ทำแจกแบบนี้ติดต่อกันมานานกว่า 20 ปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม วันนี้คุณอุไรวรรณจะเปิดสูตรเมนูอาหารเจให้ 3 สูตรคือ...

“ผัดหมี่เจ” ส่วนประกอบหลักคือ เส้นหมี่เหลืองกลม ๆ ใหญ่ ๆ ราคา กก.ละไม่เกิน 25 บาท, หัวไชโป๊สับฝอย, เต้าหู้หั่น, เห็ดหอม, คะน้า, กะหล่ำปลี, แครอท, เห็ดฟาง ส่วนเครื่องปรุงรสนั้นก็มี ชูรสเจ, ซีอี๊วขาว, ผงปรุงรสเจ (แบบก้อน-นำไปละลายน้ำ), น้ำตาลทราย และน้ำเห็ดหอมปั่น

การผัดหมี่เจนั้น คุณอุไรวรรณบอกว่า ง่ายมาก แต่ว่าผัดแล้วจะอร่อยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปรุงรสเป็นหลัก โดยคนทานนั้นส่วนมากจะเน้นทานผักและเต้าหู้มากกว่าเส้น การผัดนั้นก็ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืช รอให้ร้อนก็ใส่หัวไชโป๊ลงไป ใส่เห็ดหอม เห็ดฟาง ลงไปผัดให้เข้ากัน จากนั้นใส่เส้นหมี่ลงผัด ตามด้วยผักต่าง ๆ แล้วก็ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงตามชอบ โดยเน้นให้มีรสชาติกลมกล่อมพอดี ๆ ผัดต่อไปสักพักจนผักสุก เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ

เคล็ดลับความอร่อยของอาหารเจคุณอุไรวรรณ คือการใช้น้ำเห็ดหอมปั่นเป็นส่วนผสมด้วย ซึ่งการทำก็นำเห็ดหอมไปแช่น้ำจนนิ่ม จากนั้นนำไปปั่นกับน้ำพอประมาณ ปั่นให้ละเอียด แล้วนำไปต้มให้สุก ปรุงรสกับซีอิ๊วขาวพอประมาณ เท่านี้ก็ใช้ได้ ซึ่งน้ำเห็ดหอมนี้ทำแล้วสามารถเก็บใส่ตู้เย็นไว้ใช้คราว ต่อ ๆ ไปได้

คุณอุไรวรรณบอกว่า ผัดหมี่เจนั้น 1 กก. จะลงทุนไม่เกิน 60 บาท ขายได้ประมาณ 200 บาท ซึ่งเป็นสัดส่วนกำไรที่น่าสนใจทีเดียว ส่วนอาหารเจอื่น ๆ โดยทั่วไปจะมีกำไรครึ่งหนึ่งจาก ราคาที่ตั้งขาย

ต่อไปเป็น “ผัดโปรตีนเกษตร เจ” เคล็ดลับที่ทำโปรตีนเกษตรอร่อยนั้น คุณอุไรวรรณ บอกว่า ก่อนอื่นต้องนำไปแช่น้ำแล้วตากแดดให้แห้งสนิท จากนั้นทอดโปรตีนเกษตรให้กรอบ แล้วจึงนำไปผัด อย่าทิ้งไว้นาน เพราะถ้าทิ้งไว้นานแล้วโปรตีนจะไม่กรอบเลย

เมื่อทอดโปรตีนเกษตรเสร็จแล้ว ก็ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอประมาณ เมื่อน้ำมันร้อนใส่พริกแกงพอประมาณลงไปผัด แล้วใส่โปรตีนเกษตรที่ทอดแล้วลงไป ปรุงรสด้วยผงปรุงรสก้อน-ละลายน้ำ, น้ำมันหอย, ชูรสเจ, น้ำตาลปี๊บ และงาขาว ชิมรสดูให้ได้ที่ แล้วผัดไปเรื่อย ๆ ให้เข้ากัน ระหว่างผัดอย่าให้ไฟแรงไป เพราะจะไหม้ เมื่อส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดีแล้ว ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย และใบมะกรูดหั่นฝอยพอประมาณ เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว

อีกสูตรคือ “ผัดมะเขือยาวเจ” เป็นเมนูเจยอดฮิตอีกเมนูหนึ่ง คุณอุไรวรรณบอกว่า ผัดมะเขือยาวเจจะอร่อยได้นั้น จะต้องหักมะเขือยาวเป็นท่อน ๆ แทนการหั่น เพราะการปรุงรสต่าง ๆ จะซึมเข้าเนื้อมะเขือยาวได้ดีกว่าการหั่น โดยมะเขือยาวที่หักแล้วให้แช่น้ำและใส่เกลือลงไปเล็กน้อย เพื่อไม่ให้มะเขือยาวดำ

การผัดก็เริ่มต้นด้วยการตั้งกระทะใส่น้ำมัน เมื่อน้ำมันร้อนใส่หัวไช โป๊ลงผัด ใส่พริกแกงพอประมาณ ใส่มะเขือยาวที่เตรียมไว้ลงผัด เติมน้ำเล็กน้อย ปรุงรสด้วยเต้าเจี้ยว, น้ำเห็ดหอมปั่น, เกลือ, ชูรสเจ ชิมรสให้ออกรสกลมกล่อมพอดี ๆ แล้วปิดฝาครอบลงไปเพื่อให้มะเขือสุก เมื่อมะเขือสุกแล้ว โรยใบโหระพาลงไป แล้วผัดให้เข้ากัน เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย พร้อมรับประทานหรือจำหน่าย

ใครที่กำลังคิดจะทำ “อาหารเจ” ขาย บางที “เมนูผัด” 3 เมนูที่ว่ามาอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี ก็ลองนำสูตรไปฝึกฝนทำกันดู หรือใครอยากจะสอบถามเพิ่มเติม อยากจะขอคำแนะนำจากคุณอุไรวรรณ ติยะวัฒน์วิทยา ก็ลองโทรศัพท์ไปที่หมายเลข โทร. 0-2412-5518 (ช่วงเวลา 15.00-19.00 น. เท่านั้น).

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=25285&categoryID=525

แนะนำอาชีพ‘กากถั่วเหลือง’

มีคุณค่า-เป็นสินค้าทำเงิน

จากถั่วเหลือง” ที่เหลือจากการผลิตนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้ ยังมีคุณค่า เมื่อนำไปอบแห้งจะประกอบด้วยโปรตีน 24-28% ไขมัน 8-12% เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ 40-44% เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำ 12-15% รวมทั้งมีเกลือแร่และสารที่มีประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งกากถั่วเหลืองนี้สามารถใช้ทำ “ผลิต ภัณฑ์อาหาร” แทนแป้งสาลีได้ โดยวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำผลิตภัณฑ์จากกากถั่วเหลืองมานำเสนอ...

เรื่องของกากถั่วเหลืองเป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการประชาสัมพันธ์คหกรรมศาสตร์ โครงการ “บ้านสวยด้วย 3R มากคุณค่าอาหารไทยชิมผัดไทยแชมป์โลก” เมื่อวันที่ 9 ต.ค.ที่ผ่านมา ณ ศูนย์เทเวศร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร (มทร.พระนคร) โดย ปริญญาพร อ่อนคล้าย และ ภูมิสิทธิ์ ประดิษฐ์ธีระ นักศึกษาปริญญาโท คณะคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร เจ้าของผลงาน “ผลิตภัณฑ์จากกากถั่วเหลือง” บอกว่า กากถั่วเหลืองที่มักจะถูกทิ้ง ที่จริงมีประโยชน์ จึงคิดนำมาเป็นส่วนผสมของขนมและอาหาร 3 ชนิดคือ คุกกี้ช็อกโกแลตชิพ, กรอบเค็ม, น้ำพริกเผา เพื่อให้กากถั่วเหลืองเกิดประโยชน์ ไม่ถูกทิ้งไปสูญเปล่า

ก่อนหน้านั้นเคยทดลองทำด้วยกากถั่วเหลืองที่เหลือสด ๆ จาก การทำน้ำถั่วเหลือง แต่ปรากฏว่ามีกลิ่นสาบและความชื้น อาหารที่ทำออกมามีเนื้อเหลวใช้การไม่ได้ จึงเปลี่ยนวิธี และพบว่าการอบแห้งเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยใช้การอบด้วยเตาไมโครเวฟ เกลี่ยกากถั่วเหลืองให้แผ่ออก อบด้วยความร้อน 150 องศา ระยะเวลา 30 นาที ระหว่างอบหมั่นเกลี่ยเรื่อย ๆ โดยกากถั่วเหลืองสด 1,000 กรัม อบแห้งแล้วจะเหลือ 500 กรัม

สำหรับการนำมาทำเป็นอาหาร เริ่มที่ “คุกกี้ช็อกโกแลตชิพกากถั่วเหลือง” ส่วนผสมก็มี กากถั่วเหลืองอบแห้ง 250 กรัม ต่อแป้งสาลี 500 กรัม, เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนชา, เนยสด 454 กรัม, น้ำตาลไอซ์ซิ่ง 450 กรัม, เกลือ 1 ช้อนชา, ไข่ไก่ 3 ฟอง และช็อกโกแลตชิพ 200 กรัม

วิธีทำ ร่อนแป้งสาลีกับเบกกิ้งโซดา แล้วนำแป้งมาผสมกับกากถั่วเหลือง พักไว้ จากนั้นตีเนยสด น้ำตาลไอซ์ซิ่ง เกลือ ให้ขึ้นฟูด้วยหัวตีใบไม้ แล้วใส่ไข่ทีละฟอง ใส่กลิ่นวานิลลาผสมพอเข้ากัน ตามด้วยใส่ส่วนผสมแป้ง และใส่ช็อกโกแลตชิพเล็กน้อย จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาปั้นก้อนเล็ก ๆ แล้วแต่งหน้าด้วยช็อกโกแลตชิพอีกเล็กน้อย นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 13-15 นาที หรือจนขนมสีเหลืองสุก ซึ่งเตาอบนี้ให้ทำการอุ่นเตาอบโดยเปิดอุณหภูมิ 180 องศา นาน 10-15 นาที ก่อนอบจริง เพื่อให้ได้อุณหภูมิคงที่ 180 องศา

ตามสูตรนี้จะทำคุกกี้ได้ 45 ชิ้น (ตัวคุกกี้เบอร์ 12) ขายได้ในราคา 50 บาท มีต้นทุนประมาณ 20 บาท

ต่อไป “กรอบเค็มกากถั่วเหลือง” ใช้กากถั่วเหลืองอบแห้ง 1 ถ้วยตวง ต่อแป้งสาลี 100 กรัม, แป้งข้าวเจ้า 50 กรัม, ผงฟู 1/2 ช้อนชา, ไข่ไก่ 2 ฟอง, เกลือ 1 ช้อนชา, น้ำปูนใส 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันพืช 2 ช้อนชา

วิธีทำ ร่อนแป้ง 2 ชนิดกับผงฟูให้เข้ากัน แล้วผสมแป้งที่ได้กับกากถั่วเหลืองให้เข้ากัน ใส่น้ำมันพืช ใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมด นวดจนแป้งนุ่ม (ถ้าแป้งแห้งเติมน้ำเล็กน้อย) แบ่งแป้งเป็น 4 ก้อน คลึงแป้งแผ่เป็นแผ่นบาง ตัดเป็นรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 1 นิ้ว แล้วนำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจนแป้งเหลืองสุก ตักขึ้นใส่กระชอนพักไว้

กรอบเค็มนี้ต้องมี “น้ำปรุงรส” ด้วย ซึ่งมีส่วนผสมดังนี้ น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย, น้ำเปล่า 1/3 ถ้วย, กระเทียม 1/2 ถ้วย, พริกไทย 1/4 ช้อนชา และแบะแซ 50 กรัม โดยวิธีทำน้ำปรุงรสคือ ตีกระเทียมกับพริกไทยให้เข้ากัน แล้วนำส่วนผสมทั้งหมดใส่ผสม เคี่ยวจนงวดได้ที่ เสร็จแล้วก็นำไปคลุกกับแป้งกรอบเค็มที่ทำไว้

จากสูตรนี้จะทำกรอบเค็มได้ 200-250 กรัม บรรจุขายกล่องละ 20-25 บาท มีต้นทุนประมาณ 10 บาท

ปิดท้ายด้วย “น้ำพริกเผากากถั่วเหลือง” ซึ่งมีส่วนผสม ได้แก่ กากถั่วเหลืองอบแห้ง 1 ถ้วยตวงต่อหอมแดงซอย 1 ถ้วย, กระเทียมซอย 1 ถ้วย, พริกขี้หนูแห้ง 30 เม็ด, พริกชี้ฟ้าแห้ง 10 เม็ด, น้ำตาลปี๊บ 150 กรัม, น้ำปลา 1/3 ถ้วย, น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย และน้ำมันพืช 3/4 ถ้วย

วิธีทำ ตั้งกระทะใส่น้ำมัน เจียวหอมแดง และเจียวกระเทียม พักไว้ จากนั้นปั่นพริก 2 ชนิดรวมกัน นำลงผัดในน้ำมันให้หอม ตามด้วยใส่กากถั่วเหลืองอบแห้ง ใส่หอมแดงเจียว กระเทียมเจียว ผัดพอเข้ากัน เสร็จแล้วปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา น้ำมะขามเปียก ผัดต่อจนแห้ง เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็น แล้วบรรจุใส่กล่อง

สูตรนี้จะได้น้ำพริก 20 กระปุก กระปุกละ 80 กรัม ขายได้กระปุกละ 15 บาท มีต้นทุนประมาณ 7-8 บาท

ใครสนใจเรื่อง “ผลิตภัณฑ์จากกากถั่วเหลือง” ทั้งคุกกี้ช็อกโกแลต ชิพ, กรอบเค็ม, น้ำพริกเผา ต้องการติดต่อ ปริญญาพร อ่อนคล้าย และ ภูมิสิทธิ์ ประดิษฐ์ธีระ นักศึกษาปริญญาโท คณะคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร เจ้าของผลงาน ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-5482-5570 และ 08-6633-8546.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=26621&categoryID=525

Sunday, October 4, 2009

แนะนำอาชีพ'เพาะพันธุ์ปลาการ์ตูนขาย'

อาชีพเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูนขาย

ปลาการ์ตูน นอกจากสวยงามแล้วยังเพาะพันธุ์ทำเป็นอาชีพได้ด้วย

บทนำ

การเลี้ยงปลาสวยงามได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงภายในครอบครัว ตามร้านอาหาร โรงแรม สถานที่ราชการ หรือหน่วยงานต่าง ๆ เนื่องจากตู้ปลาสวยงามจะสร้างความสวยงาม ความเพลิดเพลินให้แก่ผู้พบเห็น บางคนเลี้ยงปลาสวยงามเป็นงานอดิเรกภายในครอบครัว ทำให้มีกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว เป็นการสร้างความรักความสามัคคีและความผูกพันธุ์ภายในครอบครัว เด็ก ๆ ที่ได้เลี้ยงปลาสวยงามจะทำให้เขามีความรัก ความเมตตาต่อสัตว์ มีจิตใจอ่อนโยน ทำให้เด็กใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ห่างไกลยาเสพติดและอบายมุข ซึ่งกำลังเป็นปัญหาสำคัญในสังคมปัจจุบัน จากความนิยมในการเลี้ยงปลาสวยงาม ได้ก่อให้เกิดกิจกรรม และธุรกิจต่อเนื่องหลายอย่าง สร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่บุคคลหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น ธุรกิจเพาะพันธุ์ปลา ธุรกิจจำหน่ายปลา ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจผลิตและขายอุปกรณ์การเลี้ยงปลา ธุรกิจยา อาหาร และสารเคมี และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งปรากฎชัดเจนแล้วว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับปลาสวยงามได้สร้างงานสร้างรายได้ เข้าประเทศได้ดีทางหนึ่ง


การเลี้ยงปลาสวยงามแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ตามลักษณะน้ำที่ใช้เลี้ยงคือ การเลี้ยงปลาสวยงามน้ำจืดและการเลี้ยงปลาสวยงามทะเล ในอดีตเมื่อนึกถึงการเลี้ยงปลาสวยงาม คนส่วนใหญ่มักนึกถึงแต่การเลี้ยงปลาสวยงามน้ำจืด ส่วนการเลี้ยงปลาสวยงามทะเลจะเป็นสิ่งที่ไกลตัวและเป็นเรื่องยาก แต่ปัจจุบันเมื่อคนเข้าใจในระบบนิเวศน์ของทะเลมากขึ้น การเลี้ยงปลาทะเลจึงเป็นสิ่งที่ไม่ยากเหมือนแต่ก่อน การเลี้ยงปลาสวยงามทะเลจึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปลาทะเลจะมีความสวยงามกว่าปลาน้ำจืดนั่นเอง แต่ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือการจับปลาจากทะเล และการเก็บสิ่งประดับตู้ปลาต่าง ๆ จากทะเลเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะสร้างรายได้อย่างงามให้แก่คนในธุรกิจนี้แต่ก็มีผลเสียต่อธรรมชาติ เป็นอย่างมากเช่นกัน ด้านการเพาะพันธุ์ปลาสวยงามทะเลในปัจจุบันพบว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเท่า ที่ควร คือเพาะพันธุ์ได้น้อยชนิด และผลิตได้จำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับความต้องการของตลาด ดังนั้นหากจะพัฒนาธุรกิจด้านการเลี้ยงปลาสวยงามทะเล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งศึกษาด้านการเพาะพันธุ์ปลาสวยงามทะเล การเพาะพันธุ์ปะการัง รวมไปถึงพันธุ์ไม้น้ำทะเลด้วย


เมื่อนึกถึงปลาสวยงามทะเล คนส่วนใหญ่จะนึกถึงปลาการ์ตูนเป็นลำดับต้น ๆ เนื่องจากปลาการ์ตูนเป็นปลาที่มีสีสรรสวยงาม น่ารัก เชื่องง่าย เมื่อการเลี้ยงปลาทะเลสวยงามเริ่มขยายตัว ปลาการ์ตูนจากธรรมชาติจึงถูกจับมาขายเป็นจำนวนมาก เนื่องจากตลาดมีความต้องการสูงและเป็นปลาที่จับได้ง่าย ปัจจุบันนี้พบว่า ประชากรของปลาการ์ตูนชนิดต่าง ๆ ได้ลดจำนวนลงอย่างมาก เกือบเข้าภาวะวิกฤติ จะต้องได้รับการช่วยเหลือโดยด่วน สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งจังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการ ในสังกัด กองเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปลาชนิดนี้ทั้งในด้านการอนุรักษ์และคุณค่าทาง เศรษฐกิจ จึงเริ่มศึกษาด้านการเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูนของไทยตั้งแต่ต้นปี 2544 โดยผสมผสานความรู้จากการศึกษาพฤติกรรมการวางไข่และการเจริญเติบโตของปลา การ์ตูนส้มขาวของอุ่นจิต (2537) กับความรู้ด้านการเพาะพันธุ์ปลากะรังของสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จังหวัดกระบี่ จนถึงปัจจุบัน ( กรกฎาคม 2545) สามารถเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูนได้ 5 ชนิด คือ ปลาการ์ตูนส้มขาว ปลาการ์ตูนลายปล้อง ปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลือง ปลาการ์ตูนหลังอาน และปลาการ์ตูนอินเดียน ทั้ง 5 ชนิด สามารถผลิตปลาขนาด 1 นิ้ว ได้จำนวนมากและมีอัตรารอดสูงอย่างสม่ำเสมอ วิธีการต่าง ๆ ปรากฏอยู่ในเอกสารฉบับนี้

ชีววิทยา

ปลาการ์ตูนเป็นปลาที่ถูกจัดอยู่ในครอบครัวปลาสลิดหิน (damselfishes, family pomacentridae) (สุภาพร, 2543) ปัจจุบันปลาการ์ตูนทั่วโลกที่สำรวจพบ และได้รับการจำแนกแล้วมี 28 ชนิด เป็นสกุล (genus) Amphiprion จำนวน 27 ชนิด และ สกุล Premnas อีก 1 ชนิด คือ spinecheek anemonefish, Premnas biaculeatus ซึ่งลักษณะที่ใช้แยกปลาสกุลนี้ออกมาคือ มีหนามขนาดใหญ่ (enlarged spine) บริเวณใต้ตา (Allen, 1997)อุ่นจิต(2537) กล่าวว่า ปลาการ์ตูนที่พบในน่านน้ำไทยมี 7 ชนิด แบ่งเป็นฝั่งอันดามัน 5 ชนิด ได้แก่ ปลาการ์ตูนส้มขาว ปลาการ์ตูนอินเดียน ปลาการ์ตูนลายปล้อง ปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลือง และปลาการ์ตูนแดงดำ ส่วนปลาการ์ตูนที่พบในอ่าวไทยมี 2 ชนิด คือ ปลาการ์ตูนหลังอาน และปลาการ์ตูนอินเดียนแดง แต่ ธรณ์(2544) กล่าวว่า ปลาการ์ตูนลายปล้องสามารถพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน นอกจากนั้นยังพบปลาการ์ตูนส้มขาว และ ปลาการ์ตูนอินเดียนที่เกาะโลซิน จังหวัดนราธิวาส (อ่าวไทย) อีกด้วย

ปลาการ์ตูนพบได้เฉพาะในเขตมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิกบางส่วน ในธรรมชาติปลาการ์ตูนจะอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากดอกไม้ทะเล ดังนั้นเราจะพบปลาการ์ตูนได้ก็ต่อเมื่อได้พบดอกไม้ทะเลเท่านั้น แม้ว่าดอกไม้ทะเลจะมีเข็มพิษแต่กลับไม่ทำอันตรายต่อปลาการ์ตูน ทำให้ปลาการ์ตูนอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยในดอกไม้ทะเล จากการสำรวจพบว่า ปลาการ์ตูนแต่ละชนิดจะจำเพาะเจาะจงต่อชนิดของดอกไม้ทะเลที่จะอาศัยอยู่ด้วย แต่ก็มีปลาการ์ตูนอีกหลายชนิดที่สามารถอาศัยอยู่กับดอกได้ทะเลได้หลายชนิด


ปลาการ์ตูนแต่ละชนิดจะมีรูปแบบสีที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งปกติจะประกอบไปด้วยสีส้ม แดง ดำ เหลือง และส่วนใหญ่จะมีแถบสีขาวพาดขวางลำตัว 1-3 แถบ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของปลาการ์ตูนก็ว่าได้ อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นปลาการ์ตูนชนิดเดียวกันแต่ก็จะมีส่วนที่มีสีแตกต่าง กันอยู่เสมอ ซึ่งน่าจะเป็นส่วนที่ทำให้ปลาการ์ตูนจำคู่ของมันได้ นอกจากนั้นปลาที่อาศัยต่างสถานที่กันอาจมีสีที่แตกต่างกันได้เรียกว่าความ ผันแปรของสี (colour variation)โดยปกติปลาการ์ตูนจะอยู่กันเป็นคู่ ๆ และอาจมีปลาขนาดเล็กอาศัยร่วมอยู่ด้วย แต่ในดอกไม้ทะเลดอกหนึ่ง จะมีปลาตัวผู้และตัวเมียอย่างละตัวเท่านั้น ปลาตัวเมียจะมีขนาดโตกว่าตัวผู้และตัวอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด และทำหน้าที่เป็นผู้นำ คอยปกป้องอาณาเขตที่เป็นที่อาศัยของมัน ถ้าปลาตัวเมียตายไป จะมีปลาตัวใหม่เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วและกลายเป็นตัวเมียแทน หรือหมายความว่า ปลาการ์ตูนสามารถเปลี่ยนเพศจากเพศผู้เป็นเพศเมียได้ Allen(1997) กล่าวว่า ปลาการ์ตูนจะวางไข่ครั้งละหลายร้อยฟองบริเวณฐานของดอกไม้ทะเล ซึ่งมีหนวดของดอกไม้ทะเลปกคลุม ทำให้ไข่มีความปลอดภัย พ่อปลาจะคอยดูแลไข่ หลังจากนั้น 6-7 วัน ไข่จะฟักเป็นตัวและล่องลอยไปตามน้ำ ใช้ระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ จากนั้นปลาต้องหาดอกไม้ทะเลเพื่อเป็นที่อยู่ ไม่อย่างนั้นปลาจะตายเนื่องจากอดอาหาร หรือถูกกิน

ปลาการ์ตูนส้มขาว clown anemonefish, A. ocellaris (Cuvier, 1830)

ลำตัวมีสีส้มเข้ม มีแถบสีขาว 3 แถบ พาดบริเวณส่วนหัว ลำตัวและบริเวณหาง ขอบของแถบสีขาวเป็นสีดำ ขอบนอกของครีบเป็นสีขาวและขอบในเป็นสีดำ อาศัยในที่ลึก ตั้งแต่ 1-15 เมตร ขนาดตัวโตที่สุดประมาณ 10 เซนติเมตร อาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด Heteractis magnifica และ Stichodactyla gigantea เป็นต้น ปลาการ์ตูนส้มขาวพบได้บ่อยที่สุดในทะเลอันดามัน อ่าวไทยพบได้ที่เกาะโลซิน จังหวัดนราธิวาส อาศัยอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ในดอกไม้แต่ละกออาจพบปลาการ์ตูนชนิดนี้อยู่ด้วยกัน 6-8 ตัว

ปลาการ์ตูนลายปล้อง clark's anemonefish, A. clarkii (Bennett, 1830)

ลำตัวมีสีดำเข้ม ส่วนหน้าครีบอกและหางมีสีเหลืองทอง มีแถบขาว 3 แถบ ตรงส่วนหัว ลำตัว และโคนหาง ปลาชนิดนี้มีความผันแปรของสีสูง มีไม่ต่ำกว่า 8 รูปแบบ (ธรณ์, 2544) สีของลูกปลาวัยรุ่นก็ต่างจากปลาเต็มวัย พบทั้งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน จัดเป็นปลาการ์ตูนใหญ่ที่สุดของเมืองไทย ขนาดโตที่สุดประมาณ 15 ซ.ม. อาศัยอยู่ร่วมกับดอกไม้ทะเลได้หลายชนิด บางครั้งเป็นชนิดที่พบตามพื้นทราย ปลาการ์ตูนลายปล้องมีการแพร่กระจายกว้างมาก อาจอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม 3-4 ตัว โดยมีตัวเมีย ซึ่งมีขนาดโตที่สุด เป็นจ่าฝูง ตัวที่มีขนาดรองลงมาจะเป็นตัวผู้ ถ้าตัวเมียตายไปตัวผู้ก็จะรีบโตและเปลี่ยนเพศขึ้นมาทำหน้าที่แทน

ปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลือง sebae anemonefish, A. sebae (Bleeker, 1853)

ลำตัวมีสีดำ ส่วนหางมีสีเหลือง มีแถบขาว 2 แถบ แถบแรกพาดอยู่บริเวณหลังตา อีกแถบพาดผ่านท้องขึ้นมายังครีบหลัง เป็นชนิดที่หายาก พบเฉพาะฝั่งอันดามันในที่ลึกตั้งแต่ 2-25 เมตร ขนาดโตที่สุดประมาณ 14 เซนติเมตร อยู่กับดอกไม้ทะเลชนิดที่ฝังทรายได้แก่ Stichodactyla haddoni มีสีน้ำตาลหนวดสั้น มักอยู่กันเป็นคู่กับลูกเล็ก ๆ 3-4 ตัว มีนิสัยดุร้ายกับปลาอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว

ปลาการ์ตูนหลังอาน saddleback anemonefish, A. polymnus (Linnaeus, 1758)

ลำตัวมีสีน้ำตาลอมดำ มีแถบขาว 2 แถบ แถบแรกอยู่หลังตา อีกแถบเริ่มบริเวณกลางลำตัวเป็นแถบโค้งพาดเฉียงขึ้นไปที่ครีบหลัง ลักษณะคล้ายอานม้า พบในที่ลึก ตั้งแต่ 2-30 เมตร ขนาดโตที่สุดประมาณ 12 เซนติเมตร อยู่กับดอกไม้ทะเลชนิดที่ฝังตัวอยู่ตามพื้นทราย คือ Heteractis crispa และ Stichodactyla haddoni พบเฉพาะในอ่าวไทย

ปลาการ์ตูนอินเดียน yellow skunk anemonefish, A. akallopisos (Bleeker, 1853)

ลำตัวมีสีเนื้ออมเหลืองทองอมชมพู มีแถบขาวเล็ก ๆ พาดผ่านบริเวณหลังตั้งแต่ปลายจมูกจนจรดครีบหาง อาศัยในที่ลึกตั้งแต่ 3 - 25 เมตร ขนาดโตที่สุดประมาณ 10-11 เซนติเมตร อาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด Heteractis magnifica และ Stichodactyla mertensii อยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่คล้ายปลาการ์ตูนส้มขาว พบได้บ่อยทางฝั่งอันดามัน ส่วนอ่าวไทยพบที่เกาะโลซิน

การเพาะพันธุ์และอนุบาล

1.การจัดการพ่อแม่พันธุ์

1.1 การรวบรวมพ่อแม่พันธุ์

รวบรวมพ่อแม่พันธุ์จากธรรมชาติ พยายามรวบรวมให้ได้พ่อแม่พันธุ์ที่จับคู่กันอยู่แล้วจะช่วยให้พ่อแม่พันธุ์ วางไข่ได้เร็วขึ้น แต่ถ้าไม่สามารถหาพ่อแม่พันธุ์เป็นคู่ ๆ จากธรรมชาติได้ การจับคู่ให้ปลาการ์ตูนก็สามารถที่จะทำได้ เพศเมียจะมีขนาดใหญ่และอาจมีท้องที่อูมเป่ง ส่วนตัวผู้เลือกตัวที่มีขนาดเล็กและท้องเรียบ หลังการจับคู่ให้ปลาแล้วต้องคอยสังเกตว่าปลาจะยอมรับกันหรือไม่ ถ้าปลาไม่ยอมรับจะพบว่าปลาตัวเมียจะไล่กัดตัวผู้ บางครั้งตัวผู้อาจตายได้เนื่องจากโดนกัดหรือกระโดดหนีออกนอกตู้

1.2 การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์

1.2.1 การจัดตู้

ใช้ตู้กระจกขนาด 45x90x45 เซนติเมตร ใช้ระบบกรองน้ำแบบกรองทรายภายในตู้ โดยใส่แผงกรองรองรับพื้นตู้ใช้กรวด ซากปะการัง หรือ เศษเปลือกหอยเป็นวัสดุกรอง ใส่วัสดุสำหรับให้พ่อแม่ปลาผสมพันธุ์วางไข่ไว้ข้าง ๆ ดอกไม้ทะเล เช่น ก้อนหิน(ไม่จำกัดรูปทรงแต่ให้ผิวเรียบ)หรือเปลือกหอยตะโกรม(ปลาจะวางไข่ด้าน ในของเปลือกหอย) เปลือกหอยมือเสือเป็นอีกวัสดุหนึ่งที่ปลาชอบใช้วางไข่แต่ไม่ควรนำมาใช้ เนื่องจากการมีเปลือกหอยมือเสือในครอบครองเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ควรเลือกใช้หินผิวเรียบ หรือเปลือกหอยนางรมจะดีกว่าเนื่องจากหาได้ง่ายและไม่ผิดกฎหมาย
ดอกไม้ทะเลเป็นสิ่งสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดหนึ่ง บุคคลทั่วไปไม่สามารถมีในครอบครองได้ ดังนั้นจึงเป็นปัญหาหนึ่งของการเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูน แต่จากการทดลองเบื้องต้นของสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งจังหวัดกระบี่พบ ว่า พ่อแม่พันธุ์ปลาการ์ตูนส้มขาวที่เลี้ยงในตู้กระจกโดยไม่ใช้ดอกไม้ทะเล ปลาสามารถที่จะวางไข่ในตู้กระจกได้ ส่วนการอนุบาลลูกปลาการ์ตูนและการเลี้ยงปลาการ์ตูนที่ได้จากโรงเพาะฟักพบว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ดอกไม้ทะเล


1.2.2 น้ำและการจัดการ

น้ำที่ใช้เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาการ์ตูนของสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จัวหวัดกระบี่เป็นน้ำทะเลที่มีความเค็มประมาณ 30-33 ppt ก่อนนำมาใช้จะทำการฆ่าเชื้อในน้ำด้วยคลอรีน ความเข้มข้น 15-25 ppm และเป่าลมจนคลอรีนสลายหมด ในตู้กระจกจะใส่น้ำประมาณ 150 ลิตร เปลี่ยนถ่ายน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง(ไม่ต้องนำปลาออกจากตู้)ในช่วงบ่าย ครั้งละ 70-80 % พร้อมกับทำความสะอาดตู้(บริเวณด้านข้างของตู้) ควรล้างทรายในตู้เดือนละประมาณ 1 ครั้ง (นำปลาออกจากตู้ก่อน)น้ำที่นำมาใช้นอกจากการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนแล้ว น้ำที่ผ่านระบบกรองทรายก็น่าจะใช้ได้ผลดี สำหรับในแหล่งที่จัดหาน้ำทะเลไม่ได้ การใช้น้ำทะเลเทียมประกอบกับระบบกรองที่มีประสิทธิภาพดีกว่าการกรองทรายก็มี ความเป็นไปได้ ทั้งนี้ผู้เลี้ยงต้องมีความรู้ในการควบคุมสภาพน้ำในระบบปิดเป็นอย่างดี

1.2.3 อาหารและการให้อาหาร

ใช้เนื้อกุ้งสับละเอียดหรืออาร์ทีเมียตัวใหญ่(ตัวเต็มวัย) เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ ให้อาหารจนอิ่ม วันละ 2 ครั้ง ในเวลา 09.00 น. และ 15.00 น. มีบางรายงานที่เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ด้วยหัวใจวัว หรืออาหารชนิดอื่น ๆ แต่ยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบผลของอาหารแต่ละชนิดต่อความสมบูรณ์ของปลา แต่จากการใช้เนื้อกุ้งและอาร์ทีเมียในการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์พบว่าปลามี สุขภาพสมบูรณ์ดี ให้ไข่สม่ำเสมอและได้ลูกปลาวัยอ่อนที่แข็งแรงดี นอกจากนั้น เนื้อกุ้งสามารถจัดหาได้ง่าย และสามารถเลือกซื้อกุ้งขนาดเล็กที่มีราคาถูกมาเป็นอาหารพ่อแม่พันธุ์ได้

2.การวางไข่และการพัฒนาของไข่

ก่อนที่ปลาจะวางไข่ 2-5 วัน ปลาตัวผู้จะเลือกวัสดุและทำความสะอาด โดยใช้ปากตอด ใช้ครีบอกและครีบหางโบกพัดสิ่งอื่น ๆ ที่ติดอยู่บนผิวหน้าของวัสดุให้หลุดไป เมื่อใกล้วางไข่ ปลาตัวเมียจะมีท้องที่อูมเป่ง ใหญ่กว่าปกติ และมีท่อนำไข่ไผล่ออกมายาวประมาณ 4-5 มิลลิเมตร หลังจากนั้น ปลาจะเริ่มวางไข่ภายใน 1 ชั่วโมง แม่ปลาจะวางไข่ติดกับวัสดุที่เลือกไว้แล้ว โดยวางเป็นชุด ๆ พ่อปลาก็จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าผสม เมื่อวางไข่เสร็จพ่อปลาจะเฝ้าดูแลไข่ ด้วยการโบกพัดด้วยครีบ ใช้ปากตอด และเก็บไข่เสียออก แม่ปลาจะเข้ามาช่วยโบกพัดเป็นครั้งคราว ใช้เวลาประมาณ 7-8 วัน ไข่ก็พร้อมที่จะฟักออกเป็นตัว ปลาการ์ตูนสามารถที่จะวางได้ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง ครั้งละ 500-1,000 ฟอง ขึ้นกับขนาดและความสมบูรณ์ของพ่อแม่พันธุ์ ในการวางไข่ชุดแรก ๆ พบว่าปลามักจะกินไข่ตัวเองจนหมด เนื่องจากอาการตกใจ แต่เมื่อวางไข่ชุดหลัง ๆ ปลาจะเริ่มเคยชินกับการถูกรบกวนและจะไม่กินไข่ตัวเองอีก

3.การฟักไข่

หลังจากปลาวางไข่แล้ว 7-8 วัน ไข่พร้อมที่จะฟักเป็นตัว สังเกตได้จากตาของตัวอ่อนในไข่มีสีเงินวาว ในตอนเย็นนำไข่ที่พร้อมจะฟักออกเป็นตัวซึ่งติดอยู่กับก้อนหินหรือเปลือกหอย ไปฟักในถังขนาด 500 ลิตร เติมน้ำทะเลสะอาด 300 ลิตร ในการฟักใช้หลักการเดียวกับ อุ่นจิต(2537) โดยอาศัยแรงลมดันน้ำให้ไหลผ่านไข่ปลาเบา ๆ (รูปที่ 6) ลูกปลาจะฟักออกจากไข่ในเวลากลางคืน จากนั้นจึงนำวัสดุ และอุปกรณ์การฟักออก

4.การอนุบาล

4.1 บ่ออนุบาล

ถังไฟเบอร์กลาสสีน้ำตาล หรือ ถัง PE สีดำ ขนาดความจุ 500 ลิตร ใช้เป็นถังฟักและอนุบาลลูกปลาตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอายุ 15 วัน หลังจากนั้นจึงย้ายลูกปลาไปอนุบาลต่อในคอกในบ่อดิน(คอกทำด้วยอวนในล่อน ขนาดตาละเอียด หรือเลือกขนาดตาที่เหมาะสมที่ปลาไม่สามารถหนีออกไปได้)การอนุบาลในช่วง 5 วันแรก ควรปิดปากถังด้วยผ้าพรางแสงสีดำ 1 ชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงของแสงในบ่ออย่างรวดเร็ว และป้องกันสิ่งสกปรกอื่น ๆ

4.2 น้ำและการจัดการ

การอนุบาลในถังควรเปลี่ยนถ่ายน้ำประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ วันเว้นวัน พร้อมกับดูดตะกอนก้นถัง การดูดตะกอนจะเริ่มทำเมื่อปลาอายุประมาณ 5-6 วัน หรือเห็นว่าพื้นถังเริ่มสกปรก การถ่ายน้ำและการดูดตะกอนต้องทำอย่างนิ่มนวล เพื่อไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันในถังอนุบาล ซึ่งจะทำให้ปลาช็อกได้

4.3 อาหารและการให้อาหาร

ปลาอายุ แรกฟัก ถึง 7 วัน ใช้โรติเฟอร์เป็นอาหาร ความหนาแน่น ประมาณ 5-15 ตัว/มล. พร้อมกับเติมคลอเรลลาให้น้ำมีสีเขียวอ่อน ๆ เพื่อเป็นอาหารของโรติเฟอร์ ควรเช็คความหนาแน่นของโรติเฟอร์วันละ 2-3 ครั้ง เริ่มฝึกให้ปลากินอาร์ทีเมียแรกฟัก เมื่อลูกปลาอายุ 5 วัน เมื่อลูกปลากินอาร์ทีเมียได้ดีแล้วจึงหยุดให้โรติเฟอร์ อายุ 15 วัน ย้ายไปอนุบาลในคอก ถ้าไม่มีคอกอาจจะอนุบาลต่อในถังหรือบ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่ขึ้นก็สามารถทำได้ โดยให้มีความหนาแน่นลูกปลาประมาณ 0.5-2 ตัว/ลิตร แต่การอนุบาลในคอกจะลดการทำงานในส่วนของการถ่ายน้ำ และมีต้นทุนที่ถูกกว่าหลังจากย้ายลูกปลาลงไปอนุบาลในคอกแล้วยังต้องให้อาร์ ทีเมียตัวเล็กเป็นอาหารอีกประมาณ 5 วัน จึงฝึกให้กินไรแดงแช่แข็งและเนื้อปลาสดบดละเอียด วันละ 2-3 ครั้ง ถ้าสามารถจัดหาอาร์ทีเมียตัวใหญ่เป็นอาหารลูกปลาได้จะช่วยให้ลูกปลาโตเร็ว ขึ้น ใช้เวลาอนุบาลลูกปลาในคอกประมาณ 40-45 วัน จะได้ลูกปลาขนาด 1 นิ้ว สามารถจำหน่ายได้ หรือเลี้ยงให้โตกว่านี้ก็จะได้ราคาที่สูงขึ้น

ที่มา ไพบูลย์ บุญลิปตานนท์/อาคม สิงหบุญ/สามารถ เดชสถิตย์/พิกุล ไชยรัตน์
สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งจังหวัดกระบี่

แนะนำอาชีพ'เทียนหอมกันยุง'

ทำเทียนหอมกันยุงสร้างอาชีพ


เทียนหอมกันยุง แต่งบ้านให้ได้ทั้งความสวยงามและได้ประโยชน์ ทำไม่ยาก สามารถประกอบเป็นอาชีพเสริมได้


เทียนหอมกันยุง

วัสดุอุปกรณ์และวิธีการทำ

1 หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ใช้สำหรับละลายเทียนเพื่อความสะดวก เพราะตัวหม้อจะมีระบบตัดไฟเมื่อน้ำเทียนเดือด เมื่อเทียนแข็งตัวและเราต้องการให้เทียนหลอมละลายอีกเราก็กดปุ่มอีกครั้ง

2 หม้อสองชั้นสำหรับตุ๋นเทียน ชั้นล่างเป็นหม้อใบใหญ่กว่าสำหรับใส่น้ำ ใบบนสำหรับใส่เทียนเป็นหม้อใบเล็กกว่ามีด้ามจับ ถ้าใช้หม้อชั้นเดียวเนื้อเทียนจะถูกความร้อนโดยตรงซึ่งร้อนเกินไปและไม่ สะดวกแก่การทำงาน

3 ถาดขนมสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ ควรเป็นแบบที่ทำจากอลูมิเนียมจะได้ทนความร้อนได้ดี

4 ช้อน สำหรับตักเทียน

5 แม่พิมพ์ สำหรับยอดเทียนให้เป็นรูปต่างๆ

6 เหล็กคีบ ใช้หนีบภาชนะร้อนๆจะได้ไม่ร้อนมือ

7 กาละมังสเตนเลสใบเล็ก

8 ทัพพีกลมสำหรับตักน้ำเทียน

9 กรรไกรสำหรับตัดแต่งเทียน

10 แม่พิมพ์ สำหรัยยอดเทียนให้เป็นรูปต่างๆ กรณีที่ต้องการทำรูปแบบต่างๆให้ดูสวยงาม

11 เหล็กแหลม สำหรับปักไส้เทียน

วัสดุที่เราใช้ในการทำเทียน

1 พาราฟินแวกซ์ มีลักษณะเป็นของแข็งใสมีทั้งแบบก้อนและเม็ด มีจุดหลอมเหลวที ่58°c - 62°c

2 โพลีเอททีลีนแวกซ์ หรือที่นิยมเรียกกันติดปากว่า พีอี หรือโพลีเอสเตอร์ เอสเตอร์รีน มีลักษณะเป็นเกล็ด ช่วยทำให้เทียนจุดได้นานขึ้นปกติจะใช้ประมาณ 2--10 เปอร์เซนต์

3 สเตียริคเอซิค ช่วยทำให้เทียนมีผิวลื่นแกะออกจากพิมพ์ง่าย มีทั้งแบบเป็นเกล็ดและเม็ดไข่ปลา ปกติจะใช้ 4 ช้อนโต๊ะต่อพาราฟิน 1/2 กก.

4 ไมโครแวกซ์ ช่วยทำให้เทียนมีความเหนียวง่ายต่อการปั้นหรือแกะสลัก มีลักษณะเป็นแผ่นสีขาว ถ้าใช้แบบคุณภาพต่ำจะทำให้มีควันมาก

5 ไส้เทียน มี 2 แบบคือแบบที่ฟอกแล้วจะมีสีขาวและแบบที่ยังไม่ได้ฟอกจะมีสีขาวขุ่น

6 สีผสมเทียน

7 น้ำมันตะไคร้หอม


เรื่องของวัสดุในการทำเทียนหอมกันยุ ได้แจงรายละเอียดไว้เผื่อสำหรับในการ ทำเทียนแบบสวยงามด้วยเลย จึงดูค่อนข้างจะมีส่วนประกอบมาก ลองทำดูก็แล้วกัน มีไอเดียอะไรในเรื่องของรูปแบบหน้าตาก็ดัดแปลงได้ไม่ ผิดกติกา วัสดุหาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนโดยเฉพาะร้านใหญ่ๆจะมีขายส่วนอุปกรณ์หา ซื้อได้ตามซุปเปอร์มาเก็ตตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป บางรายการเช่นแบบพิมพ์ขนมรูปต่างๆมีขายตามร้านขายอุปกรณ์ทำขนม

วิธีทำ

1 นำแผ่นฟาราฟินแวกซ์หั่นเป็นท่อนๆใส่หม้อขึ้นตั้งความร้อนปานกลาง เคี้ยวไปจนละลายเป็นของเหลว

2 ใสสีตามลงไปโดยใส่ทีละน้อยตามต้องการคนจนสีเนียนเข้ากันทั่วทั้งหม้อหากสีจืดไปค่อยเติมสีเพิ่ม

3 ใส่หัวน้ำมันตะไคร้หอมประมาณ 3-4 หยดต่อเทียน 1/2 กก.

4 หยอดเทียนใส่พิมพ์ รอจนแข็งตัวจึงแกะออกจากพิมพ์ ตกแต่งผิวด้วยมีดหรือกรรไกร หรืออาจหยอดใส่ถ้วยแก้วเล็กๆก็ได้

5 นำมาตกแต่งด้วยริบบิ้นหรืออื่นๆเพื่อให้ดูสวย

การทำเทียนแบบนี้ก็เป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งที่สร้างสรรได้ตามความคิดของผู้ทำ รูปแบบของหน้าตาที่ออกมาจะสวยอย่างไรก็คงคล้ายๆกับการแต่งหน้าเค้กที่ต้อง อาศัยทักษะ การสังเกตุจดจำรูปแบบต่างๆที่เคยเห็นและนำมาประยุกต์หรืออาจออกแบบตามแนว ความคิดที่จินตนาการขึ้นเอง

ที่มา กรมประชาสัมพันธ์

Thursday, October 1, 2009

แนะนำอาชีพ'กระเพาะปลาน้ำแดง'

'เพื่อสุขภาพ' เพิ่มจุดขาย !!

การขายอาหารการกินในปัจจุบัน ไม่ว่าจะร้านเล็ก-ร้านใหญ่ นอกจาก ราคาเป็นธรรม ใส่ใจเรื่องความสะอาดแล้ว ควรให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพผู้บริโภคด้วย ซึ่งกับ “กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอวันนี้ ก็ใส่ใจสุขภาพลูกค้าจนเป็นจุดขายที่ดีทีเดียว...

“กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” เจ้านี้ ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาสำหรับคนรักสุขภาพ ผู้ปรุงขายนั้นเป็นอดีตข้าราชการของสถาบันมะเร็งฯในตำแหน่งโภชนากรดูแลอาหาร ผู้ป่วย เมื่อเกษียณอายุราชการแล้วก็เปิดกิจการเล็ก ๆ ขายกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าวฯ และก็เป็นที่นิยมของลูกค้ามากทีเดียว

อารยา ปั้นพิพัฒน์ หรือ ป้าเจียม เจ้าของสูตร เล่าว่า ทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วยขายมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 ก็เป็นเวลากว่า 9 ปีแล้ว กระเพาะปลาที่ทำขายนั้นนอกจากเน้นความอร่อยแล้วยังให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพ ด้วย จะไม่ใส่เครื่องใน ใช้ยอดมะพร้าวแทนหน่อไม้ เสริมด้วยเม็ดแปะก๊วยซึ่งดีต่อสุขภาพ และจะไม่ใส่น้ำปลาและชูรส ที่สำคัญจะไม่ใส่สารกันบูด แต่แป้งก็ไม่มีการคืนตัว
สำหรับ อุปกรณ์ในการทำกระเพาะปลาน้ำแดงขายนั้น ถ้าทำขายเล็ก ๆ อุปกรณ์ การทำก็เป็นพวกเครื่องครัวต่าง ๆ เช่น เตาแก๊ส หม้อ จาน ฯลฯ และก็ควรต้องมีหม้อใส่กระเพาะปลาขายโดยเฉพาะด้วย

ส่วนสูตรและวิธีทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วยเจ้านี้ เริ่มที่ทำน้ำซุป โดยใส่น้ำสะอาดในหม้อเบอร์ 40 ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใส่โครงไก่หักครึ่ง 2 กก. รากผักชี 200 กรัม และพริกไทยดำ 200 กรัม ปรุงรสด้วยซอส 2 ถ้วย ซีอิ๊ว 1/2 ถ้วย และน้ำตาลกรวด 500 กรัม น้ำซุปนี้ต้มเคี่ยวประมาณ 3 ชั่วโมง

เมื่อขั้นตอนการต้มน้ำซุปเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย โดยใส่กระเพาะปลา 1,500 กรัม (แช่น้ำให้นุ่ม ต้มให้สุก ล้างด้วยน้ำเย็น บีบให้พอหมาด ๆ แล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ) แล้วใส่ เห็ดหอม 300 กรัม (แช่น้ำให้นิ่ม และหั่นเป็นชิ้น ๆ เช่นกัน)

ใส่ยอดมะพร้าวหั่นต้ม 1.5 กก. จากนั้นค่อย ๆ ละลายแป้งท้าวยายม่อมและแป้งถั่วอย่างละ 200 กรัม กับน้ำในปริมาณที่พอประมาณ ดูว่าไม่ใสเกินไป-ไม่ข้นเกินไป ละลายแป้งแล้วก็ใส่ลงไปในหม้อ ตามด้วยใส่เลือดไก่ 5 ถ้วย ซึ่งต้องล้าง และต้มให้สุกเสียก่อน จากนั้นใส่ไข่นกกระทาต้ม 50 ฟอง เท่านี้ก็เรียบร้อยไปส่วนหนึ่ง

ในส่วนของเม็ดแปะก๊วยนั้น จากสูตรส่วนผสมข้างต้น จะใช้ประมาณ 1.5 กก. (ล้างให้สะอาด และต้มให้สุก) โดยจะแยกไว้ต่างหากไม่ใส่ผสมเลยทีเดียว และรวมถึงเส้นหมี่ลวกสุกกับผักชีหั่น ที่ก็แยกไว้เช่นกัน

นอกจากนี้ ก็ต้องเตรียมน่องไก่และปีกไก่ตุ๋น 2 กก. (การตุ๋นน่องไก่หรือปีกไก่นั้นให้นำลงต้มพร้อมกับน้ำซุปกระเพาะปลาให้สุก ก่อน เมื่อน่องไก่หรือปีกไก่สุกแล้วก็ให้ตักออกมาใส่หม้อตุ๋นอีกใบต่างหาก โดยตุ๋นด้วยน้ำซุปกระเพาะปลาที่แบ่งมา และปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำพอประมาณ ตุ๋นไปจนงวดก็เป็นอันใช้ได้)

การขาย ก็ตักกระเพาะปลาใส่ถุงหรือชาม ขายชุดละ 25 บาท โดยกะปริมาณกระเพาะปลา ยอดมะพร้าว เส้นหมี่ และแป้ง ให้พอดี ๆ ใส่ไข่นกกระทา 2 ฟอง, น่องไก่หรือปีกไก่ 1 ชิ้น และเม็ดแปะก๊วยต้มจำนวนหนึ่ง โรยหน้าด้วยผักชีซอย และพริกไทย เสิร์ฟ-ขายพร้อมเครื่องปรุง อาทิ น้ำตาลทราย,จิ๊กโฉ่ว

จากปริมาณส่วนผสมที่ว่ามาข้างต้นนั้น เจ้าของสูตรนี้บอกว่า ถ้าขายหมดจะมี รายได้ประมาณ 2,000 บาท โดยต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ซึ่งก็นับว่าเป็นเมนูอาหารที่สร้างรายได้น่าสนใจทีเดียว

ใครสนใจ “กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” สูตร ของป้าเจียม-อารยา อยากชิม หรือต้องการติดต่อไปออกร้าน ก็ติดต่อสอบถามไปได้ที่ โทร. 0-2526-5681, 08-1699-7505, 08-9484-7167 ส่วนใครที่ได้ไอเดียทำกินจากอาหารที่เน้นสรรพคุณเพื่อสุขภาพเป็นจุดขาย ก็รีบฝึกฝนเพื่อทำขาย อย่ารอช้า !!.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=21304&categoryID=525

แนะนำอาชีพ'ข้าวผัดกิมจิ'

อาชีพขายอาหารยังเป็น “ช่องทางทำกิน” ยอดฮิตทุกยุคสมัย ซึ่งการจะประสบความสำเร็จ นอกจากรสมือจะต้องดีแล้ว เรื่องทำเล เรื่องการปรับตัวตามกลุ่มเป้าหมาย ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย และกับผู้ที่เลือกขายอาหารในย่านสถานศึกษา และมีเมนูตามกระแสนิยมของลูกค้าเป้าหมาย เช่น “ข้าวผัดกิมจิ” นี่ก็น่าสนใจ...

รวมพร หมื่นอินกุล หรือ ตวง อายุ 29 ปี เจ้าของร้านอาหารตามสั่ง อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยรังสิต เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการมาทำอาชีพนี้ว่า หลังจากเรียนจบก็เข้าทำงานด้านการตลาด แผนกแฟชั่น เสื้อผ้าและของใช้ผู้หญิง ทำงานอยู่เกือบ 4 ปี ก็รู้สึกเบื่อ อยากทำงานอิสระ จึงลาออก

แรก ๆ นั้น เพราะเคยทำงานด้านแฟชั่น จึงหันมาเปิดร้านขายเสื้อผ้าหลังการบินไทย ตัดเอง ออกแบบเอง ช่วงแรกขายดีมาก มีเท่าไหร่ก็หมด ธุรกิจไปได้สวยจริง ๆ แต่ขายอยู่ประมาณปีกว่า ๆ ก็ต้องปิดตัว เพราะเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี รายได้ของร้านลดลง จากเดิมลูกค้าซื้อ 7,000 - 8,000 บาท และมาบ่อย ๆ หลัง ๆ มาเดือนละครั้งสองครั้ง ยอดซื้อเหลือ 2,000 – 3,000 บาท แล้วที่สุดก็หายหน้าไปเลย

ตวงบอกว่า เป็นคนที่คิดเร็วทำเร็ว ก็เลยเปลี่ยนแนว หาทำเลทำร้านอาหารทันที ซึ่งที่บ้านทั้งคุณแม่และคุณยายทำอาหารอร่อยมาก ตนเองจะติดกับข้าวที่บ้าน และก็เป็นคนที่ชอบกินและชอบทำอาหารด้วย ชอบดูรายการอาหารทางทีวี ดูสูตรจากอินเทอร์เน็ต และซื้อตำรามาฝึกทำ ทั้งอาหารไทย อิตาเลียน ฝรั่ง ญี่ปุ่น และเกาหลี ลองผิดลองถูกไปเรื่อย โดยมีน้องชายเป็นผู้ช่วยชิม

สำหรับร้านอาหารที่เปิดขายอยู่นี้ เปิดมาได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว และกำลังไปได้ดีเลยทีเดียว มีน้อง ๆ นักศึกษาเข้ามาเป็นลูกค้าขาประจำจำนวนมาก ซึ่งน่าจะเป็นเพราะทางร้านเข้าใจว่านักศึกษามีความเป็นวัยรุ่น ชอบอาหารที่มีสไตล์แปลก ๆ มีเมนูผสมผสานกัน ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ การเปิดร้านอาหารในทำเลแบบนี้ เมนูต้องเด็ดใหม่เสมอ ขณะที่เรื่องรสชาตินั้นถ้าเป็นอาหารต่างชาติก็ต้องประยุกต์ให้ถูกปากคนไทย

รายการอาหารของทางร้าน ก็จะมีอาทิ ข้าวผัดกิมจิ, ข้าวห่อไข่-ข้าวผัดแฮม, ข้าวผัดเบคอน, ไข่เจียวแฮมชีส, คร็อกเก้แกงกะหรี่ญี่ปุ่น, คร็อกเก้ครีมซอสแฮม, ตับไก่บดกับขนมปังปิ้ง, หอยลายเนยกระเทียมกับขนมปังปิ้ง, ข้าวผัดอเมริกัน, ข้าวผัดแกงกะหรี่ญี่ปุ่น, ข้าวปลาซาบะย่างซีอิ๊ว, ข้าวผัดต้มยำไก่-ทะเล, สปาเกตตีต้มยำ-ทะเล, ข้าวผัดเนื้อเค็ม, ข้าวไข่ระเบิด, ข้าวผัดพริกขี้หนูสด, ข้าวไก่คลุกฝุ่นกระเพากรอบ, ข้าวผัดแกงเขียวหวาน ฯลฯ โดยราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่เมนูละ 30-40 บาทเท่านั้น ซึ่งกำไรก็พอให้ร้านอยู่ได้และวันนี้ตวงก็มีสูตรการทำ “ข้าวผัดกิมจิ” มาแนะนำ

การทำ “ข้าวผัดกิมจิ” นี้ เริ่มกันตั้งแต่การทำ “กิมจิ” ก่อน วัตถุดิบที่ใช้ตามสูตรก็มี... ผักกาดขาว 2 หัวใหญ่, ต้นหอม 100 กรัม, ขิง 20 กรัม, พริกชี้ฟ้าสดสีแดง 100 กรัม, กระเทียม 10 กรัม, น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ, เกลือ และน้ำสะอาด

วิธีทำกิมจิ นำผักกาดขาว 2 หัวใหญ่ ล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่ง เด็ดออกทีละใบจนหมด พักไว้ ผสมน้ำเปล่ากับเกลือ 40 กรัม ทำการคนให้เกลือละลายเป็นน้ำเกลือ ชิมรสให้ออกเค็มเล็กน้อย จากนั้นนำผักกาดขาวที่เตรียมไว้มาแช่น้ำเกลือนานประมาณ 6-8 ชั่วโมง จนผักสลด จึงนำขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ

นำพริกชี้ฟ้าแดงสดมาผ่าเอาเม็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็กใส่ลงไปในครก ตามด้วยขิง กระเทียม ทำการโขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด ตักมาใส่อ่างผสม ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนให้เข้ากันเป็นน้ำปรุงรส แล้วพักไว้ จากนั้นหั่นต้นหอมเป็นท่อนยาวประมาณ 1 นิ้ว หั่นผักกาดขาวที่เตรียมไว้เป็นชิ้นพอคำ แล้วนำต้นหอม ผักกาดขาว และน้ำปรุงรส มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน ก็เป็นอันใช้ได้

การจะทำข้าวผัดกิมจิ วัตถุดิบหลัก ๆ ก็มี... ข้าวสวย, เนื้อหมูหรือเนื้อไก่หั่นเป็นชิ้น, เนย, น้ำมันหอย, น้ำตาลนิดหน่อย และขาดไม่ได้คือกิมจิ

วิธีทำ “ข้าวผัดกิมจิ” เริ่มจากนำเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ผัดกับเนยให้สุกและหอม ปรุงรสด้วยน้ำมันหอยและน้ำตาลนิดหน่อย จากนั้นก็นำกิมจิมาใส่ ใช้ไฟแรงผัดไปมา 3-4 ครั้ง ก็ตักราดบนข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมเสิร์ฟ ซึ่งร้านนี้เขาจะไม่นำข้าวลงผัดคลุก จะใช้วิธีราดเครื่องลงบนข้าวเพื่อความสวยงาม แต่ก็เรียกชื่อเมนูเป็นข้าวผัด

ร้านของตวงอยู่ข้าง ๆ มหาวิทยาลัยรังสิต ถ้ามาจากหมู่บ้านเมืองเอกวิ่งตรงมาตลอด ให้สังเกตร้านจะอยู่ติดกับร้านอินเทอร์เน็ตและร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณ เปิดขายทุกวันตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าไปจนถึง 2 ทุ่ม ใครอยากไปลองชิม ถ้าหาร้านไม่เจอสอบถามได้ที่ โทร.08-1925 -1171 ซึ่งร้านนี้ก็เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนเช่นกัน !!

เชาวลี ชุมขำ :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=19840&categoryID=525

แนะนำอาชีพ'น้ำพริกแกงมัสมั่น'

“น้ำพริกแกง” เป็นสิ่งที่อยู่คู่ครัว คนไทยมาช้านานแล้ว เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่บรรพบุรุษรุ่นเก่าก่อนได้สร้างสรรค์อาหารจาก การผสมผสานพืชพรรณต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายในท้องถิ่น และในยุคต่อ ๆ มาจนวันนี้ อาชีพ “ขายน้ำพริกแกง” ก็เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่ไม่ควรมองข้าม...

“บุญธรรม อุตเดช” หรือ “ยายบุญธรรม” เป็น เจ้าของร้านน้ำพริกแกงสำเร็จรูปแม่บุญธรรม ตลาดท่าน้ำนนทบุรี เจ้าของร้านนี้เล่าให้ฟังว่าก่อนจะมามีอาชีพทำน้ำพริกแกงขายเคยทำงานทอผ้า และขายผัก ซึ่งเพราะความที่เป็นคนชอบกิน ชอบทำ แล้วก็ชิมพวกแกงทุกชนิด เวลาไปทำบุญที่วัดทุกครั้งก็จะถือโอกาสชิมแกงที่วัดนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง กระทั่งวันหนึ่งได้เจอกับเจ้าตำรับน้ำพริกแกง ชื่อ “แม่พวง” เป็นแม่ครัวของหลวงพ่อโอภาศรี วัดตลาดบางซื่อ ซึ่งเป็นแม่ของเพื่อน ซึ่งท่านทำแกงอะไร ๆ ก็อร่อย

“ทำให้เราต้องเดินทางมาที่วัดนี้บ่อย ๆ เพื่อมากินแกง แล้ววันหนึ่งก็บอกแม่พวงไปว่าสนใจอยากทำแกงได้อร่อยเหมือนของท่าน ต้องทำยังไงบ้าง แม่พวงท่านเห็นความตั้งใจของเรา ก็สอนให้โดยไม่หวงวิชาเลย สอนตั้งแต่การเลือกสมุนไพร เครื่องเทศ ส่วนผสมของแกง รวมถึงรสชาติของแกงแต่ละชนิดว่าควรเป็นอย่างไร ซึ่งสูตรส่วนผสมเครื่องแกงที่แม่พวงให้มานั้นเป็นแบบครกต่อครก”

จากนั้นก็นำสูตรที่ได้มาทดลองทำทีละอย่าง จนทุกอย่างเข้าที่ และก็อยากจะทำน้ำพริกแกงขาย เพื่อให้ทุกคนได้กินแกงที่อร่อย แต่ก็ต้องมากะสูตรต่อครกใหม่ ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 2 ปีกว่าทุกสิ่งจะเริ่มลงตัว

สถานที่ซื้อวัตถุดิบมาทำ ก็ไม่ควรมองข้าม ซึ่งเจ้านี้เขาโชคดีตรงที่ร้านอยู่ในตลาดสดอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องแหล่งวัตถุดิบ

น้ำพริกแกงร้านแม่บุญธรรมมีหลายอย่าง เช่น... น้ำพริกผัดพริกขิง, น้ำพริกแกงมัสมั่น, น้ำพริกแกงเผ็ด, น้ำพริกผัดเผ็ด, น้ำพริกแกงส้ม, น้ำพริกแกงเหลือง, น้ำพริกแกงกระหรี่, น้ำพริกแกงพะแนง, น้ำพริกแกงเผ็ด, น้ำพริกแกงไตปลา, น้ำพริกแกงเผ็ดใต้, น้ำพริกแกงเขียวหวาน, น้ำพริกเผา แต่ละอย่างราคาไม่แพง ราคาขาย กก.ละ 60-70 บาท นอกจากนี้ก็มีกะปิอย่างดีจากหลายจังหวัดที่มีชื่อด้านความอร่อย มาขายด้วย

ยายบุญธรรมบอกว่า คนขายสินค้าประเภทนี้ ต้องสามารถกะสัดส่วนของส่วนผสมแกงต่าง ๆ ให้กับลูกค้าได้ด้วย ทั้งเนื้อ น้ำพริกแกง และกะทิ รวมทั้งวิธีทำแบบคร่าว ๆ ด้วย
สำหรับอาชีพขาย “น้ำพริกแกง” นี้ อุปกรณ์ที่ใช้หลัก ๆ ก็มี... เครื่องบด หรือครก, กะละมัง, ทัพพี, กระทะ, ตะหลิว, เขียง, มีด เป็นต้น

ขณะที่ส่วนผสมน้ำพริกแกงต่าง ๆ ก็มีอาทิ... พริกแห้งเม็ดใหญ่ (พริกชี้ฟ้าแห้ง), หอมแดง, กระเทียม, ตะไคร้หั่นฝอย, ขาหั่นเป็นแว่น ๆ, รากผักชีหั่น, เกลือป่น, พริกไทย, ลูกจันทร์, ดอกจันทร์, เมล็ดผักชี, กานพลู, อบเชย, ลูกกระวาน, ยี่หร่า, เกลือ, น้ำมันพืช เป็นต้น
ร้านน้ำพริกแกง “ยายบุญธรรม” มีน้ำพริกแกงขึ้นชื่อหลายอย่าง เช่น “น้ำพริกแกงมัสมั่น”

ขั้นตอนการทำ “น้ำพริกแกงมัสมั่น” ยายบุญธรรมเปิดเผยว่า เริ่มจากผ่าพริกแห้งเอาเมล็ดออกทิ้ง แล้วหั่นหยาบ ๆ แช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ เพื่อให้พริกแห้งนุ่ม เสร็จแล้วใช้มือบีบน้ำออก ใส่ภาชนะเตรียมไว้

จากนั้นนำพริกแห้งที่เตรียมไว้ใส่ครก ตามด้วยข่าหั่น ตะไคร้หั่น พริกไทย กระเทียม หอมแดง รากผักชีและเกลือป่น โขลกจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้

ทำการคั่วพริกไทย ลูกจันทร์ ดอกจันทร์ เมล็ดผักชี ยี่หร่า ลูกกระวาน กานพลู และอบเชย ให้หอมเหลือง แล้วโขลกรวมกันให้ละเอียด จากนั้นตักขึ้นพักไว้ ก่อนจะนำไปโขลกรวมกับส่วนผสมของพริกให้เข้ากันดี แล้วนำไปผัดในน้ำมัน ใช่ไฟปานกลาง ผัดไปเรื่อย ๆ จนน้ำพริกมีกลิ่นหอม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ยายบุญธรรมบอกอีกว่า น้ำพริกแกงที่ร้านจะมีเอกลักษณ์ซึ่งทำให้มีลูกค้าประจำมาก คือจะมีกลิ่นหอมโชย รสชาติเข้มข้น และใช้สมุนไพรที่มีการเลือกสรรมาอย่างดี

ร้านน้ำพริกแม่บุญธรรมอยู่ในตลาดท่าน้ำนนทบุรี เปิดร้านตั้งแต่ตี 4 จนถึง 6 โมงเย็น ใครต้องการรับน้ำพริกแกงไปขายต่อ ก็ติดต่อสอบถามได้ที่ โทร.0-2526-7297, 0-2525-1403 ทั้งนี้ อาชีพ “ขายน้ำพริกแกง” นั้นทำเงินแบบไม่ธรรมดาได้...ถ้ามีสูตรเด็ด ใครพอมีฝีมือทางนี้ก็ลองหาสูตรมาฝึกฝน-หาทำเลขายกันดู

เชาวลี ชุมขำ :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ
ทีมา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=18510&categoryID=525