Saturday, December 15, 2012

แนะนำอาชีพ "เทียนแกะสลักแฟนซีหอม"

’เทียนแฟนซี“ มีรูปแบบที่หลากหลาย เป็น การนำศิลปะผสมผสานลงไปบนเทียน ทำให้เกิดรูปแบบที่สวยงาม ซึ่งด้วยสีสันบวกกับการแต่งกลิ่นหอมลงไป เกิดเป็นเทียนแฟนซีที่ยิ่งได้รับความนิยม และเทียนแฟนซีแบรนด์ “เทียนไท” ที่ใช้ศิลปะการแกะสลักมาตกแต่งลงบนเทียนเป็นรูปทรงและลวดลายต่าง ๆ ที่ดูสวยงาม เป็นจุดเด่นดึงดูดผู้ที่ชอบเทียนหอมได้อย่างมาก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ ในรูปแบบสวยหอมสร้างรายได้...

เมตตา เลขะสมาน และ ทับทิม แสงสุวรรณ ร่วมกันผลิต “เทียนแฟนซี” ภายใต้แบรนด์ “เทียนไท” ออกจำหน่าย โดยเมตตาเล่าว่า เดิมก็ทำงานเป็นพนักงานบริษัท เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนกับหลาย ๆ คน แต่หลังจากที่ทำงานได้สักระยะหนึ่งก็เริ่มอยากที่จะหาอะไรทำเป็นของตัวเอง เพื่อเป็นการหารายได้เพิ่มเติม จนมีเพื่อนมาชวนให้ทำเทียนแฟนซีด้วยกัน ซึ่งเขาก็ได้เอารูปแบบเทียนที่จะทำมาให้ดู หลังจากที่ได้ดูรูปแบบแล้วก็เกิดตกหลุมรักทันที เพราะเป็นเทียนที่สวย และเป็นรูปแบบที่แปลกตา
  
หลังจากที่ชอบเป็นการส่วนตัวด้วย ก็เลยตัดสินใจที่จะลองทำธุรกิจเทียนแฟนซีทันที โดยเพื่อนที่ชวนทำจะเป็นคนสอนทำ แต่เพื่อนคนนี้สอนได้นิดหน่อยแล้วเขาก็หายไป จึงต้องมานั่งหัดทำกันเองกับทับทิม เรียกว่าเริ่มจากศูนย์เลยก็ว่าได้เพราะไม่ได้มีความรู้เรื่องการทำเทียนมา แต่แรก แต่ฝึกหัดทำ ลองผิดลองถูกอยู่ประมาณ 2-3 เดือน ก็ได้วิธีการทำและรูปแบบของเทียนที่ลงตัว
  
“จุดเด่นของเทียนแฟนซีของเรานั้นอยู่ที่รูปแบบที่อ่อนช้อยสวยงาม ดูแปลกตา เพราะใช้ศิลปะและเทคนิคการแกะสลักมาผสมผสานตกแต่งเทียน และเวลาจุดมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ แสงเทียนนั้นก็จะเป็นสีตามสีของเทียน”
  
สำหรับอุปกรณ์ในการทำ หลัก ๆ ก็มี...บล็อกเทียน (เป็นรูปดาว 6 แฉกสำหรับทำแกน), หม้อต้ม, ถังแก๊ส, เครื่องชั่งน้ำหนัก, มีดแกะสลัก, คัตเตอร์ เป็นต้น ส่วนวัตถุดิบนั้นก็มี... พาราฟิน ใช้ทำเทียน, แว็กซ์ ช่วยทำให้เทียนสีสดและเป็นมันเงา, สี เฉพาะสำหรับผสมเทียน, น้ำหอมกลิ่นต่าง ๆ ตามที่ต้องการ
  
การลงทุนนั้น เมตตาบอกว่า ตอนเริ่มต้นลงทุนไปประมาณ 20,000-30,000 บาท
  
ขั้นตอนการทำ...เริ่มจากการหล่อแกนเทียนก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจากการนำพาราฟินและแว็กซ์ใส่ลงไปต้มในหม้อที่ตั้งไฟ ให้วัตถุดิบทั้ง 2 ละลายผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นก็นำน้ำหอมกลิ่นที่ต้องการใส่ผสมเข้าไป (กลิ่นที่เมตตาใช้จะเป็น กลิ่นโรสแมรี่) หลังจากที่ตั้งไฟได้ที่ ก็เทลงบล็อก โดยเตรียมบล็อกที่เป็นรูปดาว 6 แฉก โดยนำไส้เทียนใส่ไว้ตรงกลาง จากนั้นก็นำเทียนที่ต้มไว้มาเทลงไปในบล็อก พักทิ้งไว้ให้เย็นสนิทแข็งตัวอยู่ทรง ก็เสร็จขั้นตอนทำแกนเทียน
  
ต่อไปเป็นการชุบเคลือบแกนเทียนให้เกิดเป็นชั้นสีสันต่าง ๆ ตามที่ต้องการ ก่อนที่จะนำไปแกะสลักลวดลายอีกขั้นตอนหนึ่ง โดยขั้นตอนการชุบเคลือบนี้เริ่มจากการต้มเทียนเหมือนเดิม แต่จะต้มไว้หลายหม้อ และผสมสีสันลงในหม้อต้มเทียนหลากหลายสี ขั้นตอนนี้จะต้องคงอุณหภูมิของเทียนที่ต้มไว้ให้คงที่ ควบคุมอุณหภูมิให้พอดี เพราะถ้าเย็นไปเมื่อนำเทียนมาชุบก็จะทำให้เกิดฟองอากาศ ผิวไม่เรียบ หรือร้อนเกินไปก็ชุบไม่ติด
  
การทำก็นำแกนเทียนที่เตรียมไว้มาชุบลงไปในหม้อเทียนที่เตรียมไว้ ต้องการให้เป็นสีไหนก็ชุบสีนั้น ชุบลงไป 1 ครั้ง ยกขึ้นมา แล้วก็ชุบลงน้ำให้เทียนที่เคลือบแข็งตัวเล็กน้อย จากนั้นก็ชุบลงในหม้อเทียนที่ผสมสีอีก ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ โดยชุบเคลือบประมาณ 30 รอบขึ้นไป หรือตามต้องการ
      
หลังจากที่ชุบเคลือบเทียนได้ขนาดตามที่ต้องการแล้ว ก็นำเทียนมาตัดตกแต่งส่วนด้านล่างที่เป็นฐานเทียนให้เรียบเสมอกัน เวลาตั้งต้องไม่เอียง จากนั้นก็มาถึงขั้นตอนการแกะสลักตกแต่งทำลวดลายลงบนเทียน โดยนำเทียนที่ได้มาแขวน แล้วใช้มีดแกะสลักกรีดตัดตกแต่งสร้างลวดลายให้สวยงามตามที่ต้องการ แกะจากด้านล่างไล่ขึ้นไปข้างบนให้รอบแท่งเทียน เมื่อแกะลวดลายเสร็จก็ทำการตกแต่ด้านบนให้เรียบร้อย พักทิ้งไว้ให้เทียนแข็งตัวแห้งสนิท แล้วจากนั้นก็ทำการบรรจุใส่แพ็กเกจ พร้อมจำหน่าย
  
เทียนแฟนซีของแบรนด์นี้มีหลากหลายลวดลาย อาทิ ลายกลีบบัว ลายเก๋งจีน ลายหมู่มาลี ลายหงส์ฟ้า ลายโบ เป็นต้น และยังมีการพัฒนาลายอื่น ๆ ออกมาอีกเรื่อย ๆ โดยขนาดของเทียนที่ทำมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว ความสูงประมาณ 12 ซม. ราคาขายอยู่ที่ 250-300 บาท แต่ถ้าลูกค้าซื้อ 20 ชิ้นขึ้นไปก็จะได้ในราคาส่ง

ใครสนใจ ’เทียนหอมแฟนซีแกะสลัก“ แบรนด์นี้ ต้องการจะติดต่อ-สั่งออร์เดอร์ ก็ติดต่อได้ที่ เลขที่ 77/19 หมู่ 1 หมู่บ้านนันทวัน 8 ถนนเลียบวารี แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กรุงเทพฯ 10530 เบอร์โทรศัพท์คือ โทร. 08-9445-9769 และสามารถเข้าไปดูสินค้าได้ที่ http://tieantaibynoo.lnwshop.com ทั้งนี้ กรณีศึกษารายนี้ก็บ่งชี้ว่า ’ช่องทางทำกิน“ จาก ’เทียนแฮนด์เมด“ นั้น ยังไปได้ต่อ ยังไม่ตัน.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน
แสงจันทร์ สนั่นเอื้อ : ภาพ

..................................

คู่มือลงทุน...เทียนแฟนซีแกะสลัก

ทุนเบื้องต้น     ประมาณ 20,000-30,000 บาท
ทุนวัสดุ    ประมาณ 50% ของราคาขาย
รายได้    ราคาขาย 250-300 บาท / ชิ้น
แรงงาน    1 คนขึ้นไป
ตลาด    ขายในอินเทอร์เน็ต, แหล่งท่องเที่ยว
จุดน่าสนใจ    สร้างจุดขายด้วยลวดลายแกะสลัก

http://www.dailynews.co.th/article/384/172309

Saturday, December 8, 2012

แนะนำอาชีพ “เคสจากย่านลิเภา”

การช่วยส่งเสริม-พัฒนาเอสเอ็มอี และโอทอป โดยกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ยังคงเดินหน้าอยู่ตลอด ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ได้ไปพบเจอผลิตภัณฑ์ของผู้ที่ได้เข้าร่วมโครงการสร้างตราสินค้าใหม่ให้แก่ ผลิตภัณฑ์และบริการที่ใช้แนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นตัวขับเคลื่อน กับแบรนด์ “โฟลี่ บาย บุญยรัตน์” ซึ่งมี “เคสสมาร์ทโฟนจากย่านลิเภา” เป็นผลิตภัณฑ์เด่น จึงนำมาเล่าสู่กัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา...
  
ผลิตภัณฑ์นี้นำเสนอแนวคิดด้าน Creative Mobile Life นำย่านลิเภามาผสานกับชีวิตสมัยใหม่ยุคไอที โดย เจษฎา หงสุชน กรรมการผู้จัดการ หจก.บุญยรัตน์ไทยคร๊าฟท์ จำกัด เล่าให้ฟังว่า บุญยรัตน์ไทยคร๊าฟท์ทำกระเป๋าย่านลิเภาและเครื่องถมมาตั้งแต่รุ่นคุณย่าคุณ ยาย จนกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของ จ.นครศรีธรรมราช ช่วงสองสามปีก่อนมีความคิดขยายกลุ่มลูกค้า โดยตั้งเป้าลดอายุกลุ่มเป้าหมายให้เหลือประมาณ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งด้วยทักษะที่ประณีตและดีไซน์ลวดลายที่สวยงาม ทำให้ผลิตภัณฑ์ย่านลิเภาครองใจผู้ใช้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ต้องปรับตัวเพื่อให้ทันกระแสโลก
  
“เราต้องการให้งานจักสานย่านลิเภาสามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ โดยที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยนรากเหง้าทั้งหมด แต่ผสมผสานความเป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านจากงานจักสานและย่านลิเภาที่เป็นไม้ ประจำถิ่น กับไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน อย่างกลมกลืน เพื่อให้ โฟลี่ บาย บุญยรัตน์ เป็นแบรนด์ที่คนรุ่นใหม่รับรู้และนึกถึงเมื่อต้องการสิ่งที่แตกต่าง แล้วไอเดียก็เป็นจริงเมื่อมีโครงการ นครศรีดี๊ ดี ด้วยคอนเซปต์ นครร่วมสมัย ซึ่งก็ตรงกับบุญยรัตน์ ที่ต้องการจะปรับตัวให้ร่วมสมัยเช่นกัน ก่อนที่จะได้รับแรงบันดาลใจจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ที่แนะให้ใช้ย่านลิเภาทำเคสไอโฟน ผมจึงร่วมกับกลุ่มสตรีแม่บ้านสหกรณ์การเกษตรท่าเรือ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีฝีมือประณีตในการจักสาน มาดำเนินการตามที่ตั้งใจ”
  
อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการทำผลิตภัณฑ์เครื่องจักสานย่านลิเภาเป็น “เคส” นั้น หลัก ๆ ก็มี ตัวเคส, มีด (ใช้สำหรับขูดเส้นลิเภาให้ได้ตามต้องการ), เหล็กแหลม (ใช้เจาะรูที่โครงเพื่อเสียบไม้ไผ่และช่วยในการจัดลาย), แผ่นโลหะเจาะรู (ใช้ขูดเกลาให้ย่านลิเภาและไม้ไผ่ที่ใช้ทำผลิตภัณฑ์มีขนาดเท่ากัน), ปลอกนิ้ว (ทำจากผ้าหนา ๆ ใช้สวมนิ้วเวลาขูดย่านลิเภา จะได้ไม่เจ็บ), กาวลาเท็กซ์ (ใช้ทาเส้นลิเภาให้ยึดติดกับโครงแบบที่จะทำ หรือใช้ยึดส่วนประกอบของกระเป๋า) และวัสดุหลักที่ใช้ในการทำคือ ย่านลิเภา ซึ่งย่านลิเภามี 2 ชนิดคือ ย่านลิเภาสีดำ และย่านลิเภาสีน้ำตาล
  
ขั้นตอนและวิธีการทำ “เคส” เช่น เคสไอโฟน เคสไอแพด จากย่านลิเภา
  
เริ่มจากนำย่านลิเภาใหญ่ไปลอกหรือปอกเปลือก แล้วนำเปลือกที่ลอกได้ไปแขวนตากลมในที่ร่มแห้ง จากนั้นก็นำมาฉีกเป็นเส้นตามขนาดที่ต้องการจะใช้งาน แล้วตั้งพักไว้ก่อน
  
นำกระป๋องนมมาเจาะรู 5 รู เรียงลำดับจากช่องใหญ่ไปหาเล็กที่สุด จากนั้นเอาย่านลิเภาที่เป็นเส้นฝอยมารูดทีละช่องจนถึงช่องเล็กที่สุด โดยดึงผ่านจากโคนถึงปลาย ก็จะทำให้ขนาดของย่านลิเภาเรียบและมีขนาดเท่ากัน ขั้นตอนนี้เรียกว่าการชักเลียด (ในการทำควรจะทำครั้งละมาก ๆ เพื่อสะดวกในการนำไปใช้ ส่วนย่านลิเภาที่ยังไม่ได้ใช้ก็ให้นำไปแช่ตู้เย็นเพื่อเก็บความชื้นไว้ เพื่อจะง่ายต่อการสาน เพราะถ้าเส้นลิเภาแห้งแล้วจะสานยาก)
  
การสาน นำเส้นลิเภาที่ขูดจนเส้นเป็นมันและเหนียวแล้ว มาสานแบบขัดเป็นลวดลายต่าง ๆ บนแป้นที่เตรียมไว้ เช่น ลายไทย ลายไทยประยุกต์, ลายดอกสี่เหลี่ยม, ลายสอง, ลายตาสับปะรด, ลายลูกแก้ว และลายอิสระที่ไม่มีแบบตายตัว ขึ้นอยู่กับผู้สานจะคิดและประดิษฐ์เองให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า โดยสีของลวดลายส่วนใหญ่มี 4 สี คือ สีเนื้อ สีน้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลแก่ และสีดำ ลักษณะงานจักสานวิธีนี้จะเป็นรูปทึบ จากนั้นก็นำไปประกอบเข้ารูปกับเคสไอแพด หรือไอโฟน หรืออื่น ๆ ที่เตรียมไว้ เพียงเท่านี้ก็จะได้ เคสลายไทยประยุกต์ ที่สวยงาม
  
เจษฎาบอกอีกว่า โฟลี่ บาย บุญยรัตน์ นำย่านลิเภามาทำเป็นเคส โดยช่างฝีมือด้านการสานย่านลิเภาทำงานร่วมกับดีไซเนอร์ที่ทางหน่วยงานส่ง เสริม-พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมส่งมาเป็นที่ปรึกษา โดยลายสินค้าจะใช้ลายดั้งเดิม ทีมดีไซเนอร์จะเสริมในเรื่องรูปแบบ การวางลาย และองค์ประกอบทางด้านศิลปะ ซึ่งตัวงานก็ยังคงเน้นที่การทำมือ ไม่ใช้เครื่องจักรเลย ซึ่งนี่เป็นจุดขายอย่างหนึ่ง
  
ใครสนใจ “เคสจากย่านลิเภา” ต้องการติดต่อเจษฎา ติดต่อได้ที่ โทร.08-9474-3918, 08-9474-2053 และ 0-7535-6196 ทั้งนี้ งานจักสานเป็นมรดกที่สั่งสมและถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่า คือภูมิปัญญาไทยอันล้ำค่าที่ควรช่วยกันสืบทอด สร้างเป็นงานหัตถศิลป์ระดับชาติ และก็เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ให้คนไทยสืบไป.

เชาวลี  ชุมขำ

...............................................      

คู่มือลงทุน...เคสย่านลิเภา

ทุนเบื้องต้น    ประมาณ  3,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัสดุ    ประมาณ  50% ของราคา
รายได้    ราคา 850 บาทขึ้นไป / เคส
แรงงาน    1 คนขึ้นไป
ตลาด    แหล่งท่องเที่ยว, ผลิตขายส่ง
จุดน่าสนใจ    ภูมิปัญญาไทยทำเงินอินเทรนด์

http://www.dailynews.co.th/article/384/171340

Friday, December 7, 2012

แนะนำอาชีพ “ตุ๊กตาอัดเสียง”

อาชีพงานประดิษฐ์ประเภทของขวัญ-ของที่ระลึก นอกจากขายฝีมือการประดิษฐ์ชิ้นงานแล้ว บางชนิดก็พลิกแพลงเป็นงานบริการได้อีกทางหนึ่งด้วย ยิ่งถ้าเสริมในเรื่องของกระจุกกระจิกหรือของประดับตกแต่งเข้าไป ก็ยิ่งเพิ่มจุดขายและจุดเด่นให้งานบริการได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น “ตุ๊กตาอัดเสียง” ที่ทาง “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...
“หทัยชนก สมมิตร” เล่าว่า ทำงานเป็นพนักงานบริษัท ต่อมาอยากหาอาชีพเสริมทำเพื่อเสริมรายได้ และด้วยความที่เป็นคนมีนิสัยชอบความโรแมนติก เวลาที่ต้องมอบของขวัญให้คนที่รู้ใจหรือคนรู้จักที่สนิทก็มักจะมองหาของขวัญ ที่มีลักษณะพิเศษอยู่เสมอ จึงเกิดความคิดว่า ถ้ามองถึงของขวัญที่สามารถแทนใจแทนความรู้สึกของผู้ให้ ที่จะทำให้คนรับนึกถึงคนให้ได้เสมอ ของขวัญต้องมีจุดเด่นที่พิเศษไม่เหมือนใคร จึงหันมาสนใจธุรกิจ “ตุ๊กตาอัดเสียง” นี้

“ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าต้องเลือกของขวัญสักชิ้นให้คนพิเศษ จะเลือกซื้ออะไร เราก็เลยมองไปที่ตุ๊กตาเพราะเราชอบงานตุ๊กตาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คำถามต่อมาคือ ตุ๊กตาอะไรที่สามารถมอบได้กับคนทุกเพศทุกวัย เราก็มองไปที่ตุ๊กตาหมี ก็เลยเกิดเป็นธุรกิจเล็ก ๆ นี้ขึ้นในชื่อ “I’m a Bear” หทัยชนกกล่าว ก่อนเล่าต่อไปว่า เมื่อได้คำตอบว่าน่าจะเป็นตุ๊กตาหมี จึงคิดว่าน่าจะเพิ่มลูกเล่นให้สินค้าน่าสนใจขึ้น และมองว่าลูกค้าบางคนอาจอยากฝากข้อความพิเศษหรือบันทึกเสียงคำอวยพรเพื่อบอก ความในใจและความรู้สึก เพราะหลายคนเขินอายไม่กล้าพูด ทำให้คิดว่าบริการตัวนี้น่าจะช่วยเหลือลูกค้าตรงจุดนี้ได้ โดยตุ๊กตาที่ให้บริการอยู่นั้น สามารถอัดหรือลบเสียงได้ตลอดเวลา

ปัจจุบันสินค้ายังไม่มีหน้าร้านจำหน่าย แต่อาศัยจำหน่ายผ่านเฟซบุ๊ก www.facebook.com/IamAbear2012 ซึ่งเปิดมาได้ 6 เดือนแล้ว ผลตอบรับก็ค่อนข้างน่าพอใจ โดยลูกค้ามีทั้งนักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงวัยทำงาน ซึ่งข้อดีของการจำหน่ายผ่านช่องทางนี้คือ ต้นทุนต่ำ สื่อสารกับลูกค้าได้ตลอดเวลา ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนมีผู้ใช้เพิ่มขึ้น ทำให้ช่องทางนี้เป็นที่สนใจ เพราะกำลังเติบโตและได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากสะดวก ตอบสนองต่อวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป

“นอกเหนือไปจากการที่อัดเสียงได้ เราเสริมในเรื่องชุดเสื้อผ้าและของประดับเพิ่มเข้าไป โดยเฉพาะช่วงเทศกาล หรือโอกาสพิเศษ เช่น รับปริญญา จบการศึกษา หรือรับทำของที่ระลึกประจำรุ่นที่จบ ซึ่งระบุได้ว่าอยากจะปักชื่อหรือข้อความอะไร นอกจากนี้ยังรับสั่งทำรูปอื่น ๆ ตามที่ลูกค้าต้องการด้วย” หทัยชนกกล่าว

ทุนเบื้องต้นอาชีพ ใช้ประมาณ 20,000 บาท เป็นค่าตุ๊กตาหมีและเครื่องบันทึกหรืออัดเสียง ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 65% จากราคาขาย ซึ่งมีตั้งแต่ 350 บาท ไปจนถึง 1,000 บาท ขึ้นกับขนาดตุ๊กตา โดยสินค้ามี 4 แบบคือ 1.แบบของทางร้าน 2.ชุดรับปริญญา 3.ชุดนักเรียน 4.แบบที่สั่งทำเฉพาะ ส่วนขนาดมี 3 ขนาดคือ ใหญ่, กลาง, เล็ก  ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำมีไม่มาก อาทิ ตุ๊กตาหมี, ชุดตุ๊กตาหมี, เครื่องอัดเสียง และอุปกรณ์สำหรับเย็บผ้า เช่น เข็ม, ด้าย, กรรไกร
 
“ปกติเราจะเตรียมเงินหมุนเวียนในการสต๊อกสินค้าอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือน เพราะการสต๊อกสินค้าจะทำให้เราสามารถควบคุมเรื่องราคาต้นทุนได้ และทำให้เราสามารถเช็กยอดสินค้าคงคลังของเราได้รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือ หากสต๊อกสินค้าไว้ไม่เหมาะสมก็อาจจะมีปัญหาเรื่องต้นทุนที่จมลงไปกับสินค้า หรือหากสั่งน้อยไปจนสินค้าไม่พอกับความต้องการก็อาจทำให้เราเสียโอกาสในการ ขายสินค้าได้” หทัยชนกแนะนำ

การทำ “ตุ๊กตาอัดเสียง” เนื่องจากนี่เป็นธุรกิจบริการประเภทที่นำสินค้ามาผสมผสาน ขั้นตอนจึงไม่มีอะไรมาก

จะมีในส่วนที่ต้องทำที่เป็นจุดขายก็คือ การบันทึกหรืออัดเสียงพูด ซึ่งมีขั้นตอนคือ ลูกค้ากดปุ่มตัวอาร์ตรงแขนด้านซ้ายของตุ๊กตาค้างไว้ จนได้ยินเสียงสัญญาณดัง จึงทำการพูดเพื่อบันทึกเสียงลงไป เมื่อพูดจบให้ปล่อยมือจากปุ่ม จะได้ยินเสียงสัญญาณดังสองครั้งจึงจะถือว่าการอัดเสียงเสร็จสมบูรณ์ หากต้องการฟังก็ให้กดตรงแขนด้านขวา

ส่วนการลบเสียง ให้กดที่แขนด้านซ้ายของตุ๊กตาโดยไม่ต้องกดค้างไว้ จะได้ยินเสียงสัญญาณดังสองครั้ง ถือว่าลบเสียงออกได้สมบูรณ์ หากไม่แน่ใจก็กดที่แขนขวาเพื่อลองฟังดูก่อนอัดเสียงใหม่ได้ ซึ่งเหล่านี้ลูกค้าสามารถทำได้ด้วยตัวเองตามคำแนะนำในการใช้งาน โดยสามารถดูได้ที่เฟซบุ๊กของทางร้าน
ใครสนใจติดต่อหทัยชนก ติดต่อได้ที่ โทร. 08-8884-0409 หรืออีเมลiam_a_bear@hotmail.com ส่วนตัวสินค้าก็เข้าไปดูที่เฟซบุ๊กของทางร้าน ซึ่ง “ตุ๊กตาอัดเสียง” นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่ผสมผสานรูปแบบการสร้างสรรค์ชิ้นงานที่น่าสนใจ และยังใช้ช่องทางจำหน่ายสินค้าที่น่าสนใจ ในโลกยุคออนไลน์ที่เติบโตขึ้นทุกวัน.

http://www.dailynews.co.th/article/384/171151

Saturday, December 1, 2012

แนะนำอาชีพ ‘พานขันหมาก’

ทางทีม “ช่องทางทำกิน” เคยนำงานใบตองอย่าง “บายศรี” มานำเสนอไปแล้ว และวันนี้ทางทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนองาน “ใบตอง” อีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ “พานขันหมาก” ซึ่งฝีมือดี ๆ ก็เป็นช่องทางสร้างรายได้ที่ดีได้...
  
จากข้อมูลในเว็บไซต์ http://www.wedding.in.th ระบุไว้ว่า ประเพณีการยกขันหมากสู่ขอนั้นเป็นพิธีมงคลที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการคารวะผู้ ปกครองฝ่ายเจ้าสาว เป็นการบอกกล่าวขออนุญาตในการที่เจ้าบ่าวจะสู่ขอเจ้าสาวไปเป็นภรรยา และกับประวัติที่มาของ “พานขันหมาก” มีมาแต่สมัยสุโขทัย สมเด็จพระร่วงเจ้าทรงบัญญัติว่า ถ้าทำการรับแขกเป็นสนามใหญ่มีการอาวาห์มงคลหรือวิวาห์มงคลแล้ว ให้ร้อยดอกไม้เป็นรูปพานขันหมาก และให้เรียกว่า “พานขันหมาก”
  
ปัจจุบันการทำ “พานขันหมาก” สามารถทำเป็นอาชีพทำเงินได้ ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบ “ช่องทางทำกิน”
  
เสกสรรค์ มะลิซ้อน หรือ อาท อายุ 25 ปี ซึ่งสร้างสรรค์ผลงาน “พานขันหมาก” เล่าว่า เป็นชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ ปัจจุบันเรียนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่ง และรับทำพานขันหมากไปด้วย ซึ่งเงินที่ได้ก็สามารถใช้เป็นทุนการศึกษาต่อโดยที่ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ผู้ปก ครองอาทเล่าต่อไปว่า สมัยเรียนชั้นประถมได้เรียนทักษะวิชาการจากหนังสือความสามารถพิเศษ ในด้านการร้อยมาลัย งานใบตอง เมื่อโตขึ้นก็มีโอกาสได้ร่วมทำพานขันหมากกับคนเฒ่าคนแก่ตามที่ต่าง ๆ ที่มีการจัดงาน หรือบางทีไปร่วมงานแต่งงานก็จะดู จะแหวกดูพานขันหมาก ว่าเขาทำกันอย่างไรบ้าง? “การเรียนรู้ของผมคือฝึกด้วยตัวเอง ศึกษาเบื้องต้นจากอินเทอร์เน็ตบ้าง แล้วมาศึกษาการทำจริงจังตอนงานแต่งงานพี่สาวตัวเอง”  
      
พานขันหมากนี้ อาทบอกว่า เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนชาติใดในโลก เป็นงานที่ต้องใส่ใจมาก เพราะเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือและความประณีต ถือเป็นวัฒนธรรมตั้งแต่บรรพบุรุษ นอกจากนี้การทำยังเป็นการฝึกสมาธิชั้นเยี่ยมอีกด้วย
  
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำพานขันหมาก หลัก ๆ ก็มี ใบตอง หรือหยวกกล้วย, ดอกไม้-ใบไม้ อาทิ ดอกรัก ดอกบานไม่รู้โรย ดอกบัว แกนดอกบัว ดาวเรือง ใบนาก ใบเงิน ใบทอง ใบพลู หมาก, หยวกกล้วย หรือโฟม, พานขนาดต่าง ๆ, ลวดเย็บกระดาษ, หมุดเข็ม, ลวด, ตะปู, เชือก, เข็ม-ด้าย และวัสดุประกอบอื่น ๆ ที่เหมาะสม
  
สำหรับขั้นตอนการทำพานขันหมาก เริ่มที่เตรียมพานขนาดตามต้องการ ตัดโฟมหรือหยวกกล้วยให้เป็นรูปวงกลม เท่ากับขนาดของความกว้างพาน   
ขั้นตอนต่อไปคือการทำ “คอม้า” รอบโฟมหรือหยวกกล้วย ด้วยการฉีกใบตองให้มีขนาดกว้าง 2 นิ้ว แล้วพับใบตองแต่ละด้านเข้ามาตรงกลางให้เป็นรูปสามเหลี่ยม แล้วพับสามเหลี่ยมแต่ละด้านเข้าหากัน พับแบบนี้ทีละชิ้น แล้วนำแต่ละชิ้นมาเย็บติดกันเป็นวงกลมให้ได้ขนาดเท่ากับโฟมหรือหยวกกล้วย แล้วนำไปติดรอบโฟมหรือหยวกกล้วย ปักติดด้วยหมุดเข็ม หรือใช้ลวดเย็บกระดาษเย็บติดก็ได้ เสร็จแล้วตัดใบตองส่วนที่ยาวออกไป
  
ต่อไปทำ “กลีบรอบ” ด้วยการฉีกใบตองให้มีขนาดกว้าง 1 นิ้ว แล้วพับใบตองแต่ละด้านเข้ามาตรงกลางให้มาเป็นรูปสามเหลี่ยม  แล้วพับใบตองด้านข้างของสามเหลี่ยมเข้ามาตรงกลาง พับทั้งสองข้าง ทำแบบนี้ทีละชิ้น แล้วนำไปเย็บติดบนคอม้าให้รอบ ทำให้ได้ 3 รอบ เรียงสับหว่างกันให้ดูสวยงาม และเป็นระเบียบ เสร็จแล้วตัดใบตองส่วนที่ยาวออกไป
  
ถัดมาเป็นการตกแต่งพานด้วยการติดดอกไม้ที่มีชื่อมงคล อย่างดอกบานไม่รู้โรย ดอกรัก ใช้หมุดเข็มปักเข้าไปตรงกลางของดอกไม้ทีละดอก แล้วนำไปติดรอบพาน เริ่มด้วยดอกบานไม่รู้โรย ตามด้วยดอกรัก   ติดให้รอบทีละชั้น

ส่วนการตกแต่งในตัวพานก็เช่นเดียวกัน ใช้ดอกบานไม่รู้โรย ดอกรัก แกนดอกบัว และดอกบัว วิธีการคือ ใช้หมุดเข็มปักเข้าไปตรงกลางของดอกไม้ทีละดอก แล้วนำไปปักในตัวพาน เริ่มด้วยดอกบานไม่รู้โรย ดอกรัก แกนดอกบัว ส่วนดอกบัวให้วางไว้ตรงกลางเพื่อความสมบูรณ์สวยงาม  และพานขันหมากจะต้องมีดอกดาวเรือง หมาก ใบพลู ใบเงิน ใบทอง ใบนาก ร่วมประดับด้วย
ปิดท้ายที่การทำ “กรวยครอบพานขันหมาก” ด้วยการฉีกใบตองกว้าง 3 นิ้ว พับครึ่งตามยาว แต่ให้เฉียงเล็กน้อย ทำทีละชิ้น ประมาณ 24 ชิ้น แล้วนำมาเย็บติดกันเป็นวงกลมด้วยลวดเย็บกระดาษ (ทั้งด้านล่างและด้านบน) ตัดใบตองส่วนบนออกเล็กน้อยเพื่อความสวยงาม นำไปครอบปิดพาน เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย 
ราคาพานขันหมากรูปแบบที่ว่ามานี้ อยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ถ้าเป็นชุด มี 5 พาน อาทิ พานขันหมากเอก, พานสินสอด, พานธูปเทียนแพ, พานเชิญขันหมาก ราคาชุดละ 4,500-5,000 บาท
                                      
ใครสนใจเรื่อง “พานขันหมาก” สนใจต้องการติดต่อกับ อาท-เสกสรรค์ มะลิซ้อน ก็ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-5768-4014 หรือทางอีเมล Art.Art1234@hotmail.com หรือ okee123@hotmail.com และ http://www.facebook.com/okeeyakung ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบ “ช่องทางทำกิน” จากวิถีไทยโบราณ.

http://www.dailynews.co.th/article/384/170054

Friday, November 30, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ฉากกั้นห้อง’

งานประดิษฐ์ งานแฮนด์เมด ถ้ารู้จักใส่ไอเดีย ประยุกต์ นำเสนอชิ้นงานออกมาให้ดูสวยงาม หลากหลาย และเป็นแบบฉบับของตัวเอง ก็สามารถดึงดูดลูกค้าให้มาสนใจในตัวสินค้าได้เป็นอย่างดี อย่างงาน “ฉากกั้นห้อง” ที่นำวอลเปเปอร์ที่มีลวดลายสวยงามหลากหลายลายมาเป็นวัสดุติดลงบนฉากกั้นห้อง ซึ่งเป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่น่าพิจารณา...

เมย์-อทิตา สุวรรณสุทธิ์ ร้านบ้านมุมฉาก ซึ่งนำวอลเปเปอร์มาทำฉากกั้นห้อง เล่าว่า หลังจากเรียนจบทางด้านการตลาดก็เข้าทำงานเป็นพนักงานบริษัทที่ขายวอลเปเปอร์ แต่ทำอยู่ได้ไม่นานบริษัทที่ทำงานก็ปิดลง แต่ส่วนตัวมองว่างานเกี่ยวกับวอลเปเปอร์นี้น่าจะยังไปได้อีก จึงออกมาจำหน่ายและรับติดวอลเปเปอร์เอง ซึ่งก็เป็นธุรกิจที่ไปได้ดีในช่วงนั้น จนมาระยะหลังร้านวอลเปเปอร์เริ่มเยอะ แข่งขันกันสูง และมีการตัดราคากันเองมากขึ้น ธุรกิจจึงเริ่มไม่ดีเหมือนแต่ก่อน
  
เมื่อธุรกิจที่ทำอยู่เริ่มไม่ดีเหมือนเก่า จึงเริ่มมองหาอะไรทำเสริมเพื่อเป็นการเสริมรายได้ พอดีแฟนทำฉากกั้นห้องจำหน่ายอยู่ก่อนแล้ว แต่ว่าเป็นฉากที่ใช้วัสดุเป็นพวกไม้สาน จึงเกิดความคิดว่าน่าจะลองเอาวอลเปเปอร์ ที่มีลวดลายและสีสันเยอะ มาทำเป็นฉากกันห้อง ซึ่งน่าจะทำได้
  
หลังจากที่มีความคิดนี้ ก็เริ่มสำรวจตลาดดูว่าสินค้าแบบนี้มีคนทำออกมาจำหน่ายหรือยัง ไปเดินดูตามตลาดนัดต่าง ๆ ก็ยังไม่เห็นว่ามีคนทำออกมา จึงตัดสินใจที่จะทำฉากกั้นห้องออกมาขายเอง โดยเริ่มจากการสั่งทำฉากไม้สำเร็จรูป แล้วนำมาทำการติดวอลเปเปอร์ลงไป เป็นการทดลองตลาดดูก่อน หลังจากที่ทำเสร็จชุดแรก ก็ลองประกาศขายผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
  
เมื่อได้รับการตอบรับจากลูกค้า จึงเริ่มผลิตงานออกมาจริงจัง และเพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิตจึงไม่สั่งทำกรอบสำเร็จรูป แต่หันมาผลิตเอง ทำเอง ซึ่งก็ลองผิดลองถูกอยู่กว่า 3 สัปดาห์ จนได้ฉากที่ลงตัวเรื่องขนาด เรื่องไซซ์ ซึ่งฉากกั้นห้องนั้นอาจมองว่าทำง่าย ๆ แต่เวลาทำจริง ๆ ก็ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าจะฝึกฝน
  
“ฉากกั้นห้องที่ใช้วอลเปเปอร์มาติดที่ทำอยู่ เราจะเน้นทำเป็นงานแฮนด์เมด ทำด้วยมือทุกขั้นตอน งานที่ทำออกมาจึงออกจะช้าอยู่บ้าง แต่รับรองว่างานดูเรียบร้อย ประณีต มีคุณภาพแน่นอน” เมย์กล่าว
  
สำหรับการลงทุนทำฉากกั้นห้องขายนั้น เบื้องต้นใช้ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป ซึ่งสามารถทำฉากกั้นห้องได้ประมาณ 10-15 ชุด แต่ถ้ามีเงินทุนมากพอก็ลงทุนเยอะหน่อย เพื่อซื้อวัสดุอุปกรณ์คราวละมาก ๆ ต้นทุนก็จะลดลงได้
  
วัสดุอุปกรณ์ในการทำฉากกั้นห้อง หลัก ๆ มีดังนี้คือ...วอลเปเปอร์, ไม้ (สำหรับทำกรอบฉากกั้นห้อง), แผ่นไม้อัด ขนาดประมาณ 4 มิลลิเมตร, สีทาไม้, แล็กเกอร์, เลื่อยไฟฟ้า, กาวลาเท็กซ์, บานพับ, กระดาษทราย เป็นต้น
  
ขั้นตอนการทำเริ่มจาก...นำไม้สำหรับทำกรอบฉากกั้นห้องมาทำการตัดตามขนาดที่ กำหนดไว้ ให้ได้ด้านกว้างขนาด 50 ซม. ส่วนความสูงนั้นตามแต่ต้องการ (แต่ไม่ควรสูงเกินกว่า 1.8 เมตร เพราะเวลาใช้งานฉากกั้นจะมีโอกาสล้มได้ง่าย) ตัดไม้ทำกรอบฉากออกมาก็จะได้ไม้ 4 ชิ้น ด้านกว้าง 2 ชิ้น ด้านสูงอีก 2 ชิ้น
  
เมื่อได้ไม้ที่ตัดแล้วก็ทำการขัดด้วยกระดาษทรายให้เรียบ เอาเสี้ยนไม้ออกให้หมด ทำการเซาะร่องตรงกลางไม้ที่จะนำมาทำเป็นกรอบฉาก เซาะร่องให้ขนาดกว้างเท่ากับความหนาของแผ่นไม้อัด เมื่อทำการเซาะร่องเสร็จแล้ว จากนั้นก็ทำการประกอบเข้าด้วยกัน ประกอบเป็นลักษณะเหมือนการทำกรอบรูปโดยมีแผ่นไม้อัดอยู่ตรงกลาง
  
การประกอบนั้น กรอบด้านบนให้ตัดไม้เป็นมุมประมาณ 45 องศา แล้วนำมาประกอบเข้าด้วยกันเหมือนกรอบรูป โดยมีแผ่นไม้อัดใส่ไว้ในร่องที่เซาะไว้ ยึดด้วยกาวลาเท็กซ์และตะปูขนาดเล็ก เพื่อความแน่นหนา ส่วนด้านล่างไม่ต้องตัดมุมให้ประกอบติดโดยติดให้สูงขึ้นมาจากพื้นประมาณ 10-15 ซม. เพื่อให้เป็นขาตั้งของฉากกั้น
  
เมื่อประกอบเสร็จแล้วก็ใช้กาวอัดตามร่องแผ่นไม้อัดเพื่อความแน่นหนาอีกที จากนั้นก็ตรวจดูกรอบไม้ ถ้าไม้กรอบมีรูก็ทำการโป๊วทับให้เรียบ เก็บรายละเอียดเสร็จก็ทำการขัดไม้ให้เรียบอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็ทำการทาสีที่กรอบไม้ โดยทา 2 รอบ พอสีแห้งก็ทาทับด้วยแล็กเกอร์ พอแห้งก็นำวอลเปเปอร์มาติดลงบนไม้อัดโดยยึดติดด้วยกาว เท่านี้ก็เสร็จ ก็จะได้กรอบฉากกั้น 1 บาน ซึ่งจะต้องทำทั้งหมด 3 บาน แล้วนำมาติดบานพับให้ติดกัน ก็จะได้ฉากกั้นห้อง 1 ชุด
  
ฉากกั้นห้อง 1 บาน จะมีต้นทุนการทำอยู่ที่ประมาณ 700 บาท ไม่รวมค่าวอลเปเปอร์ โดยวอลเปเปอร์นั้นมีหลายชนิด ราคาก็แตกต่างกันออกไป โดยถ้ารวมค่าวอลเปเปอร์ด้วยเฉลี่ยก็จะตกอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ต่อ 1 บาน
  
ฉากกั้นห้องร้านนี้ มีขนาดหน้ากว้าง 50 ซม. เป็นมาตรฐาน ส่วนความสูง มีขนาด 1.45, 1.6 และ 1.8 เมตร ราคาต่อ 1 ชุด ก็มีตั้งแต่ 2,700-4,800 บาท ขึ้นกับขนาดความสูงและวอลเปเปอร์ โดยมีต้นทุนประมาณ 2,000-3,000 บาท

ใครสนใจ “ฉากกั้นห้องแฮนด์เมด” ลวดลายวอลเปเปอร์ ของร้านบ้านมุมฉาก ไปชมสินค้าได้ที่ 644/78 ซอยเสรีไทย 41 ถนนเสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เบอร์โทรศัพท์ 08-6358-6291, 08-8277-2901 หรือดูได้ในเว็บไซต์ http://banmoomchark.blogspot.com ซึ่ง “ช่องทางทำกิน” รูปแบบนี้ นอกจากจะทำขายสำเร็จรูปแล้ว ยังสามารถจะทำเงินโดยรับสั่งทำตามแบบตามลวดลายที่ลูกค้าต้องการ ก็ลองพิจารณากันดู.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน/แสงจันทร์ สนั่นเอื้อ : ภาพ
          
..........................................

คู่มือลงทุน...ฉากกั้นห้องแฮนด์เมด

ทุนเบื้องต้น     ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัสดุ    ประมาณ 2,000-3,000 บาท/ชุด
รายได้    ราคาขาย 2,700-4,800 บาท/ชุด
แรงงาน    1 คนขึ้นไป
ตลาด    ขายผ่านเน็ต, ร้านของแต่งบ้าน
จุดน่าสนใจ    มีลวดลายดึงลูกค้าได้หลายกลุ่ม

http://www.dailynews.co.th/article/384/169813

Saturday, November 24, 2012

แนะนำอาชีพ “ก๋วยเตี๋ยวเป็ด”

อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว มีขายกันมากมายหลายแบบและหลายสูตร ทั้งสูตรโบราณดั้งเดิม และสูตรปรับปรุงดัดแปลงเพื่อสร้างจุดขาย ซึ่ง “ก๋วยเตี๋ยวเป็ด” ก็ยังคงเป็นหนึ่งในก๋วยเตี๋ยวที่ได้รับความนิยมเสมอมา โดยวันนี้คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดสูตรโบราณดั้งเดิมที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น มานำเสนอให้พิจารณากัน...
  
อ.ธนาชัย เหมอยู่สุข หรือ “เฮียชัย” เจ้าของร้าน “เหลา ก๋วยเตี๋ยวเป็ด” ซึ่งเป็นทายาทสืบต่อรุ่นที่ 2 และปัจจุบันยังเป็นวิทยากรสอนการทำก๋วยเตี๋ยวเป็ดด้วย เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดว่า ร้านนี้เปิดขายมานานกว่า 40 ปีแล้ว “เหลา” คือชื่อของคุณพ่อ เดิมจะตระเวนเข็นรถซาเล้งขายตามที่ต่าง ๆ ในย่านดินแดง พหลโยธิน ด้วยความตั้งใจ บวกกับฝีมือในการปรุง ทำให้มีลูกค้าขาประจำมากมาย ก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่ทำไปขายแม้จะทำเพิ่มก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า และหากทำมากไปก็ใส่รถเข็นไปขายไม่ไหว ต่อมาจึงคิดเรื่องการมีร้านประจำ
“คุณพ่อพยายามเก็บหอมรอมริบเพื่อให้ได้เงินสักก้อนเพื่อหาสถานที่ขายให้ เป็นหลักแหล่ง ในที่สุดก็สามารถซื้อตึกแถวย่านสนามเป้า ย่านที่ตั้งร้านปัจจุบัน ส่วนตัวผมช่วยงานคุณพ่อและคลุกคลีอยู่กับก๋วยเตี๋ยวเป็ดมาตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้ชำนาญสูตรการทำทุกขั้นตอน ประกอบกับอยากให้พ่อแม่ได้พักผ่อนบ้าง หลังเรียนจบปริญญาตรีผมจึงรับช่วงธุรกิจ”

เฮียชัยบอกเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ก๋วยเตี๋ยวเป็ดอร่อย รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม และมีลูกค้าขาประจำมากมาย ว่า ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดี ไม่ขี้เหนียว สะอาด จริงใจซื่อสัตย์ต่อลูกค้าด้วยการทำกันสดใหม่ทุกวัน

อุปกรณ์ที่ใช้ทำก๋วยเตี๋ยวเป็ด หลัก ๆ ก็มี...เตาแก๊ส-ถังแก๊ส, หม้อต้มขนาดใหญ่, กะละมัง, ทัพพี, ถาด, เขียง, มีด, ตะแกรง, ตะกร้อลวกก๋วยเตี๋ยว, กระบวยตักน้ำก๋วยเตี๋ยว, ผ้าขาวบางหรือถุงผ้าสำหรับใส่เครื่องพะโล้ยาจีน, เครื่องครัวเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ, อุปกรณ์การขาย เช่น ที่ใส่เครื่องปรุง ชาม ช้อน ตะเกียบ

วัตถุดิบที่ใช้ทำ ก็ได้แก่... เป็ดสด (คัดไซซ์พิเศษ) มีเครื่องในและเลือดก้อนด้วย, ผงพะโล้, เครื่องเทศ เช่น โป๊ยกั๊ก อบเชย ชวงเจียคั่ว พริกไทยเม็ดบุบ, กระเทียมบุบ, รากผักชี, พริกชี้ฟ้าแดงทุบ, เกลือ, ซีอิ๊วดำ, ซีอิ๊วขาว, ผ้าขาวบางหรือถุงผ้าสำหรับใส่เครื่องพะโล้ยาจีน, ต้นหอม, ผักกาดหอม, ถั่วฝักยาว และเส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ เส้นบะหมี่ สำหรับเครื่องปรุงรสที่ต้องเตรียมให้ลูกค้าก็มี น้ำปลา ซีอิ๊ว พริกป่น น้ำตาลทราย พริกน้ำส้ม พริกไทยป่น

ขั้นตอนการทำ “ก๋วยเตี๋ยวเป็ด” อันดับแรกต้องทำ “เป็ดพะโล้” ก่อน โดยนำเป็ดคัดไซซ์ที่เตรียมไว้มาล้างให้สะอาดเอี่ยมหลาย ๆ น้ำ โดยเฉพาะพวกเครื่องใน ทั้งตับและกึ๋นต้องล้างอย่างพิถีพิถัน ด้วยการขยำกับเกลือทะเลหลาย ๆ ครั้งจนไม่มีกลิ่นติด ส่วนไส้นั้นก็ขยำด้วยเกลือหลาย ๆ ครั้งจนหมดเมือกหมดกลิ่น แล้วต้องขยำกับแป้งมันอีกด้วย

นำน้ำใส่หม้อใช้ตั้งไฟ ความร้อนปานกลาง รอจนเดือดก็ใส่ผงพะโล้ ใส่ถุงใส่เครื่องเทศ เช่น โป๊ยกั๊ก อบเชย ชวงเจียคั่ว และพริกไทยเม็ดบุบ (ปิดปากถุงให้แน่น) เพื่อช่วยดับกลิ่นคาวและกลิ่นสาบเป็ด ตามด้วยกระเทียมบุบ รากผักชี พริกชี้ฟ้าแดงทุบเล็กน้อย ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว น้ำตาล เกลือ พอน้ำเดือดอีกก็ใส่เป็ดและเครื่องในตามลงไป ลดไฟอ่อน ต้มต่อประมาณ 1 ชั่วโมง เป็ดพะโล้ก็จะสุกพอดีกิน และทั้งกึ๋นและตับก็ต้องนำลงต้มกับน้ำพะโล้ด้วย ส่วนไส้ไม่ต้องต้ม หลังจากทำความสะอาดแล้วก็แค่นำมาลวกน้ำร้อนพอสุก เวลาเสิร์ฟก็ตักน้ำเป็ดพะโล้ร้อน ๆ ราด ไส้จะกรอบเคี้ยวกรุบ ๆ จนลูกค้าเรียกกันติดปากว่า “ไส้แก้ว” ซึ่งขายดี มีลูกค้าที่ชอบสั่งเฉพาะไส้แก้วจิ้มพริกน้ำส้มกินเล่น

เมื่อเป็ดสุกแล้ว ตักขึ้นพักไว้ให้เย็น จากนั้นก็แบ่งน้ำต้มเป็ดมากรองใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟกลางจนร้อน ใส่เลือดเป็ดและเกลือเล็กน้อย ต้มจนสุก ให้น้ำพะโล้ซึมเข้าเลือดเป็ด ปิดไฟยกลง ตักใส่ภาชนะ

ถ้าจะทำเป็ดตุ๋น ต้องสับเป็ดแยกเป็นชิ้นส่วน ปีก ปาก คอ ขา ตุ๋นประมาณ 2 ชั่วโมงก็ใช้ได้

ส่วนผสมน้ำซุปก๋วยเตี๋ยว...น้ำสะอาด, โครงเป็ด-กระดูกหมู, หัวไชเท้า, รากผักชีทุบ, กระเทียมทุบ, พริกไทยเม็ดบุบพอแตก, เกลือแกง, ซีอิ๊วขาว, ซอสปรุงรส, น้ำตาลกรวด โดยนำน้ำใส่หม้อตั้งไฟกลาง ใส่โครงเป็ด-กระดูกหมู ไชเท้าปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้น ๆ หนาประมาณ 2 เซนติเมตร ตามด้วยรากผักชี พริกไทย กระเทียม เกลือ พอน้ำเดือดลดไฟให้อ่อนลงแล้วหมั่นปาดฟองทิ้งให้หมด ใส่ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส น้ำตาลกรวด เพื่อปรุงรส พอได้น้ำซุปรสชาติกลมกล่อม ก็ใช้ได้

ในการขาย เตรียมผักกาดหอม ถั่วฝักยาว ต้นหอม ล้างให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ หั่นเตรียมไว้ เวลาจะขายก็ลวกถั่วฝักยาวหั่นใส่ชามที่รองด้วยใบผักกาดหอม ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่ตามลงไป หั่นและใส่เนื้อเป็ด เครื่องใน เลือด ดอกไม้จีนต้ม ก่อนจะราดน้ำซุป เหยาะพริกไทย โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว ต้นหอมหั่น เป็นขั้นตอนสุดท้าย (ถ้าเป็นแบบแห้งลวกเส้นแล้วคลุกด้วยน้ำมันกระเทียมเจียว ปรุงด้วยซีอิ๊วขาว-น้ำตาลนิดหน่อย ใส่ทุกอย่างเหมือนแบบน้ำ ยกเว้นน้ำซุป)

ร้าน “เหลา ก๋วยเตี๋ยวเป็ด” ขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดชามละ 40 บาท พิเศษ 50 บาท มีทั้งก๋วยเตี๋ยวเป็ดพะโล้ ก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋น เป็ดพะโล้ ไส้แก้ว และยังมีเมนูอื่น ๆ อาทิ ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น-ลูกชิ้น ก๋วยเตี๋ยวปีก-ข้อ-ขาไก่ตุ๋น ก๋วยเตี๋ยวขาหมู ปีกข้อขาไก่ตุ๋น ขาหมู คากิ ไส้หมู ฯลฯ ร้านตั้งอยู่ที่ 1019/2 ถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ ติดกับตึกยาคูลท์ ข้างธนาคารกสิกรไทย สาขาสนามเป้า ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ร้านเปิดบริการช่วงเวลา 08.00-15.00 น. หยุดวันอาทิตย์
  
นอกจากขายที่ร้านแล้ว ร้าน “เหลา ก๋วยเตี๋ยวเป็ด” ยังมีบริการส่งถึงบ้านในละแวกใกล้เคียง และสามารถทำเงินได้จากการรับออกร้านในงานเลี้ยงต่าง ๆ รับสั่งทำเป็ดไหว้ในเทศกาลต่าง ๆ อีกทั้ง อ.ธนาชัยหรือเฮียชัยยังเป็นวิทยากรสอนการทำก๋วยเตี๋ยว ซึ่งใครต้องการติดต่อร้านนี้และติดต่อเฮียชัย ก็ติดต่อได้ที่ โทร.0-2279-4881 และ 08-1642-5837.

http://www.dailynews.co.th/article/384/168657

Friday, November 23, 2012

แนะนำอาชีพ ''นาฬิกาแผ่นเสียง''

“ความคิดสร้างสรรค์” เป็นกุญแจสำคัญสำหรับคนที่คิดจริงจังกับอาชีพงานประดิษฐ์ อย่างเช่นเจ้าของ ’ช่องทางทำกิน“ รายนี้ ที่นำความชื่นชอบกับความชำนาญด้านการออกแบบ มาผนวกเข้ากับวัสดุที่เมื่อนำมาประดิษฐ์แล้วโดดเด่นน่าสนใจ แถมยังทำตลาดได้ไกลถึงต่างประเทศ ชนิดที่ไม่ต้องมีหน้าร้านเสียด้วยซ้ำ เพราะอาศัยช่องทางเผยแพร่ผลงานสินค้าผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต กับชิ้นงาน ’นาฬิกาแผ่นเสียงฉลุ“ ของ “อนันต์ โลภาส” รายนี้...
อนันต์ เล่าว่า ก่อนหน้านั้นทำงานบริษัทเกี่ยวกับการออกแบบกราฟิกมานาน จนเริ่มอิ่มตัวกับการทำงานในระบบออฟฟิศ จังหวะพอดีกับที่มีเพื่อนมาชวนไปลงทุนเปิดร้านจำหน่ายของที่ระลึกที่ตลาดนัด สวนลุมไนท์บาซาร์ ทำได้ระยะหนึ่ง จังหวะกับที่ตลาดนัดดังกล่าวได้หมดสัญญาและปิดตัวลง จึงกลับมาช่วยงานพี่ที่รู้จักรับผลิตงานศิลปะและรับทำป้ายโฆษณา ทำให้พบเห็นว่ามักจะมีเศษวัสดุที่เกี่ยวกับการทำป้ายเหลืออยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะแผ่นอะคริลิกกับแผ่นไม้ จึงเกิดความคิดว่าน่าจะนำมาทดลองประดิษฐ์ขึ้นเป็นชิ้นงานได้ โดยเริ่มทำมาเรื่อย ๆ และทดลองนำไปฝากขายตามร้านขายงานฝีมือที่รู้จัก ปรากฏว่าได้รับการตอบรับ จึงพยายามหาไอเดียเพิ่มขึ้น จนไปสะดุดกับงานจากวัสดุแผ่นเสียงหรือที่เรียกกันว่าแผ่นไวนิลเก่าที่ใช้งาน ไม่ได้แล้ว จนกลายเป็นชิ้นงานอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

“บังเอิญไปเจองานที่เขาเอาแผ่นเสียงตั้งโชว์เป็นนาฬิกา แต่ไม่มีลวดลายอะไรเลย เราก็ลองไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต จากนั้นก็ลองนำมาดัดแปลงทำในสไตล์เราขึ้นมา ลายส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็จะเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวต่างประเทศ รู้จักและจดจำได้ถึงความเป็นเมืองไทย นอกจากนั้นก็มีงานที่เป็นรูปศิลปินเพลงต่างประเทศที่เราชื่นชอบหรือเป็นวง ตำนานเก่าแก่ ปรากฏว่าลูกค้าชอบมาก จึงทำมาเรื่อย ๆ” อนันต์กล่าว

เขาเล่าอีกว่า ลูกค้ารู้จักชิ้นงานในชื่อ “นาฬิกาแผ่นเสียงฉลุ” หรือหากเป็นชาวต่างประเทศจะเรียกชิ้นงานว่าเป็น รีไวนิล-วอลล์คล็อก (Revinyl-Wallclock) ที่ผลิตอยู่มีหลายแบบ และพยายามออกแบบลายใหม่เรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกค้าเลือก นอกจากชิ้นงานสำเร็จรูปแล้วยังสามารถสั่งทำเป็นภาพตัวเองหรือคนอื่น หรือสั่งให้ใส่ชื่อหรือข้อความได้ด้วย

ช่องทางการจำหน่ายนั้น ปัจจุบันจำหน่ายทางอินเทอร์เน็ต คือที่ www.etsy.com/shop/Anantalo ซึ่งเป็นเว็บไซต์จำหน่ายสินค้างานฝีมือ และเฟซบุ๊กชื่อ www.facebook.com/anantalo ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และถือว่าลดความเสี่ยงจากการลงทุนเปิดหน้าร้าน และก็มีบ้างบางครั้งที่นำงานไปจำหน่ายตามงานแสดงสินค้างานฝีมือ

’จุดเด่นของงานคือ เน้นลวดลายที่ออกแบบในสไตล์ของเราเอง ซึ่งสำหรับคนที่คิดจะทำงานฝีมือประเภทงานศิลป์ประดิษฐ์นี้ ความมีเอกลักษณ์ การมีสไตล์ของตัวเองที่ชัดเจน ถือว่าสำคัญมาก เพราะจะทำให้ลูกค้าจำงานของเราได้“ เป็นคำแนะนำจากเจ้าของชิ้นงานนาฬิกาแผ่นเสียงฉลุลาย...

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้ประมาณ 10,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าสต๊อกวัสดุ ขณะที่ทุนวัตถุดิบหรือวัสดุอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย ซึ่งราคาขายนั้นเริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 690 บาท ไปจนถึง 1,500 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่าย วัสดุอุปกรณ์ อาทิ แผ่นเสียงเก่า, เครื่องนาฬิกา, สีสเปรย์สำหรับพ่นตกแต่งลวดลาย, น้ำยาเคลือบเงา และวัสดุตกแต่งอื่น ๆ

ขั้นตอนการทำ เริ่มต้นจากการออกแบบ จากนั้นนำแผ่นเสียงที่เตรียมไว้มาเข้าเครื่องฉลุลายด้วยเลเซอร์ โดยค่าจ้างทำอยู่ที่ประมาณ 150-200 บาท ขึ้นอยู่กับความยากและรายละเอียดชิ้นงานและลวดลาย เมื่อได้ลวดลายที่ต้องการแล้วจึงทำการตกแต่งด้วยการลงสีตามตำแหน่งที่ต้อง การ จากนั้นทำการเคลือบเงา และทำการประกอบเครื่องนาฬิกาที่เตรียมไว้ลงไปในตำแหน่งที่ต้องการหรือตามที่ ได้ออกแบบไว้ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำงาน

“สำหรับแผ่นเสียงที่อาจมีตำหนิหรือบิดแตกบางส่วนไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะเราสามารถนำมาตัดหรือฉลุแก้ไขตรงส่วนนั้นให้เกิดเป็นลวดลายขึ้นมาได้ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับจินตนาการ ส่วนราคาแผ่นเสียงจะไม่แน่นอน แล้วแต่สภาพ แต่หลัก ๆ จะพยายามหลีกเลี่ยงแผ่นเสียงที่นักสะสมนิยมกัน เพราะจะมีราคาแพง” เจ้าของชิ้นงานกล่าว

ก่อนทิ้งท้ายด้วยว่า ผู้สนใจงานแฮนด์เมดควรเริ่มจากการทำสิ่งที่ชอบหรือถนัด เริ่มทำจากน้อย ๆ ไปก่อน และพยายามมองหาช่องทางการขายที่ลงทุนน้อย เช่น การขายในตลาดออนไลน์ ซึ่งถ้าหากพัฒนางานของเราให้มีเอกลักษณ์และน่าสนใจได้ จากนั้นโอกาสก็จะตามมา สำคัญคือต้องอดทน และทำด้วยความรัก
ใครสนใจ ’ช่องทางทำกิน“ จาก ’นาฬิกาแผ่นเสียงฉลุ“ สนใจชิ้นงานประเภทนี้ เข้าไปดูเพิ่มเติมได้ตามที่อยู่เว็บไซต์และในเฟซบุ๊กดังที่ระบุไว้ในตอนต้น หรือต้องการติดต่อกับอนันต์ ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-7072-2089 หรืออีเมล anantaloshop@gmail.com

http://www.dailynews.co.th/article/384/168439

Saturday, November 17, 2012

แนะนำอาชีพ 'ส้มตำป่า'

“ส้มตำป่า” อีกเมนูจานเด็ดที่ไม่ค่อยพบเห็นในร้านขายส้มตำทั่วไปเท่าไหร่นัก แต่จะพบในร้านที่ขายอาหารอีสานแท้ ๆ ซึ่งจุดเด่นของส้มตำป่านี้คือ เป็นส้มตำที่ใส่ผักสดลงไปตำด้วยหลายชนิด ใส่เนื้อหอยโข่ง หรือหอยเชอรี่ ใส่เส้นขนมจีน และมีการปรุงรสแบบจัดจ้านแบบถึงอกถึงใจ ทั้งเปรี้ยว เผ็ด เค็ม ผสมผสานด้วยกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับฝีมือคนทำว่าจะทำได้ชำนาญและเข้าใจคนรับประทานมากเท่าไร ซึ่งหากฝีมือดีและเข้าใจลูกค้าได้ดี นี่ก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีได้...
  
สนธยา เกลี้ยงไธสง หรือ โย อายุ 29 ปี ชาวจังหวัดนครราชสีมา เป็นเจ้าของร้าน “ส้มตำป่า” ในตลาดนัดหงส์ประยูร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เจ้าตัวเล่าว่า ร้านส้มตำป่านี้เป็นของพี่ชายมาก่อน หลังจากที่เสร็จจากงานประจำตนก็มักจะมาช่วยเป็นลูกมือช่วยตำส้มตำเป็นประจำ จึงได้รับการถ่ายทอดทั้งสูตรและวิธีทำมาหมด ต่อมาพี่ชายไม่ค่อยว่าง จึงมารับช่วงขายต่อ ซึ่งก็มีรายได้เลี้ยงตัวและครอบครัวแบบสบาย ๆ โดยไม่ต้องกลับไปทำงานประจำอีก

“ส้มตำที่ขายดีมากคือส้มตำป่า ส้มตำปูปลาร้า ส้มตำหอยดอง โดยเฉพาะส้มตำป่าคนจะแวะซื้อกลับบ้านกันมาก ซึ่งจะมีทั้งแบบคลุกไปเลย หรือแบบแยกเส้น เพื่อจะได้เก็บไว้กินภายหลังโดยรสชาติไม่เปลี่ยน” สนธยาเล่า

อุปกรณ์ในการทำส้มตำป่า หลัก ๆ ก็มี ครก สาก โถใส่ของต่าง ๆ กะละมัง มีด ที่ขูดเส้น ฯลฯ อุปกรณ์เบ็ดเตล็ดเหล่านี้ถ้าลงทุนใหม่หมดก็อยู่ที่ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป

“ส้มตำป่า” แต่ละครก มีส่วนประกอบดังนี้คือ พริกขี้หนูแดง 5 เม็ด, กระเทียม 3 กลีบ, มะเขือเทศสีดา 1-2 ลูก, มะเขือเปาะ 1 ลูก หรืออาจจะใช้มะเขือเหลืองก็ได้, ถั่วฝักยาวหั่นเป็นชิ้น ๆ ขนาดยาว 4 ซม. ประมาณ 4-5 ชิ้น, เนื้อหอยเชอรี่ต้มสุกแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ประมาณ 10 ชิ้น (สมัยก่อนใช้เนื้อหอยโข่ง ปัจจุบันหาได้ค่อนข้างยาก), ปูเค็ม 1 ตัว, น้ำปลาร้าต้มสุก 1.5 ตะบวย, น้ำตาลปี๊บ, น้ำมะนาว, น้ำมะขามเปียก, ผงชูรส, น้ำปลา, หน่อไม้ต้มสุกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ, มะละกอขูดเป็นเส้น ๆ (แช่น้ำเย็น), เส้นขนมจีน และผักกระเฉด

วิธีทำ ตำกระเทียมกับพริกขี้หนูแดงให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำมะขามเปียก ผงชูรส อย่าง
ละพอประมาณ หั่นมะเขือเทศสีดา มะเขือเปาะ (หรือมะเขือเหลือง) ใส่ ตามด้วยถั่วฝักยาว หน่อไม้ เนื้อหอยเชอรี่ และปูเค็ม ใส่ลงไปคลุกให้เข้ากัน เสร็จแล้วตักน้ำปลาร้าต้มสุกใส่ลงไป ตามด้วยเส้นมะละกอ เส้นขนมจีน และผักกระเฉด
คลุกให้เข้ากัน ชิมรสให้มีรสเผ็ด เค็ม เปรี้ยว เข้ากันแบบกลมกล่อม เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว และผักบุ้งแดง

ส้มตำป่านี้ขายในราคาชุดละ 40 บาท

นอกจากส้มตำป่าแล้ว เจ้าของร้านส้มตำป่ายังได้ให้สูตร “ส้มตำหอยดอง” ซึ่งเป็นส้มตำอีกชนิดที่ขายดีของร้านนี้ โดยส่วนผสมก็มี พริกขี้หนูแดง 4-5 เม็ด, กระเทียม 5 กลีบ, น้ำตาลปี๊บ, น้ำมะนาว, ผงชูรส, น้ำมะขามเปียก, มะเขือเทศสีดา 1 ลูก, ถั่วฝักยาวหั่นเป็นชิ้น ๆ ขนาดยาว 4 ซม. ประมาณ 4-5 ชิ้น, มะละกอขูดเป็นเส้น (แช่น้ำเย็น) และหอยดอง 2.5 ตะบวย (ตักเอาแต่ตัวหอย)

วิธีทำ ตำพริกขี้หนูแดงและกระเทียมให้เข้ากัน ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำมะนาว ผงชูรส น้ำมะขามเปียก ใส่ลงไป เสร็จแล้วหั่นมะเขือเทศสีดาใส่ ตามด้วยถั่วฝักยาว เส้นมะละกอ และหอยดอง ใส่ลงไปคลุก ชิมรสให้มีรสชาติเปรี้ยว-หวาน สามารถเพิ่มเติมรสชาติได้ตามใจลูกค้า เสิร์ฟพร้อมกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว และผักบุ้งแดง ขายในราคาชุดละ 35 บาท
 
โย-สนธยา เปิดร้านส้มตำป่าอยู่ที่ตลาดนัดหงส์ประยูร อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ขายทุกวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ และเสาร์ ช่วงเวลา 14.00-20.00 น. หมายเลขโทรศัพท์คือ 08-9512-1127 ซึ่งเมนู “ส้มตำป่า” รวมถึงส้มตำอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ส้มตำสูตรธรรมดาที่มีขายทั่วไป หากใครมีฝีมือปรุงดี ๆ มีทำเลขายที่เหมาะสม ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่ไม่ควรมองข้าม.

http://www.dailynews.co.th/article/384/167241

แนะนำอาชีพ 'หอยอบเนยกระเทียม'

วัตถุดิบทำอาหารบางอย่างอาจจะดูว่าแพง ต้องมีร้านใหญ่ ๆ ถึงจะทำขายได้ แต่จริง ๆ แล้วอาจสามารถพลิกแพลงเป็น “ช่องทางทำกิน” ในรูปแบบที่ไม่ต้องลงทุนสูงก็ได้ อย่างการทำ-การขาย “หอยอบเนยกระเทียม” นี่ก็ใช่...
ศลิษา วงศ์ศิริ หรือ เปิ้ล อายุ 36 ปี ทำ หอยเชลล์และหอยแมลงภู่อบเนยกระเทียม ขายที่ตลาดน้ำขวัญ-เรียม เจ้าตัวเล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่า ที่บ้านทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร หลังเรียนจบเธอก็ช่วยงานที่บ้าน ไม่ได้ทำงานประจำที่ไหน พอแต่งงานมีครอบครัวก็คิดอยากมีธุรกิจของตัวเอง เริ่มจากทำไก่กะทิทรงเครื่องขาย ก็ได้รับการตอบรับดีมาก แต่ภายหลังการขายอาหารชนิดนี้ซบเซาลงไปบ้าง เธอจึงคิดปรับเปลี่ยนเพิ่มสินค้าให้ทันกับกระแสความนิยมของลูกค้า

จากการศึกษาช่องทางการขายก่อนจะตัดสินใจว่าจะเลือกสินค้าชนิดไหน โดยสำรวจตลาดก่อนเป็นอันดับแรก ก็พบว่าปัจจุบันคนถวิลหาธรรมชาติและวิถีชีวิตความเป็นไทย จึงมีตลาดน้ำเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และตามย่านชานเมืองหลายแห่ง ซึ่งจุดขายของตลาดน้ำคือเรือ และของกินจำพวกอาหารทะเลแบบที่รับประทานง่าย ใหม่ สด อร่อย ไม่เลอะมือ ก็สามารถเข้ากับบรรยากาศตลาดน้ำได้ดี ที่สุดจึงคิดทำหอยเชลล์และหอยแมลงภู่อบเนยกระเทียมขาย โดยได้ศึกษาวิธีทำและแวะชิมตามร้านที่อร่อย ๆ ก่อนจะลงมือทำโดยปรับแต่งสูตรให้มีความแตกต่าง อร่อยไม่เหมือนใคร

เปิ้ลบอกว่า เพราะหอยมีความสดและหวานในตัวอยู่แล้ว ดังนั้นการรักษาคุณภาพให้อร่อยจึงไม่ใช่เรื่องยาก เทคนิคง่าย ๆ คือใช้วัตถุดิบและส่วนผสมอย่างดี บวกความจริงใจ ไม่เอาเปรียบลูกค้า เท่านี้ก็อร่อยได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งถ้าลูกค้าชอบรสจัดจ้านแซบ ๆ ก็มีน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดแบบไทย ๆ ไว้บริการด้วย

วัสดุอุปกรณ์ในการทำอาชีพนี้ หลัก ๆ ก็มี อาทิ...เตาย่างไฟฟ้า, คีมคีบสำหรับใช้ตอนย่าง, เครื่องปั่น, ถาด, กล่องพลาสติก, ช้อนกาแฟหางยาว และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่หาได้ไม่ยากจากในครัวเรือน

สำหรับวัตถุดิบส่วนผสมหลัก ๆ ที่ใช้ในการทำ ก็มี...หอยเชลล์สด, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์, เนยสดจืด-เค็ม, รากผักชี, เกล็ดขนมปังกรอบ, ไข่กุ้ง, พริกไทยบด, กระเทียม และซอสพริก

ขั้นตอนการทำ “หอยเชลล์และหอยแมลงภู่อบเนยกระเทียม” เริ่มจากคัดหอยเชลล์และหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวใหญ่พอประมาณ นำมาล้างให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นทำการงัดหรือแกะหอยออกจากเปลือก โดยเปลือกหรือฝาที่แกะเนื้อหอยออกนี้ยังไม่ทิ้ง เพราะจะต้องใช้ขายคู่กับเนื้อหอย เนื้อหอยที่แกะก็ใส่กล่องพลาสติกแช่ตู้เย็นหรือถังน้ำแข็งไว้

ทำการพักเนย โดยนำเนยสดชนิดจืดและชนิดเค็มมาตั้งพักไว้ในอุณหภูมิปกติ ระหว่างรอให้เนยนิ่มก็แกะเปลือกกระเทียมแล้วสับให้ละเอียดเตรียมไว้ รากผักชีล้างให้สะอาด ผึ่งจนสะเด็ดน้ำแล้วสับเตรียมไว้ พริกไทยดำเม็ดนำมาบดเตรียมไว้ ส่วนซอสพริกก็กรอกใส่ขวดพลาสติกเตรียมไว้

การผสมเนยปรุงรส นำเนยสดชนิดจืดกับชนิดเค็มมาผสมกัน ตามด้วยกระเทียมสับ พริกไทยบด รากผักชีสับ คลุกเคล้าส่วนผสมเนยให้เข้ากัน ซึ่งหลักการขายคือต้องเตรียมหอย ส่วนผสมเนยปรุงรส ไข่กุ้ง ซอสพริก ไว้ใกล้มือ

วอร์มเตาย่างให้ร้อนกรุ่น ๆ นำหอยเชลล์หรือหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ออกจากตู้เย็น คีบลงบนฝาแต่ละตัวก่อนจะนำไปวางบนเตาย่าง ใช้คีมคีบตัวหอยกลับไปกลับมาพอสะดุ้ง ตักเนยปรุงรสใส่ลงบนหอย พลิกกลับไปกลับมา ใส่เนยปรุงรสอีกครั้ง พอสุกก็คีบขึ้นมาทั้งฝา แต่งแต้มด้วยไข่กุ้ง ซอสพริก และเกล็ดขนมปัง เพื่อเพิ่มสีสันและรสชาติความอร่อย

เท่านี้ก็พร้อมขาย พร้อมรับประทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด

น้ำจิ้มซีฟู้ดนั้น ส่วนผสมก็มี พริกขี้หนูสวนสีเขียวสด, รากผักชี, กระเทียม, โหระพา, มะนาว, เกลือ และน้ำตาลทราย โดยนำน้ำตาลทรายใส่น้ำต้มจนเป็นน้ำเชื่อม แล้วทิ้งไว้ให้เย็น ปั่นกระเทียม ใบโหระพา รากผักชี พริกขี้หนู ให้ละเอียด เทใส่ในชาม เติมน้ำเชื่อม เกลือ น้ำมะนาว คนให้เกลือละลาย ปรุงรสให้แซบสะใจ เปรี้ยว เค็ม หวาน

สำหรับราคาขาย “หอยเชลล์อบเนยกระเทียม” ชุดละ 100 บาท มี 7 ตัว ส่วน “หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบเนยกระเทียม” 5 ตัวโต ๆ ขายชุดละ 100 บาท นอกจากนี้ที่ร้านของเปิ้ลยังมีกุ้งเผา กุ้งอบวุ้นเส้น ปลาช่อน-ปลาทับทิม-ปลานิลเผา ไว้บริการลูกค้าที่ไม่ชอบรับประทานหอยด้วย
“หอยเชลล์และหอยแมลงภู่อบเนยกระเทียม” เจ้านี้ขายอยู่ที่ตลาดน้ำขวัญ-เรียม ขายบนเรือ ฝั่งวัดบำเพ็ญใต้ เข้าทางถนนเสรีไทย ซอย 60 หรือเข้าทางถนนรามคำแหง 187 ก็ได้ ซึ่งนอกจากขายประจำที่นี่แล้ว ก็ยังมีรายได้เพิ่มอีกทางจากการรับออกร้านนอกสถานที่ตามงานต่าง ๆ และถ้าใครต้องการติดต่อเจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ ก็ติดต่อเปิ้ลได้ที่ โทร. 08-0459-8476

แนะนำอาชีพ ‘แม็กเน็ตภาพวาด’

งานอาร์ตแฮนด์เมดสามารถพลิกแพลงต่อยอดสร้างสรรค์เป็นสินค้าใหม่ออกสู่ ตลาดได้เรื่อย ๆ และยังสร้างรายได้ให้กับผู้ที่สร้างสรรค์งานได้เป็นอย่างดี อย่างการนำภาพวาดภาพเขียนแนวการ์ตูนน่ารัก ๆ สีสันสดใส มาต่อยอด ทำเป็น “แม็กเน็ต” “ที่แขวนกุญแจ” ออกขายเป็นสินค้ากลุ่มของขวัญของฝาก นี่ก็เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าพิจารณา...

โอเล่-รุ่งนภา จะโนภาษ ซึ่งนำภาพวาดมาสร้างสรรค์เป็นสินค้า อาทิ “แม็กเน็ตติดตู้เย็นจากภาพวาด” และ “ที่แขวนพวงกุญแจจากภาพวาด” เล่าว่า เดิมนั้นพอเรียนจบออกมาก็เข้าทำงานประจำเป็นประชาสัมพันธ์ ทำอยู่ได้ระยะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เริ่มไม่สนุกกับงานที่ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง อยากทำงานที่เป็นเจ้านายตัวเอง
ต่อมาจึงออกจากงานประจำที่ทำอยู่ แล้วก็เริ่มมองหาอาชีพใหม่ จนในที่สุดก็มาทำอาชีพค้าขาย โดยช่วงนั้นขายกระเป๋ามือสอง ขายอยู่นานพอสมควร จนตลาดเริ่มไม่ดีเหมือนอย่างเก่า ลูกค้าเริ่มน้อยลง จึงมองหาสินค้าใหม่ ๆ มาขาย
“ในช่วงนั้นแฟนได้เริ่มไปหัดเรียนวาดภาพ ฝึกฝนอย่างจริงจังอยู่ได้ประมาณ 2 เดือน พอวาดได้ในระดับหนึ่งจึงตัดสินใจที่จะเปิดร้านวาดภาพขาย จึงเริ่มฝึกหัดวาดรูปวาดภาพบ้าง เพื่อที่จะได้ช่วยกัน ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร แต่ก็พอจะมีพื้นฐานตั้งแต่ตอนเรียนอยู่บ้างเล็กน้อย จึงทำได้ และมาถึงตอนนี้ด้วยประสบการณ์ที่ทำมากว่า 10 ปี ก็ทำให้เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ มากขึ้น รวมถึงก็อาศัยดูเทคนิคต่าง ๆ จากอินเทอร์เน็ต แล้วก็มาลองทำดู”
ภาพที่วาดออกมาขายส่วนใหญ่จะออกเป็นแนวน่ารัก ๆ สีสันสดใส หรือที่เรียกว่า “แนวป๊อบอาร์ท” โดยจะเน้นรูปการ์ตูนสัตว์ต่าง ๆ และดอกไม้ โดยแบบส่วนใหญ่จะพยายามคิดขึ้นมาเอง เน้นสีสันสดใส มองแล้วเพลินตา
ที่มาจับงานวาดภาพแนวนี้ ก็เนื่องจากตอนแรกยังแค่เริ่มหัดวาดภาพใหม่ ๆ ซึ่งงานแนวนี้เป็นงานวาดที่ไม่ยาก ไม่ต้องใช้เทคนิคการวาดมากมาย เพียงแต่เป็นงานที่ต้องผสมผสานใส่ไอเดียลงไปในการวาดด้วยเท่านั้น ส่วนรูปแบบ ลายต่าง ๆ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อย ๆ ตามสมัยนิยม แต่ยังคงสไตล์เดิม...
หลังจากที่วาดภาพลงเฟรมผ้าใบขายอยู่ระยะหนึ่ง ก็เริ่มมีความคิดว่ารูปภาพที่วาดน่าจะสามารถต่อยอดเป็นสินค้าอื่น ๆ อย่างพวกแม็กเน็ต ที่แขวนพวงกุญแจ เป็นการขยายกลุ่มลูกค้า และน่าจะขายได้ง่ายกว่าภาพวาดที่เป็นงานชิ้นใหญ่ที่ทำออกมาได้ช้า ซึ่งหลังจากทดลองทำแม็กเน็ตออกมาก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อไปเป็นของขวัญของฝาก บางคนสั่งทำเป็นของชำร่วยแจกในงานแต่งงานก็มี
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำ หลัก ๆ ก็มี... รูปวาดที่ทำเป็นเป็นรูปถ่าย, แผ่นแม่เหล็ก (ใช้แบบบางประมาณ 0.5 มิลลิเมตร โดยเลือกซื้อที่มีแถบกาวในตัว), คัทเตอร์, ไม้บรรทัด, ไม้ MDF, กาวลาเท็กซ์, เทปกาว 2 หน้า เป็นต้น
  ขั้นตอนการทำ กรณีทำเป็น “แม็กเน็ต” เริ่มจากถ่ายรูปภาพวาดต้นฉบับ ที่วาดไว้ขายอยู่แล้ว จากนั้นก็นำภาพไปทำการตกแต่งในคอมพิวเตอร์ ใช้โปรแกรมจัดตกแต่งสีและแสงให้สวยงามตามที่ต้องการ จะใส่ตัวอักษรข้อความต่าง ๆ ด้วยก็ได้ตามต้องการ จากนั้นก็จัดไซส์รูป ทำให้ได้ขนาด 6x6 ซ.ม. และ 6x8 ซ.ม. จัดวางให้อยู่ในกรอบรูปขนาด 5x7 นิ้ว จากนั้นก็นำรูปไปอัดรูปที่ร้านถ่ายรูป ก็จะได้รูปถ่ายไซส์ขนาด 5x7 นิ้ว ที่มีภาพวาดที่ตกแต่งและจะนำไปทำเป็นแม็กเน็ตอยู่ในรูปถ่ายที่อัดมา ประมาณ 3-4 รูป
หลังจากได้ภาพที่อัดมาแล้ว ก็ใช้คัทเตอร์ตัดรูปภาพออกมา จากนั้นก็นำรูปไปติดลงบนแผ่นแม่เหล็กชนิดบางที่มีแถบกาวอยู่ด้านบน ติดเรียงให้เต็มแผ่นแม่เหล็ก จากนั้นก็ตัดออกมาทีละรูป เท่านี้ก็เรียบร้อย แพ็คใส่ถุงพลาสติกใสพร้อมขายได้ทุนการทำแม็กเน็ตแบบนี้ เฉพาะทุนในส่วนของวัสดุอยู่ที่ประมาณ 5 บาทต่อชิ้น
กรณีจะทำเป็น “ที่แขวนกุญแจ” ขั้นตอนการทำก็เหมือนกับการทำแม็กเน็ต คือต้องอัดรูปก่อน โดยให้ทำไซส์รูปขนาด 8x10 ซ.ม. แล้วก็ตัดไม้ MDF เท่ากับขนาดของไซส์รูป ทำการขัดไม้ให้เรียบ จากนั้นก็ใช้สีขาวทาขอบไม้ เพื่อความสวยงาม จากนั้นก็นำรูปที่อัดมาตัดตามขนาดแล้วนำมาติดลงบนไม้ที่เตรียมไว้ ยึดติดด้วยกาวให้แน่น ใส่ตะขอสำหรับใช้แขวนพวงกุญแจเข้าไป ด้านหลังติดด้วยเทปกาว 2 หน้า เป็นอันเสร็จ พร้อมห่อใส่ถุงเตรียมขายทุนวัสดุในการทำที่แขวนกุญแจ อยู่ที่ประมาณ 10 บาทต่อชิ้น
สำหรับราคาขายนั้น แม็กเน็ตจากภาพวาดของโอเล่จะขายอยู่ที่ราคา 20 บาทต่อชิ้น ส่วนราคาขายที่แขนพวงกุญแจอยู่ที่ 35 บาท ต่อชิ้น ซึ่งถ้าลูกค้าสั่งจำนวนมากก็จะได้ราคาที่ลดลงอีก
                                               
ใครสนใจชิ้นงาน “แม็กเน็ตและที่แขวนกุญแจจากภาพวาด” ของโอเล่ รวมถึงสนใจจะออเดอร์ไปจำหน่ายต่อ ไปดูกันได้ที่ เจเจ มอลล์ (JJ MALL) ชั้นใต้ดิน ซอย 8 ห้อง G276 หรือติดต่อทางโทรศัพท์ที่ โทร.08-1860-9293 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” จากการต่อยอดชิ้นงานแฮนด์เมด ที่สร้างรายได้ได้อย่างพิจารณา.
                                                 
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์
.......................................................................
คู่มือลงทุน...แม็กเน็ตภาพวาด
ทุนเบื้องต้น    ประมาณ 5,000 บาท
ทุนวัสดุ        ประมาณ     5 บาท / ชิ้น
รายได้        ราคาขาย 20 บาท / ชิ้น
แรงงาน        1 คน
ตลาด        กลุ่มของขวัญ, ของชำร่วย
จุดน่าสนใจ    ลงทุนต่ำ-ทำได้ไม่ยากเกิน

http://www.dailynews.co.th/article/384/167020

Friday, November 9, 2012

แนะนำอาชีพ “ตุ๊กตาร้อยลูกปัด”

ข้อดีของอาชีพทำงานประดิษฐ์คือความไม่ตายตัว เพราะเป็นอาชีพที่คนคิดงาน-คนจัดทำสามารถพลิกแพลงต่อยอดพัฒนาลูกเล่นได้หลาก หลาย ไม่ต้องยึดติดกับรูปแบบคงที่ บางชิ้นงานก็นำ 2 ชนิดงาน หรือ 3 ชนิดงาน มาผสานผสมกันได้อย่างลงตัว จนเกิดเป็นเอกลักษณ์ เป็นจุดเด่นของสินค้า อย่างเช่นงาน ’ลวดดัด+ลูกปัด“ เป็น ’ตุ๊กตา“...
                  
“อัศนี นุ้ยเครือ” เล่าว่า อาชีพหลักคือรับราชการ แต่ด้วยความที่สนใจงานฝีมือ-งานประดิษฐ์เป็นทุนเดิม จึงมักขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับลูกปัดและงานลวดดัดที่ทำอยู่นี้ เมื่อเริ่มชำนาญขึ้นจึงลองคิดประดิษฐ์ชิ้นงานของตนเองขึ้น โดยอาศัยเวลาว่างจากงานประจำในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ โดยปัจจุบันทำจำหน่ายผ่านเว็บไซต์ในชื่อ www.siricha.com นอกจากนี้ก็ยังนำไปฝากวางขายที่ตลาดนัดจตุจักร เพื่อหารายได้เสริม

แรงบันดาลใจในการคิดประดิษฐ์ชิ้นงานลวดดัดกับลูกปัดจนเกิดเป็นรูปแบบตัว สัตว์ที่หลากหลายนี้ เริ่มจากการที่เห็นว่างานลูกปัดส่วนใหญ่มักเป็นสินค้าประเภทเครื่องประดับ อาทิ สร้อย เข็มกลัด หรือกำไล จึงคิดว่าน่าจะลองทำรูปแบบอื่น ๆ จึงลองทำเป็นรูปสัตว์ขึ้นมา

อัศนีเล่าต่อไปว่า ชิ้นงานที่ทำขึ้น ลูกค้ามักจะเรียกว่า ’ตุ๊กตาสัตว์ร้อยลูกปัด“ แต่ถ้าหากเป็นชาวต่างชาติที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของสินค้าก็มักจะเรียกว่า เป็นชิ้นงานประเภท ’แอนิมอลบีด“ ปัจจุบันชิ้นงานมีหลายแบบ อาทิ แมงมุม, กบ, ปลาทอง, เต่า, นก โดยรูปแบบที่ลูกค้านิยมและชื่นชอบเป็นพิเศษ คือ ตุ๊กตากิ้งก่าลูกปัด โดยเน้นรูปแบบที่คล้ายจริง เน้นสีสัน และลวดลาย ที่เกิดขึ้นจากการร้อยลูกปัดในรูปแบบต่าง ๆ 

“จุดเด่นที่ลูกค้าชื่นชอบคือ รายละเอียดและความประณีตของชิ้นงาน โดยลวดลายที่เกิดขึ้น เกิดจากการจัดวางรูปแบบการร้อยลูกปัดให้เกิดเป็นลวดลายหลากหลาย สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เพราะลูกค้ากลุ่มนี้จะสนใจและให้คุณค่ากับงานฝีมือประเภทนี้มากกว่าลูกค้าใน ประเทศ” อัศนีกล่าว

ทุนเบื้องต้นสำหรับการทำงานลักษณะนี้ ใช้ประมาณ 4,500 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าวัตถุดิบและวัสดุ โดยทุนวัตถุดิบ-วัสดุอยู่ที่ประมาณ 30% จากราคาขาย ที่เริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 100 บาท ไปจนถึง 1,000 บาท ขึ้นกับขนาดและความยากง่ายของการทำชิ้นงาน ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้หลัก ๆ ก็มี คีมตัดลวด, ลวดสำหรับดัดขึ้นโครง, ลวดเส้นบางสำหรับร้อยลูกปัด, ลูกปัดสี โดยแหล่งซื้อวัสดุคือตลาดสำเพ็ง ซึ่งมีอุปกรณ์งานลวดดัดและงานลูกปัดจำหน่ายหลากหลาย

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการออกแบบรูปสัตว์ที่จะทำ เมื่อได้รูปสัตว์ที่จะทำแล้วจึงทำการขึ้นโครงร่างด้วยการใช้ลวดดัดขึ้นโครง ร่างเป็นรูปสัตว์ที่ออกแบบไว้ก่อน หากยังไม่ชำนาญแนะนำว่าควรใช้วิธีการวาดลงบนกระดาษเพื่อกำหนดจุดที่จะทำก่อน ที่จะขึ้นชิ้นงาน เพราะหากขึ้นชิ้นงานแล้ว การจะกลับไปแก้ไขรายละเอียดใหม่จะค่อนข้างทำได้ยาก

เมื่อได้โครงลวดที่ดัดเป็นรูปตัวสัตว์แล้ว ก็ทำการเริ่มต้นร้อยลูกปัด โดยนำลูกปัดสีที่เลือกไว้มาร้อยด้วยลวดเส้นบาง การร้อยให้เริ่มจากตรงส่วนหัวก่อน โดยร้อยต่อไปเรื่อย ๆ จนครบหมดทั้งตัว สำหรับลวดลายนั้นขึ้นอยู่กับว่าต้องการลายแบบไหน โดยใช้สีสันจากลูกปัดเป็นตัวเสริมให้ลวดลายดูโดดเด่นขึ้น จากนั้นทำการตกแต่งตามต้องการ เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ ทั้งนี้ กรณีจะทำเป็นงานตุ๊กตาลูกปัดแบบลอยตัว จะใช้เวลาทำนานกว่า โดยต้องทำการร้อยลูกปัดทั้งตัว

“วิธีการทำมีไม่มาก แต่ค่อนข้างจะต้องใช้เวลาและความอดทนในการทำ ถ้าใครอยากทำงานแบบนี้ ต้องเริ่มการมีความคิดสร้างสรรค์ รู้จักนำจินตนาการของตัวเองมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้เกิดเป็นชิ้นงานที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง สิ่งสำคัญคือต้องรู้สึกภูมิใจในผลงานของตัวเองด้วย เพราะอาชีพนี้เป็นงานที่ไม่สามารถผลิตได้ทีละมาก ๆ ถ้ารับตรงนี้ได้ ก็ถือว่าพร้อม” เป็นคำแนะนำทิ้งท้ายจากผู้ผลิตชิ้นงานจากลวดดัดผสมงานลูกปัดรายนี้
ใครสนใจ ’ตุ๊กตาสัตว์ร้อยลูกปัด“ คลิกเข้าไปดูรูปแบบชิ้นงานได้ตามที่อยู่เว็บไซต์ที่ระบุไว้ในตอนต้น หรือไปเดินดูได้ที่ตลาดนัดจตุจักร โครงการ 25 ซอย 2/2 หรือถ้าต้องการติดต่ออัศนี ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2410-2188, 08-6093-1130 ซึ่งนี่ก็เป็นอีก ’ช่องทางทำกิน“ ที่เกิดจากการผสานงาน 2 ชนิดเข้าไว้ด้วยกัน จนเกิดเป็นสินค้าที่สะดุดตาลูกค้า.

http://www.dailynews.co.th/article/384/165735

Sunday, November 4, 2012

แนะนำอาชีพ “กระเช้าดอกไม้หอม”

“กระเช้าดอกไม้หอม” อีกงานประดิษฐ์ที่เป็นของชำร่วย ของฝาก ของที่ระลึกในโอกาสต่าง ๆ หากฝึกฝนดี ๆ ก็สามารถทำเป็นอาชีพสร้างรายได้ ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอให้ได้พิจารณากัน...
        
อรุณี บุนนาค เจ้าของงาน “กระเช้าดอกไม้หอม” เล่าว่า มีอาชีพรับทำและรับสอนการทำกระเช้าดอกไม้หอมนี้มาประมาณ 1 ปี ก่อนหน้าที่จะมายึดอาชีพนี้เธอทำเครื่องเงินกับสามีมาก่อน ต่อมาเศรษฐกิจไม่ดีจึงเลิก และขยับขยายตัวเองมาทำอย่างอื่น ช่วงที่ว่างก็ไปเรียนฝึกอาชีพกับหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เปิดสอน อาทิ พับเหรียญบุญ ดอกไม้ผ้าใยบัว ฯลฯ ส่วนกระเช้าดอกไม้หอมนี้เธอไปเรียนมาจากผู้สูงอายุอีกทีหนึ่ง แล้วมาประยุกต์เป็นแบบฉบับของตัวเอง

วัสดุที่ใช้ทำกระเช้าดอกไม้หอม หลัก ๆ ก็มี สบู่หอม (ขนาดยาว 7 ซม. กว้าง 4 ซม.) เลือกแบบที่มีแอ่งตรงกลาง, ริบบิ้นผ้า 1 ม้วน, หมุดเล็ก 46 ตัว, หมุดเย็บผ้า 24 ตัว, กระดาษย่นเขียว ขนาด 7x7 ซม., กระดาษย่นพันก้าน, โฟมขนาด 3x4.5x1 ซม., กระดาษแข็งขนาด 3x4.5 ซม. (ตัดเป็นรูปวงรี), ลวดทำดอกไม้ เบอร์ 20 จำนวน 2 เส้น, กาว, ดอกไม้ประดิษฐ์ ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้นั้น  ก็มีกรรไกรอย่างเดียว

เจ้าของงาน “กระเช้าดอกไม้หอม” รายนี้อธิบายว่า “สบู่” จะเปรียบเสมือน “ตัวกระเช้า” ทั้งหมด แต่วิธีการที่จะอธิบายต่อไป คือการตกแต่งกระเช้าให้ดูสวยงามเริ่มที่ การตั้งฐานเข็มหมุดเพื่อโยงริบบิ้นห่อสบู่  วิธีทำคือ นำกระดาษแข็งที่ตัดเป็นรูปวงรีไปวางไว้ที่บริเวณแอ่งของก้อนสบู่ ปักหมุดเล็กลงบนกระดาษแข็ง หัว-ท้าย ด้านแนวนอน ฝั่งละ 1 ตัว และปักหมุดเย็บผ้าไว้ตรงกลางอีก 2 ตัว เสร็จแล้วปักหมุดเล็ก 20 ตัว ลงบนเนื้อสบู่ให้รอบกระดาษ (ปักให้ลึกประมาณ  1 ซม.)  โดยแบ่งช่องไฟช่องละ 0.5 ซม.  เสร็จแล้วดึงกระดาษแข็ง หมุดเล็ก และหมุดเย็บผ้าออกมา       
ทำแบบเดียวกันนี้บนสบู่อีกด้านหนึ่งเสร็จแล้วให้พับริบบิ้นผ้า เพื่อห่อสบู่ ด้วยการเอาหมุดเล็กปักปลายริบบิ้นผ้า แล้วไปจิ้มที่บริเวณกลางแอ่งสบู่ (จะเรียกว่าเป็นด้านบน) ดึงริบบิ้นผ้าลงมาพันรอบหมุดเล็กที่อยู่ด้านล่าง เสร็จแล้วดึงริบบิ้นผ้าขึ้นไปพันหมุดเล็กที่อยู่ด้านบน พันอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบรอบสบู่      
ขั้นตอนถัดไปคือ การตกแต่งสบู่ เริ่มต้นด้วยการปักหมุดเย็บผ้า 24 ตัว ด้านข้างสบู่ให้รอบ กะช่องไฟให้ดูสวยงาม เสร็จแล้วให้ พันริบบิ้นผ้ารอบหมุดเย็บผ้า วิธีทำ ให้เอาหมุดเย็บผ้าปักปลายริบบิ้นผ้า แล้วไปปักแทรกตรงกลางของช่องว่างหมุดเย็บผ้า (ตรงไหนก็ได้) เสร็จแล้วพันริบบิ้นผ้ารอบหมุดเย็บผ้าตัวที่ปักลงไปก่อน แล้วพันรอบหมุดเย็บผ้าตัวถัดไป ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบรอบ พันโดยทำแบบเดียวกันนี้อีก 2 รอบ จะได้ลายกระเช้า 3 ชั้นจากนั้นก็ทำแบบนี้อีก แต่ให้ไปพันรอบหมุดเล็กที่ปักไว้ทั้งด้านบนและด้านล่างของสบู่
โดยพันด้านละ 3 รอบเช่นกัน

ขั้นตอนต่อไปคือ การทำหูกระเช้าดอกไม้ เตรียมลวดดอกไม้ 2 เส้น เริ่มด้วยพันกระดาษย่นบนลวดเส้นแรกก่อน โดยพันกระดาษย่นขึ้นไป 3 นิ้ว  แล้วนำลวดอีกเส้นมาประกบ  แล้วพันกระดาษย่นต่อให้ลวดทั้ง 2 เส้นติดกัน พันไปเรื่อย ๆ จนลวดเส้นที่ 2 เหลือที่ว่าง 3 นิ้ว เสร็จแล้วแยกลวดออกไป แล้วพันกระดาษย่นบนลวดเส้นที่ 1 ต่อไปจนสุด นำหูกระเช้าไปเกี่ยวติดกับก้อนสบู่  โดยให้ขาของหูกระเช้าทั้ง 2 ขา  เกี่ยวกับหมุดเย็บผ้าด้านซ้ายและด้านขวาของสบู่ พับเก็บด้วยการหมุนให้ขาลวดทั้ง 2 ขาคล้องกัน ทำแบบนี้ทั้ง 2 ด้าน

ตัดโฟมที่เตรียมไว้ให้เป็นรูปวงรี เสร็จแล้วใช้กระดาษย่นขนาด 7x7 ซม. ห่อโฟมให้เรียบร้อย ทากาวแล้วนำไปแปะบนแอ่งสบู่ เสร็จแล้วตกแต่งด้วยดอกไม้ประดิษฐ์ให้เรียบร้อยสวยงาม เป็นอันเสร็จขั้นตอน

กระเช้าดอกไม้หอมนี้ ขายได้ในราคากระเช้าละ 60 บาทขึ้นไป โดยมีต้นทุนวัสดุกระเช้าละประมาณ 30 บาทขึ้นไป
ใครสนใจ “กระเช้าดอกไม้หอม” ต้องการติดต่อกับ อรุณี บุนนาค ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-4693-1065 ซึ่ง “ช่องทางทำกิน” ลักษณะนี้ หากฝีมือดี ไอเดียดี น่าจะยังสามารถต่อยอดทำเงินได้อีกนาน.

http://www.dailynews.co.th/article/384/164555

Friday, November 2, 2012

แนะนำอาชีพ ‘เก้าอี้แฮนด์เมด’

งานแฮนด์เมด และออกแนววินเทจ ที่ให้กลิ่นอายของเก่า เป็นสินค้าที่ยังอยู่ในกระแสนิยม อย่าง ’เก้าอี้แฮนด์เมด“ ที่เป็นงานที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยมือทุกขั้นตอน เป็นเก้าอี้ที่มีเบาะนั่งเป็นฟองน้ำ หุ้มด้วยผ้าลายดอกไม้ ออกแนววินเทจ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งชิ้นงานที่ทำรายได้ให้กับเจ้าของผลงานได้อย่างดี ซึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ ก็มีข้อมูลมาให้ลองพิจารณา...
              
จันทร์-วรรณจันทร์ พิพัฒน์ศิริศักดิ์ เจ้าของผลงาน “เก้าอี้แฮนด์เมด” เล่าว่า เริ่มต้นอาชีพการงานด้วยการเป็นพนักงานประจำด้านกราฟิกดีไซน์ ออกแบบสิ่งพิมพ์ แต่หลังจากที่ทำงานประจำอยู่ได้พักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเบื่อ ๆ จึงตัดสินใจที่จะออกจากงานประจำ แต่ก็ยังรับงานออกแบบสิ่งพิมพ์อยู่ โดยรับเป็นงาน ๆ ไป ทำเป็นฟรีแลนซ์ และเริ่มมองหาอาชีพอื่นทำเสริมควบคู่ไปด้วย แต่ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร
  
พอดีมีอยู่วันหนึ่งมีคนมาชวนไปขายของที่หัวหิน ซึ่งช่วงนั้นตลาดที่นั่นเขาให้ไปขายฟรีไม่เสียค่าเช่าที่ ก็เลยลองไปขายดู แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะขายอะไร เพราะยังไม่มีสินค้าเป็นของตัวเอง ในที่สุดครั้งนั้นก็เอาต้นโฮย่าไปขาย ก็พอขายได้ จากนั้นก็เริ่มขายของเรื่อยมา ขายแบบซื้อมาขายไป ยังไม่มีสินค้าที่เป็นของตัวเองที่โดดเด่นจริง ๆ ซึ่งก็พยายามสร้างสรรค์สินค้าของตัวเองขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นกรอบรูป ตุ้มหู ที่เป็นงานแฮนด์เมด แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเท่าที่ควร
  
จนในที่สุดได้เห็นแม่นำเก้าอี้ที่บ้านที่เบาะขาดมาซ่อม นำเอาผ้ามาหุ้มเบาะเก้าอี้ตัวนั้น จึงเกิดความคิดและไอเดียที่จะทำเก้าอี้ที่เบาะหุ้มด้วยผ้าที่มีลวดลายออกแนว วินเทจ คิดว่าน่าจะลองทำจำหน่ายดู หลังจากที่เกิดความคิดแล้วก็ลงมือทำทันที โดยช่วยกันกับแฟน คิดออกแบบและผลิตออกมาจำหน่าย ลองผิดลองถูกอยู่ไม่นาน ประมาณ 1-2 วัน ก็สามารถทำเก้าอี้อย่างที่ตัวเองต้องการออกมาได้สำเร็จ
  
เมื่อทำได้สำเร็จก็ทดลองผลิตเก้าอี้ออกมาสู่ท้องตลาดครั้งแรก 5 ตัวก่อน เป็นการทดสอบตลาด ซึ่งหลังจากที่นำออกไปวางขาย ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็ขายหมด แถมยังมีคนมาถามหาซื้ออีก จึงทำให้เป็นการจุดประกายที่จะทำ “เก้าอี้แฮนด์เมด” แบบนี้ออกมาขายอีก และก็พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ สวยงาม และคงทนมากขึ้น อีกทั้งมีการออกแบบให้มีความหลากหลายมากขึ้นด้วย ซึ่งเก้าอี้แฮนด์เมดนี้ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
  
ตอนนี้เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ก็ได้แตกไลน์สินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้นอีก มีทั้งหมอนอิง เบาะรองนั่ง กระเป๋าใส่เหรียญ รองเท้าเด็ก ฯลฯ ไว้ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อมากขึ้น...
  
“สินค้าทุกชิ้น เราคิด ออกแบบ และทำกันเองกับมือทั้งหมด เพราะฉะนั้นชิ้นงานที่ทำออกมาแต่ละสัปดาห์จะได้ไม่เยอะ เพราะทำมือทุกขั้นตอน เราทำเองเราสามารถควบคุมคุณภาพสินค้าของเราได้ดี” จันทร์กล่าว
  
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำ “เก้าอี้แฮนด์เมด” หลัก ๆ มีดังนี้คือ... ไม้สน, ฟองน้ำอัด, ผ้าคอตตอน, เลื่อยจิ๊กซอว์ (เลื่อยฉลุไฟฟ้า), ตัวยิงแม็ก, กาวลาเท็กซ์, ไม้อัด และเครื่องมือช่างต่าง ๆ อีกบางส่วน
  
ผ้าคอตตอนที่ใช้เป็นผ้าคอตตอน 100% อย่างดี ซึ่งนอกจากเนื้อผ้าจะดีแล้วก็ยังมีลวดลายที่สวย ๆ ให้เลือกใช้เยอะ ซึ่งจะเน้นใช้ลายผ้าที่เป็นลายดอกไม้ต่าง ๆ ส่วนเบาะก็จะเลือกใช้เบาะเกรดเอ เป็นฟองน้ำอัด (เป็นเบาะที่ใช้ทำที่นอนอย่างดี มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน)
  
ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากการออกแบบทรงขาเก้าอี้ที่ต้องการก่อน เมื่อได้ทรงขาเก้าอี้ตามที่ต้องการ เมื่อได้แบบแล้ว ก็ตัดเป็นแพทเทิร์นออกมา นำแพทเทิร์นวาดบนกระดาษแข็ง วาดแล้วตัดกระดาษแข็งตามแบบ จากนั้นนำกระดาษแข็งที่ตัดแล้วไปวางทาบลงบนไม้สน วาดตามแบบลงบนไม้แล้วใช้เลื่อยฉลุไฟฟ้าตัดตามแบบ โดยขาเก้าอี้ 1 ขา จะต้องตัดแบบ 2 ชิ้น ดังนั้น ขาเก้าอี้ 4 ขา ก็ต้องตัดแบบ 8 ชิ้น
  
หลังจากที่ได้ขาเก้าอี้ที่ตัดออกมาแล้ว ให้นำแบบไม้ 2 ชิ้นมาประกบทำมุมฉากกัน ใช้กาวลาเท็กซ์ติดยึดก่อน พอกาวแห้งก็ใช้ตะปูเข็มตอกยึดอีกทีเพื่อให้แน่นหนา ทำแบบเดียวกับอีก 3 ขา เท่านี้ก็จะได้ขาเก้าอี้มาเตรียมไว้
  
จากนั้นก็นำไม้สน 4 ท่อน มายึดติดกับขาเก้าอี้ทั้ง 4 ขาที่ทำเตรียมไว้ ยึดด้วยตะปูให้แน่น ใช้กระดาษทรายขัดให้เรียบ แล้วทาแล็กเกอร์ รอให้แห้งสนิท ก็จะได้เป็นตัวเก้าอี้ไม้เตรียมรอไว้
  
ขั้นตอนต่อไปเป็นการทำเบาะนั่ง ตัดไม้อัดให้พอดีกับขนาดของเก้าอี้ที่เตรียมไว้ โดยใช้ไม้อัดหนาประมาณ 10 มิลลิเมตร จากนั้นนำฟองน้ำอัด หนาประมาณ 1 นิ้ว ตัดให้พอดีกับไม้อัด มาวางลงบนแผ่นไม้อัด เลือกลายผ้าที่ต้องการมาหุ้มลงบนฟองน้ำกับไม้อัด ดึงผ้าให้ตึง ใช้ตัวยิงแม็กยิงยึดให้แน่น (ผ้าที่ขึงจะต้องตึง มิฉะนั้นเบาะจะไม่สวย)

เมื่อได้เบาะนั่งแล้ว ก็นำเบาะนั่งนี้ไปประกอบติดกับตัวเก้าอี้ที่ทำเตรียมไว้ โดยนำเบาะไปวางด้านบนตัวเก้าอี้ จากนั้นใช้นอตยึดติดให้แน่น เท่านี้ก็จะได้ “เก้าอี้แฮนด์เมด” แนววินเทจ พร้อมจำหน่าย เก้าอี้แฮนด์เมดผลงานของจันทร์ มีขนาดสูง 30 เซนติเมตร เบาะนั่งกว้างขนาด 25x25 เซนติเมตร ตั้งราคาขายอยู่ที่ตัวละ 380 บาท ถ้าลูกค้าสั่งทำในขนาดที่ใหญ่ขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้นตามขนาดของเก้าอี้ที่ทำออกมา

ใครสนใจ ’เก้าอี้แฮนด์เมด“ ที่ว่ามานี้ มีร้านขายอยู่ที่ตลาดซิเคด้า หัวหิน ขายทุกวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 17.00-23.00 น. และที่ตลาดนัดรถไฟ โกดัง 3 ล็อก L4 วันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 17.00-24.00 น. หรือเข้าไปดูได้ใน www.facebook.com/ทำกะมือ-tamgamue ส่วนเบอร์โทรศัพท์ติดต่อเจ้าของ ’ช่องทางทำกิน“  รายนี้คือ โทร. 08-1906-6676, 08-0051-0588.     

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์

.........................................

คู่มือลงทุน...เก้าอี้แฮนด์เมด

ทุนเบื้องต้น     ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัสดุ    ประมาณ 60% ของราคา
รายได้    ราคาขายตัวละ 380 บาท
แรงงาน    1 คนขึ้นไป
ตลาด    ตลาดนัด, แหล่งท่องเที่ยว
จุดน่าสนใจ    จุดขายคือแฮนด์เมดแนววินเทจ    

http://www.dailynews.co.th/article/384/164325

Saturday, October 27, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ชิฟฟ่อนทูโทน’

ทำเบเกอรี่ขาย เป็นอีกหนึ่งอาชีพในฝันของใครหลายคน บางคนอยากเปิดร้านเล็ก ๆ บางคนอยากทำอยู่บ้านส่งตามออร์เดอร์ และบางคนทำแล้วก็ขายตามตลาดนัดใกล้บ้านโดยเลือกชนิดเบเกอรี่ที่เหมาะสม อย่าง “ชิฟฟ่อนเค้ก” หอมนุ่มละมุนลิ้น อร่อยราคาไม่แพง ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งชนิดเบเกอรี่ยอดนิยม...
 
ศิริกาญจน์ ภรณ์พิริยะนิยม หรือ เจ๊ปลา ทำและขาย “ชิฟฟ่อนน้ำอ้อยทูโทนสูตรสมุนไพร” เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า ชอบทำอะไรที่ไม่เหมือนของคนอื่น ชิฟฟ่อนเค้กก็เช่นกัน ได้นำน้ำอ้อยเมืองสุพรรณฯ มาผสมผสานกับสมุนไพร อย่างใบเตย อัญชัน และยังสอดไส้ด้วยครีมเนยสดมะพร้าวอ่อน ครีมเนยสดฝอยทอง ครีมเนยสดงาดำ และไส้แยมรสต่าง ๆ ขนมจะมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ชิฟฟ่อนน้ำอ้อยทูโทนสูตรสมุนไพรนี้ได้ทำออกขายครั้งแรกที่ตลาดนัด ที่ อ.เดิมบางนางบวช ได้รับการตอบรับดีมาก เพราะยังไม่ค่อยมีคนทำขาย ขั้นตอนการทำไม่เหมือนกับเบเกอรี่อื่น ๆ ที่อบเสร็จแล้วก็จัดใส่กล่องขายได้เลย แต่ชิฟฟ่อนเค้กยังต้องประกบคู่ วัดแนวตัดชิ้นให้ได้ขนาดพอดี ก่อนนำไปห่อด้วยกระดาษไขให้สวยงาม
  
เจ๊ปลาบอกอีกว่า ชิฟฟ่อนที่ทำนั้นเป็นขนมสด ไม่ใส่วัตถุกันเสีย จึงมีอายุแค่ 2 วัน แต่ถ้าอยู่ในตู้เย็นสามารถเก็บไว้ได้ถึง 5 วัน เมื่อจะรับประทานก็ให้นำขนมออกมาวางทิ้งไว้ให้ความเย็นคลายตัวประมาณ 5 นาที เนื้อขนมจะยังนุ่มฟู รสชาติยังอร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ชิฟฟ่อนน้ำอ้อยทูโทน มีจุดเด่นคือ ในหนึ่งชิ้นจะมี 2 รสชาติ เช่น ใบเตย-นม, ใบเตย-กาแฟสด, ส้ม-ใบเตย, อัญชัน-นม, ชาไทย-ช็อกโกแลต และมีอีกหลาย ๆ รสชาติให้ลูกค้าเลือกรับประทาน
  
อุปกรณ์ในการทำขนมชนิดนี้ หลัก ๆ ก็จะต้องมี...เครื่องตีไข่ไฟฟ้า (หัวตีตะกร้อ), เตาอบ หรือเครื่องอบที่มีทั้งไฟบน-ไฟล่าง, อ่างผสม, ตาชั่ง, ถ้วยตวง, ช้อนตวง, มีดปาดครีม, พายยาง, ถาดสำหรับอบ, ตะแกรงร่อนแป้ง, ตะแกรงพักขนม, มีดสำหรับตัดขนม, แปรงทาเนย และกระดาษไข นอกนั้นก็เป็นเครื่องมือเครื่องไม้ที่สามารถหาได้จากในครัว
   
ส่วนผสมที่ใช้ในการทำขนม ตามสูตรก็มี...แป้งเค้ก 400 กรัม, ไข่ไก่ 10 ฟอง, น้ำสะอาด 300 กรัม, น้ำมันพืช 100 กรัม, ผงฟู 1 ช้อนชา, น้ำตาลทราย 150 กรัม, เกลือป่น 1/2 ช้อนชา, นมข้นจืด, น้ำอ้อยสด และน้ำใบเตย น้ำอัญชัน ผงกาแฟสดสำเร็จรูป ผงชาไทยสำเร็จรูป ผงช็อกโกแลต
  
ขั้นตอนการทำ “ชิฟฟ่อนน้ำอ้อยทูโทน” เริ่มจากการทำ ส่วนผสมที่หนึ่ง ร่อนส่วนผสมแป้ง ผงฟู และเกลือ 3 ครั้ง แล้วตวงตามสัดส่วน พักตั้งไว้ จากนั้นเตรียม ส่วนผสมของรสชาติ ที่ต้องการ ทำน้ำใบเตยเข้มข้น น้ำอัญชันเข้มข้น ส่วนผงกาแฟสดสำเร็จรูป ผงชาไทยสำเร็จรูป ผงช็อกโกแลต นำมาละลายกับนม ถัดมาก็นำไข่ไก่มาแยกไข่แดง-ไข่ขาวออกจากกัน แล้วนำน้ำมันพืช น้ำอ้อย น้ำตาลทราย ส่วนผสมรสชาติที่ต้องการ ใส่ภาชนะที่มีไข่แดงรออยู่แล้ว ใช้ที่ตีไข่ตีส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วเทส่วนผสมแป้งใส่ตามลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน พอแป้งเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ตั้งพักไว้สักครู่
  
ต่อไปเป็น ส่วนผสมที่สอง นำไข่ขาว และครีมออฟทาร์ทาร์ ใส่ลงในอ่างผสม ใช้เครื่องตีส่วนผสมด้วยความเร็วสูง ค่อย ๆ เติมน้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด ตีต่อจนไข่ขาวเป็นฟองตั้งยอด ก็เป็นอันใช้ได้ จากนั้นก็นำส่วนผสมที่หนึ่ง ใส่ลงผสมกับส่วนผสมที่สอง ใช้มือตะล่อมเบา ๆ หรือใช้ไม้พายคนเบา ๆ ให้ส่วนผสมทั้งสองส่วนเข้ากัน
  
เตรียมถาดพิมพ์ แล้วเทส่วนผสมที่ได้ลงบนถาดที่รองด้วยกระดาษไข เกลี่ยหน้าขนมให้เสมอกัน เคาะก้นพิมพ์เบา ๆ ก่อนนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180
องศาเซลเซียส หรือ 350 องศาฟาเรนไฮต์ ใช้เวลาประมาณ 20-25 นาที จนขนมเหลืองจึงนำออกมาจากเตา แล้วคว่ำลงบนตะแกรง พักไว้ให้เย็นสนิท
  
ระหว่างรอก็ทำ บัตเตอร์ครีมมะพร้าวอ่อน ซึ่งส่วนผสมก็มี เนยสดชนิดเค็ม, เนยขาว, นมข้นจืด, น้ำตาลทราย และมะพร้าวอ่อน การทำเริ่มจากนำมะพร้าวอ่อนมาขูดด้วยเล็บแมวแล้วนำไปแช่ตู้เย็น จากนั้นนำนมข้นจืด น้ำตาลทราย น้ำนิดหน่อย ผสมแล้วคนพอเข้ากัน ตั้งไฟอ่อน ๆ พอน้ำตาลละลายยกลงตั้งไว้ให้เย็น จึงนำเข้าตู้เย็นแช่ให้เย็นจัด
  
ตีเนยสดและเนยขาวจนขึ้นฟู แล้วนำส่วนผสมของนมมาตีให้เข้ากันจนเป็นสีขาวครีม นำมะพร้าวอ่อนขูดที่เตรียมไว้ใส่ผสมลงไป จากนั้นนำตัวเค้กที่เย็นแล้วมาวางบนที่เรียบ ๆ ใช้มีดตัดขนมเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน นำเค้กหนึ่งชิ้นมาปาดด้วยบัตเตอร์ครีมมะพร้าวอ่อนให้ทั่ว ให้หนาพอประมาณ แล้วนำเค้กอีกชิ้นประกบทับ ใช้มีดตัดเค้กให้เป็นรูปสามเหลี่ยม ห่อด้วยกระดาษหรือพลาสติก ก็พร้อมขายในราคาชิ้นละ 12 บาท มีต้นทุนในส่วนของวัตถุดิบประมาณ 60%
 
ใครสนใจ “ชิฟฟ่อนน้ำอ้อยทูโทนสูตรสมุนไพร” ต้องการสอบถามกับเจ๊ปลา ติดต่อได้ที่ โทร. 08-1570-3870 ทั้งนี้ กรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ ที่ผ่านมาดูเหมือนจะเคยได้ลงคอลัมน์นี้ไปบ้างแล้ว กับช่องทางทำกินจากของกินชนิดอื่น ๆ นี่ก็นำเสนอให้อีกครั้ง…แต่ก็พอแล้วนะ!! กรณีศึกษาช่องทางทำกินรายอื่น ๆ ที่น่าสนใจนั้นมีอีกมากมาย...

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง / วรพรรณ เลอสิทธิศักดิ์ : ภาพ

..........................................

คู่มือลงทุน...ชิฟฟ่อนน้ำอ้อยทูโทน

ทุนเบื้องต้น    ประมาณ 30,000-40,000 บาท
ทุนวัตถุดิบ    ประมาณ 60% ของราคาขาย
รายได้    ราคาขายชิ้นละ 12  บาท
แรงงาน    1 คนขึ้นไป
ตลาด    ร้านขนม, ตลาดนัดทั่วไป
จุดน่าสนใจ    เป็นอีกหนึ่งขนมซื้อง่ายขายคล่อง

http://www.dailynews.co.th/article/384/163290

Friday, October 26, 2012

แนะนำอาชีพ ''งานผ้า-งานปัก''

งานผ้า-งานปัก ยังเป็นชนิดชิ้นงานที่ได้รับความสนใจทั้งจากกลุ่มผู้ผลิตและกลุ่มผู้ซื้อต่อ เนื่องมาตลอด ส่วนหนึ่งมาจากรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งจากลวดลายของผ้า รวมไปถึงรูปแบบของลักษณะชิ้นงานที่ทำขึ้น เราจึงพบว่าแม้ตลาดจะมีผู้ผลิตชิ้นงานอยู่มากมาย แต่ก็ยังเกิดรูปแบบ และลวดลายต่าง ๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างเช่นงานมีสไตล์เฉพาะของ “วิลาสินี พูลพิพัฒน์” กับ ’งานผ้าปัก“  สารพัดชนิด ที่ทีม ’ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...
วิลาสินี เล่าว่า ยึดอาชีพผลิตชิ้นงานจากผ้าปักเป็นอาชีพเสริมจากอาชีพหลักคือการเป็นนักออก แบบสิ่งพิมพ์ มาได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว โดยงานผ้า-งานปักนี้เกิดจากความชอบส่วนตัว ได้รับแรงบันดาลใจจากคนใกล้ชิดอย่างคุณแม่และคุณยายที่นำผ้าเก่าที่เก็บไว้ นานหลายปีมามอบให้ ซึ่งพอได้เห็นก็เกิดไอเดียว่าลวดลายบนผ้ามีความสวยงามน่าจะสามารถนำมาสร้าง สรรค์ให้เกิดเป็นชิ้นงาน โดยใส่สไตล์เฉพาะที่ตนคิดขึ้นจากทักษะด้านการออกแบบที่มีอยู่ จึงทดลองและฝึกทำ โดยช่วงแรกนำไปมอบเป็นของขวัญให้กับคนรู้จัก ทำให้มีคนสั่งทำต่อเนื่องติดต่อกันมาเรื่อย จึงคิดว่าน่าจะสามารถนำมาทำเป็นอาชีพเสริมได้ จึงเริ่มผลิตเพื่อวางจำหน่ายโดยอาศัยการขายผ่านระบบออนไลน์ คือที่เว็บไซต์ www.reveryshop.com กับทางเฟซบุ๊ก www.facebook.com/pages/Reveryshop-online

ข้อดีของการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางนี้ วิลาสินี บอกว่า คือประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการลงทุนเปิดร้าน เนื่องจากตนเคยเปิดร้านผลิตงานผ้าพิมพ์มาก่อน จึงรู้ ซึ่งการเปิดร้านที่ตั้งอยู่กับที่นั้นหากเงินทุนหมุนเวียนไม่มากพอ หรือมีทุนสำรองไม่มากพอ ก็อาจจะประสบปัญหาได้ ขณะที่การจำหน่ายสินค้าผ่านทางระบบออนไลน์และอินเทอร์เน็ตนั้น หากเข้าใจและใช้งานได้เหมาะสม ก็ถือว่าเป็นช่องทางหนึ่งที่เหมาะมากกับสินค้าประเภทงานประดิษฐ์และงานฝีมือ โดยเฉพาะสินค้าแฮนด์เมด แต่ข้อจำกัดของระบบการขายผ่านทางช่องทางนี้ ในเรื่องความน่าเชื่อถือ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องศึกษา และต้องสร้างความเชื่อมั่นไว้ใจให้ลูกค้า อีกทั้งควรจะต้องหมั่นเข้าอัพเดทหรือติดตามความเคลื่อนไหวให้สม่ำเสมอ

วิลาสินี กล่าวต่อไปว่า สำหรับชิ้นงานที่ทำอยู่ ปัจจุบันก็มี ปลอกหมอน, กระเป๋าถือ, กระเป๋าสะพาย, กระเป๋าเก็บสมุดธนาคาร, กระเป๋าเครื่องสำอาง, ชุดคลุมสตรี, เสื้อยืด เป็นต้น ส่วนลายผ้าที่ลูกค้านิยม มีอยู่สามลาย ได้แก่ ลายธรรมชาติ, ลายวินเทจ, ลายดอกไม้ โดยจุดเด่นของชิ้นงานจะเน้นที่สีสันสดใสและรอยปักที่เป็นงานทำมือ

“ลูกค้าจะชอบงานปักด้วยมือ และสินค้าทุกชิ้นจะมีส่วนที่ใช้มือทำ ไม่ว่าจะการเย็บปลอกหมอน การขึ้นรูปกระเป๋า รูปแบบก็จะพลิกแพลงต่อยอดออกไปเรื่อย ๆ ตามลักษณะสินค้า และลวดลายของเนื้อผ้า” เจ้าของชิ้นงานกล่าว

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ใช้ประมาณ 5,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าวัสดุ และอุปกรณ์หลัก ๆ ในการผลิต ซึ่งถ้าหากต้องการทำเป็นงานเสริมหรือผลิตเพียงไม่กี่ชิ้นก็สามารถจะตัดทุนใน ส่วนของจักรเย็บผ้าออกไปได้ ใช้การเย็บมือทั้งหมด ส่วนทุนวัสดุอยู่ที่ประมาณ 50% จากราคาขาย ที่เริ่มตั้งแต่ชิ้นละ 190 บาท ถึง 2,000 บาท ขึ้นกับชนิดสินค้า และขนาด

วัสดุ-อุปกรณ์ หลัก ๆ ประกอบด้วย ผ้าชิ้นลวดลายต่าง ๆ, ผ้าแคนวาส (สำหรับทำตัวกระเป๋า, ปลอกหมอน), เข็มกับด้าย, กรรไกร, ไหมปัก, ชิ้นใยสังเคราะห์อัดแผ่น, วัสดุตกแต่งประกอบชิ้นงาน อาทิ ซิป, กระดุม, ริบบิ้น เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากออกแบบลวดลายและรูปทรงชิ้นงานลงบนกระดาษสเกตช์ จากนั้นทำการลอกลายลงบนกระดาษลอกลายหรือกระดาษสำหรับขึ้นแพตเทิร์น เมื่อได้แล้วก็ทำการตัดออกเป็นชิ้น ๆ จากนั้นนำมาทาบกับผ้าแคนวาสเพื่อตัดแบ่งออกเป็นส่วนประกอบชิ้นงาน เช่น กระเป๋า นำผ้าลายต่าง ๆ มาตัดขึ้นรูปเป็นชิ้นตามที่ได้ออกแบบไว้

จากนั้นนำผ้าลายต่าง ๆ ที่ตัดไว้มาทำการเย็บประกอบติดกับส่วนประกอบของกระเป๋าด้วยด้ายหรือไหมปัก ทำการเย็บประกอบส่วนต่าง ๆ เพื่อขึ้นรูปกระเป๋า จากนั้นก็ทำการติดวัสดุตกแต่ง เช่น ซิป, หูกระเป๋า ตามต้องการ สำรวจความเรียบร้อยของชิ้นงานว่าประกอบขึ้นรูปครบถ้วนดีแล้ว ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำในส่วนของกระเป๋า

“ขั้นตอนมีไม่มาก แต่ขั้นตอนแต่ละจุดจำเป็นต้องใช้ความประณีต ใจเย็น และอดทน สำหรับการวางตำแหน่งของชิ้นผ้าก็ควรจะจัดวางให้ไม่ดูรกหรือเยอะเกินไป อีกทั้งการเลือกใช้สีของด้ายและไหมปักก็ควรจะดูกลมกลืนหรือไปกันได้กับลาย ผ้าบนชิ้นงานด้วย” เป็นคำแนะนำของวิลาสินีที่บอกต่อสำหรับคนที่สนใจงานประเภทนี้
ใครสนใจงานประเภทนี้ ก็เข้าไปดูรูปแบบของสินค้าได้ตามเว็บไซต์ข้างต้น หรือต้องการติดต่อวิลาสินี ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-0446-2445 หรือทางอีเมล revery_shop@hotmail.com นี่ก็เป็นอีกหนึ่งประเภทชิ้นงานจาก ’งานผ้า-งานปัก“  ที่สร้างเงิน สร้างอาชีพ ได้อย่างน่าสนใจ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ’ช่องทางทำกิน“  ที่นำมาให้ได้ลองพิจารณากัน.

http://www.dailynews.co.th/article/384/163050

Saturday, October 20, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ขนมจีบตัวนก’

“ขนมจีบไทย” ที่ทำเป็นรูปร่างต่าง ๆ เป็นของว่างประเภทของคาวของไทยอีกอย่างหนึ่งที่ปัจจุบันหาทานได้ค่อนข้างยาก เพราะคนทำขายมีน้อย ยิ่งคนทำที่มีความรู้เกี่ยวกับอาหารไทยด้วยแล้ว ยิ่งหายากมาก อย่างไรก็ตาม วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำการขาย “ขนมจีบไทยรูปตัวนก” มานำเสนอให้ได้พิจารณากัน...
 
เนาวรัตน์ เจาวัฒนา หรือ เหมียว ซึ่งทำธุรกิจรับจัดเลี้ยง และมีสูตรทำ “ขนมจีบไทยรูปตัวนก” ด้วย เล่าให้ฟังว่า ความรู้การทำของว่างไทยนี้ได้รับจากน้องที่ไปเรียนด้านอาหารไทยมา และนำมาประยุกต์ให้เข้ากับธุรกิจอาหารในยุคปัจจุบัน ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป
  
“ขนมจีบไทยนี้ เป็นของว่างประเภทของคาว ดั้งเดิมนั้นจะเป็นรูปคนโทน้ำ แต่เมื่อมาทำธุรกิจอาหารแล้ว ก็ต้องปรับรูปแบบให้น่ารัก และดูแปลกใหม่ จึงเปลี่ยนเป็นรูปนกตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ และทำให้มีหลายสี และหลายไส้” เนาวรัตน์ กล่าว
  
สำหรับอุปกรณ์ในการทำขนมจีบไทยรูปตัวนก หลัก ๆ ประกอบด้วย ถาดใส่แป้ง ไม้พาย เครื่องรีดแป้ง กระทะ กระทะทองเหลือง เตาแก๊ส ที่ตัดแป้งเป็นรูปวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 ซม. และแหนบหนีบช่อม่วง ซึ่งแหนบหนีบช่อม่วงนี้ เนาวรัตน์บอกว่า หาซื้อได้ที่ร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่
  
ส่วนประกอบของ แป้งขนมจีบ ตามสูตรก็มี แป้งข้าวเจ้า 128 กรัม, แป้งมัน 30 กรัม, แป้งข้าวเหนียว 30 กรัม, แป้งท้าวยายม่อม 15 กรัม, น้ำเปล่า 900 กรัม และน้ำมันพืช 60 กรัม  
วิธีทำ นำส่วนผสมของแป้งทั้งหมดมาผสมรวมในกระทะทองเหลือง เทน้ำและน้ำมันตามลงไป แล้วกวนด้วยไฟอ่อน  ค่อย ๆ กวนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแป้งเข้ากัน กวนต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแป้งเป็นเงา จับดูแล้วไม่ติดมือ ซึ่งบางแห่งจะใส่กะทิลงไปด้วย แต่เนาวรัตน์บอกว่าเธอไม่แนะนำ เพราะว่าจะทำให้แป้งเสียได้ง่ายเมื่อแป้งสุกได้ที่ตามที่ต้องการแล้ว ยกลงผึ่งให้เย็น แต่ต้องคลุมด้วยผ้าขาวบาง เพื่อไม่ให้แป้งแข็งและด้าน
  
จากนั้นก็เตรียมส่วนผสมของไส้ ซึ่งขนมจีบไทยที่จะอธิบายในที่นี้ จะดูกันที่ ไส้ไก่ โดยมีส่วนประกอบตามสูตรดังนี้คือ สันในไก่บดละเอียด 1 ถ้วย, หอมใหญ่สับละเอียด 1.5 ถ้วย, กระเทียมซอย 1 ช้อนโต๊ะ, รากผักชีหั่นฝอย 2 ช้อนโต๊ะ, พริกไทยป่น 2 ช้อนชา, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น 1 ช้อนชา          

วิธีผัดไส้ เริ่มที่โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทย ให้ละเอียด ตั้งกระทะใส่น้ำมัน ใช้ไฟร้อน ใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงผัดให้หอม ใส่ไก่ตามแล้วผัดให้สุก ใส่หอมใหญ่ ผัดให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ เกลือป่น ผัดให้แห้ง จึงยกลงพักไว้ให้เย็น  
  
วิธีการปั้นรูปตัวนก นำแป้งที่ผึ่งให้เย็นแล้วมารีดเป็นแผ่นให้แบนประมาณ 0.5 ซม. จากนั้นใช้ที่ตัดแป้งรูปวงกลมตัดแป้งเป็นชิ้น ๆ เตรียมไว้ หั่นแครอทเป็นรูปสามเหลี่ยม ยาว 0.5 ซม. กว้าง 0.25 ซม. และเตรียมน้ำมันพืช 1 ถ้วยเล็ก งาดำคั่วจำนวนหนึ่ง และไม้จิ้มฟัน
  
นำแป้งวางบนมือ ตักไส้ใส่ลงบนแป้งเล็กน้อย พอให้ห่อได้ ห่อไส้ให้มิด อย่าให้แป้งแตก แล้วค่อย ๆ บีบแป้งด้านใดด้านหนึ่งให้ขึ้นเป็นหัวนก นำแครอทที่หั่นไว้มาติดเป็นปากนก ใช้ไม้จิ้มฟันจุ่มน้ำมันพืชแล้วไปจิ้มงาดำ แล้วติดที่บริเวณหัวนกให้เป็นรูปตา ซึ่งต้องติดงาดำทั้ง 2 ด้าน ด้านละ 1 เมล็ด จากนั้นใช้แหนบหนีบช่อม่วงหนีบบริเวณส่วนตัวโดยรอบให้ได้ 8 กลีบ เท่านี้ก็เรียบร้อย
  
“ขนมจีบไทยรูปตัวนก” เจ้านี้ขายราคาตัวละ 6 บาท โดยมีต้นทุนเฉพาะวัตถุดิบตัวละ 2-3 บาท
  
การทำ “ขนมจีบไทยรูปตัวนก” ขาย นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ด้วยอาหารจำพวกของว่าง ที่น่าพิจารณา ส่วนใครต้องการติดต่อกับ เหมียว-เนาวรัตน์ ก็ติดต่อได้ทาง http://www.facebook.com/12sis-catering

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน

..........................................

คู่มือลงทุน...ขนมจีบตัวนก

ทุนอุปกรณ์    ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป  
ทุนวัตถุดิบ    ประมาณ 2-3 บาท/ตัว    
รายได้     ขายราคา 6 บาท/ตัว
แรงงาน    1 คนขึ้นไป
ตลาด    ย่านอาหาร, รับสั่งทำ, จัดเลี้ยง
จุดน่าสนใจ    คนทำเป็นทำขายมีไม่มาก    

http://www.dailynews.co.th/article/384/162001

Friday, October 19, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ตุ๊กตาจุกมือถือ’

งานแฮนด์เมดอย่างงานปั้นดินญี่ปุ่นเป็นรูปการ์ตูน เป็นรูปสัตว์ แนวน่ารัก ๆ สามารถดัดแปลง สร้างสรรค์ออกมาเป็นสินค้าได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตุ้มหู สร้อยคอ ที่ห้อยโทรศัพท์มือถือ และที่กำลังเป็นที่นิยมกันในปัจจุบันด้วย ก็คือ “จุกกันฝุ่นเข้าโทรศัพท์มือถือ” ซึ่งทางทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอให้พิจารณากันในวันนี้...

“งานปั้นดินญี่ปุ่นนั้นเป็นงานที่มีคนทำกันเยอะ คู่แข่งทางการตลาดก็เยอะตามไปด้วย เพื่อที่งานของเราจะอยู่ในตลาดและเป็นที่สนใจของลูกค้าได้ เราจะต้องคิดทำชิ้นงานออกมาให้ดูน่ารัก คิกขุ มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของตัวเอง พอลูกค้าเห็นก็ต้องรู้ว่านี่เป็นงานของเรา” เจ้าของงานปั้นดินญี่ปุ่น แบรนด์ “cute-monster” กล่าว
 
ปู-วิภาดา ยืนยงค์ และ นิว-วิวัฒน์ เพื่อวงษ์ สร้างสรรค์งานปั้นดินญี่ปุ่น เป็นสินค้าหลากหลาย จำหน่ายภายใต้แบรนด์นี้ ซึ่งทั้ง 2 คนนี้ คนหนึ่งจบทางด้านการออกแบบภายใน อีกคนจบมาทางด้านโฆษณา โดยปูบอกว่า งานปั้นดินญี่ปุ่นนั้นทำมาตั้งแต่สมัยเรียน เนื่องจากเป็นคนที่ชอบงานปั้นมาตั้งแต่เด็ก และก็ได้มาเรียนออกแบบ ก็จะต้องมีการปั้นโมเดลส่งอาจารย์ พอเริ่มปั้นโมเดล ความชอบปั้นดินตั้งแต่เด็กก็เกิดขึ้นมา จึงมีความคิดที่จะปั้นดินเป็นการ์ตูน เพราะคิดว่างานปั้นดินญี่ปุ่นนั้นเป็นงานที่มีจุดเด่นมีสไตล์ที่ดูสวยน่ารัก และที่สำคัญสามารถดัดแปลงเป็นสินค้าได้หลากหลาย
 
“เริ่มศึกษาเรื่องดินต่าง ๆ ที่จะนำมาทำจากอินเทอร์เน็ต และทดลองทำมาเรื่อย ๆ เรียนรู้เรื่องการทำอย่างไรให้งานมีความคงทนแข็งแรง เรื่องรูปแบบสินค้าก็มานั่งออกแบบให้ลงตัวให้มีจุดเด่นในตัวเอง ก็ใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่นานจนได้งานที่ลงตัว ในตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะทำขาย จะทำใช้เอง ทำให้เพื่อนเป็นของขวัญ แต่พองานเริ่มลงตัวน่ารักเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ก็เริ่มทำออกจำหน่ายเป็นงานอดิเรกหารายได้เสริม โดยใช้ช่องทางอินเทอร์เน็ตเป็นหน้าร้าน”
 
หลังจากเรียนจบออกมาก็เข้าทำงานประจำอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่ก็ยังทำงานปั้นเป็นอาชีพเสริมอยู่เหมือนเดิม มาระยะหลังออร์เดอร์งานปั้นเริ่มเข้ามา
เยอะขึ้น ก็ต้องเร่งทำงานมากขึ้นเพราะเป็นงานแฮนด์เมด ปั้นจากมือทุกชิ้นทุกขั้นตอนจึงใช้เวลามากในการทำ จึงตัดสินใจออกจากงานประจำที่
ทำมาทำงานปั้นดินขายอย่างเดียว เพื่อที่จะทุ่มเทให้กับงานที่ชอบอย่างจริงจัง ซึ่งก็ทำงานปั้นอย่างจริง ๆ จัง ๆ มาก็ 1 ปีกว่าแล้ว
 
ปู-นิว ร่วมกันบอกว่า งานที่ทำนั้นมีจุดเด่นที่ความน่ารักและเป็นเอกลักษณ์ของการ์ตูนที่ออกแบบและ ปั้นออกมา เป็นแบบที่ไม่เหมือนใคร เพราะการ์ตูนทุกตัวจะออกแบบเอง คิดขึ้นมาเอง
 
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทำหลัก ๆ มีดังนี้คือ...ดินญี่ปุ่น, สีอะคริลิก, กาวร้อน, ลวด, พู่กัน, แล็กเกอร์ และอุปกรณ์สำหรับที่จะนำงานปั้นไปทำเป็นสินค้าอะไร อย่างพวก สายสร้อยสำหรับทำสร้อยคอ ที่ห้อยโทรศัพท์ ตุ้มหู และถ้าทำเป็น “จุกปิดกันฝุ่นโทรศัพท์มือถือ” ก็ใช้จุกอุดรูหูฟัง หรือที่เรียกกันว่า “ปักกี้”
 
วัสดุอุปกรณ์นั้นสามารถหาซื้อได้ที่ย่านตลาดสำเพ็ง
 
ดินญี่ปุ่นที่ใช้นั้นจะเป็นสีขาว การผสมสีในดินใช้การผสมสีที่เป็นแม่สีหลัก ๆ ได้แก่ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง ส่วนสีอื่น ๆ ก็เป็นสีดำ การผสมก็ไม่ยาก ก็ให้ใช้สีอะคริลิกเทใส่ผสมลงในดินแล้วทำการนวดให้สีนั้นเข้าเป็นเนื้อเดียว กับเนื้อดิน
 
ถ้าในการปั้นต้องการใช้สีอื่น ก็ใช้วิธีการนำดินที่ผสมเป็นแม่สีไว้แล้วมาผสมกันให้ได้สีตามที่ต้องการ แล้วก็ทำการนวดดินให้ผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียว ก็จะได้ดินตามสีที่ต้องการ
 
วิธีการทำ เริ่มจาก...การออกแบบตัวการ์ตูนที่ต้องการจะทำลงบนคอมพิวเตอร์ การออกแบบลงบนคอมพิวเตอร์นั้นสามารถที่จะใส่สีและเห็นสีได้สมจริง แต่ถ้าไม่มีทักษะทางคอมพิวเตอร์จะใช้วิธีร่างแบบลงบนกระดาษก็ได้
 
หลังจากที่ได้แบบการ์ตูนที่ต้องการแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการปั้น โดยนำดินมาผสมให้ได้สีตามแบบที่ออกไว้ โดยการปั้นนั้นจะแบ่งปั้นเป็น 2 ส่วน คือส่วนหัวของการ์ตูน และส่วนตัวของการ์ตูน เริ่มจากปั้นส่วนหัวก่อน จากนั้นก็มาปั้นส่วนตัว หลังจากปั้นเสร็จทั้งสองส่วนก็นำมาประกอบติดเข้าด้วยกัน โดยใช้ลวดเสียบระหว่างส่วนหัวและส่วนตัวเพื่อยึดติด
 
ประกอบตัวการ์ตูนเสร็จแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ให้ดินแห้งสนิท จะนำไปตากแดดหรือจะเข้าห้องอบเพื่อให้ดินแห้งเร็วขึ้นก็ได้ หลังจากที่การ์ตูนแห้งสนิทแล้วก็ให้หยอดกาวที่รอยต่อของส่วนหัวและส่วนตัว เพื่อความแข็งแรงแน่นหนาอีกที
พอกาวแห้งก็ทำการตกแต่งวาดลวดลายหน้าตาและรายละเอียดต่าง ๆ ตัวการ์ตูน การวาดนั้นจะใช้พู่กันจุ่มสีอะคริลิกวาด จากนั้นก็ทำการพ่นแล็กเกอร์เคลือบ
 
ไม่ควรใช้ปากการหมึกซึมในการวาดลวดลาย เพราะเวลาพ่นเคลือบเส้นที่วาดจะแตก ทำให้ดูเลอะ ไม่สวย...
 
พอแล็กเกอร์แห้งก็นำตัวการ์ตูนไปติดกับปักกี้ (จุกกันฝุ่น) ยึดติดด้วยกาวให้แน่นหนา เท่านี้ก็เรียบร้อย
 
แต่ถ้านำตัวการ์ตูนปั้นไปทำเป็นสร้อยคอ หรือตุ้มหู ก็จะต้องใส่ห่วงตั้งแต่ตอนที่ปั้นเสร็จ ตอนที่ดินยังไม่แห้ง
 
“จุกปิดกันฝุ่นโทรศัพท์มือถือ” งานแฮนด์เมดปั้นจากดินญี่ปุ่นของ ปู-นิว มีอยู่ 2 ขนาด ขนาดเล็กราคา 50 บาท ขนาดใหญ่ราคา 65 บาท นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่นำดินปั้นมาทำอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ ตุ้มหู ที่ห้อยโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ซึ่งมีราคาขายตั้งแต่ 45-200 บาท โดยราคานั้นขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบของสินค้า

ใครสนใจงานแฮนด์เมดปั้นดินญี่ปุ่นทำเป็น ’จุกปิดกันฝุ่นโทรศัพท์มือถือ“ และสินค้าอื่น ๆ ของแบรนด์นี้ เข้าไปดูแบบงานได้ที่ http://www.cute-monster.com หรือที่ http://www.facebook.com/cutemonstershop หรือต้องการติดต่อกับเจ้าของกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ รายนี้ทางโทรศัพท์ ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-0136-6672, 08-7989-0798.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์

.........................................

คู่มือลงทุน...ตุ๊กตาจุกมือถือ

ทุนเบื้องต้น     ประมาณ 1,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัสดุ    ประมาณ 50% ของราคา
รายได้    ราคาชิ้นละ 50-65 บาท
แรงงาน    1 คน
ตลาด    ลงขายทางอินเทอร์เน็ต
จุดน่าสนใจ    สอดรับกับยุคสมัยใช้มือถือ

http://www.dailynews.co.th/article/384/161817

Saturday, October 13, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ไก่ทอดจิ้มแจ่ว’

“ไก่ทอด” เป็นอาหารที่นิยมกันในทุกภาค พ่อค้าแม่ค้าที่ทำขายสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนไม่น้อยที่สามารถใช้อาชีพนี้สร้างครอบครัวได้อย่างมั่นคง ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีกรณีศึกษาการทำการขายไก่ทอดสูตรกรอบนอกนุ่มใน และการสร้างกลยุทธ์การขายให้ดึงดูดลูกค้า มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...
 
เสาวภักดิ์ วงศ์ศิริ หรือ มะเฟือง สาววัย 22 ปี เจ้าของร้าน “ไก่ทอดจิ้มแจ่ว” เล่าให้ฟังว่าที่ ครอบครัวทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารมาตั้งแต่ตนเองยังเด็ก เธอจึงคุ้นเคย รู้จุดขายอาชีพนี้พอประมาณ หลังเรียนจบจึงนำเอาความรู้ที่เรียนมาทางด้านคหกรรม มาปรับและพัฒนาให้เข้ากับความชอบของลูกค้า โดยใช้สิ่งที่ครอบครัวทำอยู่มาขยายต่อ
  
“พ่อกับแม่อยากให้ลูกทำงานรับราชการสบาย ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยก็เบิกได้ แต่สำหรับความคิดเราอยากจะมีธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตัวเองมากกว่า ก็เคยไปสมัครทำงาน แต่คิดว่าไม่ใช่ตัวเราจึงลาออกมา และฝึกทำไก่ทอด เพราะชอบกิน ก็เลยคิดจะทำขาย สูตรไก่ทอดกรอบนอกนุ่มในนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้ หรือน้ำมันพืชที่ใช้ทอด แต่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำมันที่ทอดไก่ น้ำมันต้องเดือดและท่วมไก่ แล้วจากไฟแรงสุดก็ลดลงเรื่อย ๆ ที่ร้านจะใส่ใจขั้นตอนการทอดมาก”
  
มะเฟืองบอกว่า เคล็ดลับความสำเร็จในอาชีพนี้ ไม่มีอะไรยุ่งยากและซับซ้อน เพียงแค่เราไม่เอารัดเอาเปรียบลูกค้าในเรื่องราคา และใส่ใจในรสชาติและคุณภาพ เท่านี้ไก่ทอดของเราก็จะขายดิบขายดีจนเกลี้ยงร้านทุกวันได้
  
วัสดุอุปกรณ์หลัก ๆ ที่ใช้ในการทำ ก็มี...เตาแก๊ส, กระทะ, ตะหลิว, ตะแกรง, กะละมัง, ถาดสเตนเลสขนาดใหญ่, กระจาด, คีมคีบ, ลังน้ำแข็ง และเครื่องมือเครื่องไม้อื่น ๆ ให้หยิบยืมเอาจากในครัวได้
  
ส่วนวัตถุดิบ หลัก ๆ ก็มี...เนื้อไก่สด (ตรงส่วนของปีกและตะโพก), ซอสปรุงรส, พริกไทยดำป่น, เกลือ, ซีอิ้วขาว, น้ำมันหอย, กระเทียมโขลก, น้ำตาลทราย, แป้งสาลีอเนกประสงค์, น้ำมันปาล์ม และใบเตย
  
ขั้นตอนการทำ “ไก่ทอด” เริ่มจากนำเนื้อไก่มาล้างให้สะอาด แล้วพักให้สะเด็ดน้ำประมาณ 15-20 นาที จึงนำไก่มาทำการนวดให้ทั่วทุกปีกและตะโพก ขั้นตอนนี้เป็นเคล็ดลับสำคัญซึ่งจะทำให้เนื้อไก่มีความนุ่มละมุนลิ้น อร่อยยิ่งขึ้น
  
ต่อไปเป็นการเตรียมเครื่องปรุง โดยนำรากผักชี กระเทียม และเกลือ มาโขลกรวมกันให้ละเอียด ตั้งพักไว้
  
ขั้นตอนการหมักไก่ ให้นำซอสปรุงรส ซีอิ้วขาว น้ำมันหอย พริกไทยดำป่น น้ำตาลทรายนิดหน่อย และรากผักชี-กระเทียม-เกลือที่โขลกเตรียมไว้ ผสมคลุกเคล้ากับไก่ให้เข้ากันจนทั่ว นำไก่แบ่งใส่ถุงขนาดพอประมาณผูกปากถุง แช่เย็นไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้เครื่องปรุงเข้าถึงเนื้อไก่
  
เมื่อจะทอดไก่ ก็นำไก่ที่หมักไว้เทใส่กะละมัง กระจายให้ทั่ว นำแป้งสาลีอเนก ประสงค์โรยใส่ให้ทั่วพอประมาณ คลุกเคล้าไก่และแป้งเบา ๆ พอให้เข้ากัน จากนั้นก็เตรียมทอดได้เลย โดยการทอดก็ตั้งกระทะ เทน้ำมันที่ใช้สำหรับทอดไก่ลงไปมากพอประมาณ รอจนน้ำมันเดือดจัด นำไก่ที่เตรียมไว้ลงทอด พร้อมกับใบเตยหั่นท่อน คอยใช้ตะหลิวคนกลับไก่เพื่อไม่ให้ติดกระทะ และเพื่อให้สุกทั่วกัน เมื่อไก่ที่ทอดมีสีเหลือง กรอบ ก็นำขึ้นมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน พร้อมขาย
  
ทีเด็ดอีกอย่างในการขายไก่ทอดคือน้ำจิ้ม ที่ร้านนี้จะเป็น “น้ำจิ้มแจ่ว” รสแซบ ส่วนผสมที่ใช้ก็มี พริกป่น และข้าวคั่ว ที่ทำเองใหม่ ๆ, น้ำตาลปี๊บ, น้ำปลา, น้ำมะขามเปียกต้ม หอมแดง ต้นหอม ผักชีฝรั่ง วิธีทำ...ผสมน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา และน้ำมะขามต้มสุก เข้าด้วยกัน ชิมรสดูให้ได้รสเปรี้ยว เค็ม หวาน (ตามชอบ) จากนั้นใส่พริกป่น ข้าวคั่ว คนให้เข้ากัน ใส่หอมแดงซอย ต้นหอมและผักชีฝรั่งหั่น ก็จะได้น้ำจิ้มแจ่วใช้รับประทานกับไก่ทอด และข้าวเหนียว
   
ราคาขายไก่ทอดเจ้านี้ ชิ้นปีกราคาปีกละ 13 บาท ชิ้นตะโพกราคา 35 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 60% ของราคา
 
“ไก่ทอดจิ้มแจ่ว” เจ้านี้ ขายวันเสาร์-อาทิตย์ที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยม เขตตลิ่งชัน และขายตามงานต่าง ๆ ตามแต่โอกาส นอกจากนี้ยังรับออกบูธงานเลี้ยง-งานสังสรรค์ด้วย ซึ่งใครต้องการติดต่อกับมะเฟืองก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-2235-2959, 08-5236-5714 ทั้งนี้ อาชีพ “ขายไก่ทอด” นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่มีทุนน้อยก็สามารถทำขายได้.

เชาวลี  ชุมขำ : เรื่อง / พิชญวัฒน์ ปรุงศักดิ์ : ภาพ

..........................................
              
คู่มือลงทุน…ไก่ทอดจิ้มแจ่ว

ทุนอุปกรณ์    ขึ้นอยู่กับขนาด-รูปแบบร้าน
ทุนวัตถุดิบ    ประมาณ 60% ของราคา
รายได้    ราคาชิ้นละ 13 และ 35 บาท              
แรงงาน        1 คนขึ้นไป
ตลาด        ย่านค้าขายอาหารทั่ว ๆ ไป
จุดน่าสนใจ    ทำไม่ยาก, มีทุนน้อยก็ขายได้          

http://www.dailynews.co.th/article/384/160711

Friday, October 12, 2012

แนนำอาชีพ 'ตุ๊กตาหน้าแปลก'

ชิ้นงานของที่ระลึก ของขวัญ ตลาดเติบโตและมีไอเดียหลากหลายเกิดขึ้นตลอด ยิ่งผสานกับการขยายตัวและความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นของการใช้ช่องทางจำหน่าย ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ชิ้นงานน่าสนใจก็ออกสู่ตลาดได้มากขึ้น อย่างเช่นงาน ’ตุ๊กตาหน้าแปลก“ ของสาว ๆ 5 คนที่รวมกลุ่มกันทำ นี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าพิจารณา...
สาว ๆ 5 คนรวมกลุ่มกันผลิตสินค้า “ตุ๊กตาหน้าแปลก” ในชื่อ “วีอาร์ดอลส์ (VRdools)”  โดย ปิยะมาศ อนุสิ ตัวแทนของกลุ่ม เล่าว่า เธอและเพื่อนรวมกลุ่มช่วยกันคิดออกแบบและประดิษฐ์ชิ้นงานนี้ขึ้น โดยทั้งหมดเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนศิลปกรรมที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลธัญบุรี คลองหก โดยกลุ่มประกอบด้วย เอื้อมพร ใจใส, วันวิสาข์ แซ่หอ, วรรณวิไล พันธ์เณร, อังคนงค์ สมหวัง และตัวเธอ ซึ่งแต่ละคนมีงานประจำทำอยู่ก่อนแล้ว

งานประจำที่ทำกันส่วนใหญ่ก็เป็นงานตามสาขาที่ได้เรียนมา คือเกี่ยวกับศิลปะ แต่ที่ทางกลุ่มชอบตรงกันคือ งานจากผ้า งานเย็บชนิดต่าง ๆ และมักนำชิ้นงานที่ทำสำเร็จไปมอบเป็นของขวัญให้เพื่อนและคนรู้จัก จนมีคนแนะนำว่าน่าจะลองทำขาย จึงได้ลองทำขายที่ถนนคนเดินบนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี จนถึงตอนนี้เป็นปีที่ 3 แล้ว

“ผลตอบรับดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเราจะทำผลงานกันออกมา 5 สไตล์ และไม่ทำซ้ำออกมาขาย จะออกแบบใหม่อยู่ตลอด ยกเว้นลูกค้าอยากได้ตัวที่เคยทำเพิ่มเติม หลังจากนั้นเพื่อนก็คิดกันว่าน่าจะลองเพิ่มช่องทางกระจายผลงานผ่าน
เฟซบุ๊ก จึงลองดู ก็ปรากฏว่าสินค้ากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นอีก” ปิยะมาศกล่าว

สินค้าที่ทำขึ้นนั้น ปิยะมาศบอกว่า ใช้ชื่อสินค้าว่า VRdools มาจาก we are doll ซึ่งก็แปลตรงตัวถึงความชื่นชอบของกลุ่ม ส่วนช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่านเฟซบุ๊กนั้น คือ www.facebook.com/VRdolls.handmade โดยในการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางนี้ ปิยะมาศแนะนำว่า การขายในเฟซบุ๊กมีข้อดีคือ ไม่ต้องลงทุนเปิดร้าน และทำให้ชิ้นงานเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ข้อควรระวังก็คือ การถูกนำไปทำซ้ำหรือเลียนแบบ ซึ่งต้องคอยหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ

ชิ้นงานที่ทำอยู่ มีตั้งแต่ ตุ๊กตา พวงกุญแจ หัวดินสอ เข็มกลัด และแม่เหล็กติดตู้เย็น กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะขายในแหล่งท่องเที่ยว แต่ก็มีลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน สลับเข้ามาตลอด ลูกค้าก็มีทั้งซื้อชิ้นงานสำเร็จรูป และสั่งทำขึ้นใหม่ เพื่อนำไปเป็นของขวัญ จุดเด่นชิ้นงานอยู่ที่รูปแบบตุ๊กตา ที่มีหน้าตาและแบบไม่ซ้ำกัน

ทุนเบื้องต้น ใช้เงินลงทุนประมาณ 7,000 บาท ในกรณีเย็บตุ๊กตาด้วยมือ แต่ถ้ามีจักรเย็บผ้าด้วยต้นทุนก็จะสูงขึ้นตามราคาของจักรที่ใช้  ส่วนทุนเฉพาะในส่วนของวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 30% จากราคาขาย โดยสินค้ามีราคาขายเริ่มตั้งแต่ 50 บาท ไปจนถึง 400 บาท ขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของสินค้า

วัสดุอุปกรณ์ ประกอบด้วย จักรเย็บผ้า, เข็มกับด้ายสีต่าง ๆ, กรรไกร, ผ้าสีและลวดลายต่าง ๆ, กาวยาง และสมุดร่างแบบ, อุปกรณ์ตกแต่ง อาทิ กระดุมผ้าลูกไม้ โบ-ริบบิ้น ลูกตาปลอม ใยโพลีเอสเตอร์  โซ่ไข่ปลา หรือห่วงพวงกุญแจ

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากออกแบบโดยวาดรูปแบบที่คิดไว้ลงบนสมุดวาดแบบร่าง จากนั้นทำแพตเทิร์นในกรณีที่ต้องการทำตุ๊กตาแบบเดียวกันหลายตัว หากเป็นการทำชิ้นเดียวก็สามารถขึ้นชิ้นงานด้วยการวาดแบบลงผ้าได้เลย

เมื่อได้แบบแล้ว ก็ทำการตัดผ้าตามแบบ แล้วเย็บตามเส้นร่างที่วาดไว้ ถ้าจะต่อชิ้นส่วนของตัวตุ๊กตาเลยก็ให้เย็บต่อกันในส่วนนี้ แต่ถ้าต้องการต่อตัวตุ๊กตาตอนเสร็จก็อาจตัดผ้าไว้หลาย ๆ ชิ้นก่อน แล้วจึงค่อยเย็บขึ้นชิ้นงานตอนหลังทีเดียว ทำการกลับตะเข็บ ยัดใยโพลีเอสเตอร์ให้อ้วนฟู ทำการเย็บทุกชิ้นส่วนประกอบกัน และตกแต่งชิ้นงาน เป็นอันเสร็จ

“ถ้าใช้ของดี ทุนก็จะสูงหน่อย แต่จริง ๆ หากไม่ต้องการลงทุนสูง วัสดุอุปกรณ์ราคากลาง ๆ ก็พอใช้ได้ งานนี้ขึ้นอยู่กับการขายไอเดียเป็นสำคัญ อีกอย่างที่อยากเน้นคือ คนที่สนใจคิดจะยึดงานแบบนี้เพื่อทำเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม ต้องประณีต ใจเย็น สนุกกับงานให้มาก และต้องมีความคิดสร้างสรรค์ อย่าลอกเลียนผลงานคนอื่น” ปิยะมาศกล่าว
ใครสนใจ ’ตุ๊กตาหน้าแปลก“ ก็ลองเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ตามช่องทางที่ว่ามาข้างต้น หรือต้องการติดต่อกับกลุ่มที่ทำทางโทรศัพท์ติดต่อได้ที่ โทร.08-9649-3848, 08-3591-9588, 08-1397-9699 หรือติดต่อผ่านทางอีเมลได้ที่ doll_handmade2011@hotmail.com ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา ’ช่องทางทำกิน“ ที่น่าสนใจไม่น้อยเลย.

http://www.dailynews.co.th/article/384/160506

Saturday, October 6, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ถุงผ้าปักริบบิ้น’

“ถุงผ้าปักริบบิ้น” เป็นอีกงานประดิษฐ์ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” ไปเก็บข้อมูลมาจากงาน “ตลาดนัดภูมิปัญญาไทย สร้างอาชีพ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” ซึ่งจัดที่อาคารใหม่ สวนอัมพร เขตดุสิต โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งในงานก็มีผู้ให้ความสนใจเข้ารับการอบรมเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาว หรือผู้สูงอายุที่เป็นผู้ร่วมงานกลุ่มหลักของกิจกรรมนี้ วันนี้เรามาดูข้อมูลกัน...
                      
จินตนา สง่า อาจารย์จากคณะคหกรรมศาสตร์ วิทยาลัยสารพัดช่างธนบุรี ซึ่งเป็นวิทยากรอบรม เล่าว่า เธอจะสอนงาน “ถุงผ้าปักริบบิ้น” ตอนที่ออกงานกับหน่วยงานราชการ ซึ่งงานปกติที่วิทยาลัยฯนั้นสอนการตัดเย็บเสื้อ เย็บปลอกหมอน เย็บกระเป๋า อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากออกงานที่สวนอัมพรแล้ว ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมอบรมโทรศัพท์มาขอเรียนเพิ่มเติม ซึ่งก็ให้ทุกคนรวมตัวกันมาเรียนที่วิทยาลัยฯ
  
สำหรับที่มาของงานปักริบบิ้นนั้น  อ.จินตนา เล่าว่า เมื่อหลายปีก่อน เธอได้ไปบ้านลูกศิษย์คนหนึ่งที่สนิทกัน และไปพบว่าบ้านของลูกศิษย์นี้มีหมอนอิงปักริบบิ้นรูปดอกไม้  แต่เป็นของต่างประเทศ  ซึ่งราคาค่อนข้างแพง เธอจึงได้ไอเดียนี้มาลองทำดูด้วยตัวเอง ด้วยริบบิ้นผ้าของไทย ซึ่งก็ทดลองทำอยู่นาน  ลองทำหลาย ๆ วิธี จนได้ออกมาเป็นวิธีที่ง่าย ได้ลวดลายที่สวยงาม และก็มีการสอนนอกหน่วยงานไม่กี่ครั้ง ซึ่งก็มีลูกศิษย์ติดใจตามมาเรียนเพิ่มที่วิทยาลัยฯ  
  
วัสดุในการทำ “ถุงผ้าปักริบบิ้น” หลัก ๆ ก็มี ผ้าเนื้อโปร่ง อาทิ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม หรือผ้าลินิน เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ขนาดกว้าง 6.5 นิ้ว ยาว 16 นิ้ว พับครึ่ง ใช้ส่วนของครึ่งผ้าด้านใดด้านหนึ่งสำหรับปัก, ริบบิ้นผ้าสีต่าง ๆ (ขนาดกว้าง  0.5 ซม.) ไหมสีต่าง ๆ, ใยโพลีเอสเตอร์       
  
ส่วนอุปกรณ์ ได้แก่ สะดึง, เข็มปักครอสสติตช์ และปากกาเขียนลายผ้า
  
วิธีทำ เตรียมผ้าตามขนาดข้างต้น เลือกด้านใดด้านหนึ่ง จากนั้นใช้ปากกาเขียนลายลงบนผ้า ซึ่งจะขึ้นโครงลายเป็นรูปหัวใจ หรือกิ่งไม้ หรือรูปตัวอักษรภาษาอังกฤษ ก็ได้ตามต้องการ แต่ในโครงลายนั้น ๆ จะมีรูปโครงดอกไม้ซ้อนอยู่ข้างในอยู่ด้วย การวาดรูปโครงดอกไม้นั้น วิธีการคือวาดคล้าย ๆ รูปดาว ซึ่งอาจจะมี 7 แฉก หรือ 5 แฉก หรือ 3 แฉก สุดแท้แต่ ซึ่งแฉกเหล่านี้จะเป็นส่วนขาดอก
  
สำหรับโครงดอกไม้ที่วาดคล้ายรูปดาวที่มีขนาดใหญ่หน่อย อ.จินตนาแนะนำให้ใช้ปากกาวาดรูปวงกลมล้อมรอบรูปดาวนั้นด้วย และให้เย็บไหมเส้นเล็กทับลงบนเส้นแฉกดาว (ขาดอก) ด้วย เพื่อความสะดวกในการเย็บปักดอกไม้ในขั้นตอนต่อไป ส่วนถ้าเป็นดาวเล็กไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมขั้นตอนการปัก อ.จินตนาอธิบายว่า เริ่มที่สนเข็มปักครอสสติตช์กับริบบิ้นผ้าที่มีความยาว 1 ฟุต มัดปมริบบิ้นด้านใดด้านหนึ่ง จากนั้นแทงเข็มจากด้านหลังขึ้นมาตรงกลางดอกหรือกลางดาว สอดริบบิ้นเข้าไปใต้ขาดอกเส้นใดเส้นหนึ่ง  ดึงขึ้น แล้วหมุนริบบิ้น เว้นไป 1 ขา แล้วร้อยเข้าไปใต้ขาถัดไป ดึงขึ้น แล้วหมุน เว้นไป 1 ขา ร้อยเข้าไปใต้ขาถัดไป ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเต็มดอก
  
กรณีดอกไม้ดอกเล็ก ให้สนเข็มปักครอสสติตช์กับริบบิ้นผ้าแบบเดียวกับข้างต้น แทงเข็มจากด้านหลังขึ้นมากลางดอก แล้วปักริบบิ้นไปตามรอยวาดรูปดอกไม้ที่วาดไว้ จนรอบดอก แต่ไม่ต้องหมุนริบบิ้น ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบลายที่วาดเตรียมไว้ ส่วนลายเส้นที่เป็นรูปหัวใจ รูปกิ่งไม้ หรือรูปตัวอักษรภาษาอังกฤษ อ.จินตนาแนะนำให้เย็บริบบิ้นด้วยวิธีการด้นถอยหลังไปตามรอย
  
เสร็จขั้นตอนที่ว่ามาแล้ว ก็นำใยโพลีเอสเตอร์ตัดขนาดเท่ากับผ้า เย็บติดกับผ้าปิดลายด้านหลัง เพื่อปกปิดเศษริบบิ้นอีกด้านที่ไม่เรียบร้อย จากนั้นพับครึ่งประกบให้เป็นถุงแล้วเย็บริมผ้าทั้ง 3 ด้านให้เรียบร้อย และเย็บเชือกไนลอนเล็กกับปากถุงผ้า 2 ด้านให้เป็นสายสะพาย เท่านี้ก็จะได้ “ถุงผ้าปักริบบิ้น”
  
ราคาขายนั้น อ.จินตนาบอกว่า ขายได้ในราคาใบละประมาณ 300 บาท โดยมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 100 บาท
                    
สนใจเรื่องการทำ “ถุงผ้าปักริบบิ้น” และวิชาชีพการตัดเย็บอื่น ๆ สำหรับเป็น “ช่องทางทำกิน” ต้องการติดต่อ อ.จินตนา สง่า ติดต่อได้ที่คณะคหกรรมศาสตร์ วิทยาลัยสารพัดช่างธนบุรี เลขที่ 159 ถนนเชียงใหม่ แขวง/เขตคลองสาน กรุงเทพฯ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2437-5371 ต่อ 118 หรือ 08-6891-4637.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน

..........................................

คู่มือลงทุน...ถุงผ้าปักริบบิ้น

ทุนอุปกรณ์    ไม่เกิน 1,000 บาท  
ทุนวัสดุ    ประมาณ 100 บาท/ถุง  
รายได้     ราคาขาย 300 บาท/ถุง  
แรงงาน    1 คนขึ้นไป
ตลาด    รับสั่งทำ, หาแหล่งขายส่ง
จุดน่าสนใจ    ทำขายเป็นอาชีพเสริมได้  


http://www.dailynews.co.th/article/384/159328

Friday, October 5, 2012

แนะนำอาชีพ ‘ตุ๊กตาสวิตช์ไฟ’

สินค้างานแฮนด์เมด นอกจากจะต้องมีไอเดียความคิดสร้างสรรค์ คิดสินค้าออกมาให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว ตัวสินค้าที่โดดเด่นสะดุดตาผู้ซื้อ ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะจะทำให้ลูกค้าจดจำสินค้า และสนใจซื้อสินค้า อย่างงาน “ตุ๊กตาสวิตช์ไฟฟ้า” ที่เป็นแม็กเน็ต ที่เป็นการสร้างสรรค์โดยนำสวิตช์ไฟฟ้ามาทำเป็นตุ๊กตา เป็นงานไอเดียที่น่าสนใจ โดยเจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้บอกว่า “งานที่เป็นงานแฮนด์เมด ถ้าเราทำก็จะต้องคงคำว่างานแฮนด์เมดไว้ คือเราต้องทำด้วยมือทุกขั้นตอน” ซึ่งวันนี้เรามาดูกันว่างานแฮนด์เมด “ตุ๊กตาสวิตช์ไฟฟ้า” นี้เป็นอย่างไร...

มะกอก-ศุกฤษ จันทร์เพ็ญ และ ยิ่ง-ยิ่งยศ พูลเพิ่มทรัพย์ ช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานแฮนด์เมด “ตุ๊กตาสวิตซ์ไฟฟ้า” ออกสู่ตลาด ภายใต้แบรนด์ “Man by Head” โดยมะกอกเล่าว่า ตนนั้นเรียนจบมาทางด้านออกแบบตกแต่งภายใน แล้วพอจบออกมาก็เข้าทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศ แต่ทำอยู่ได้ระยะหนึ่งก็เริ่มรู้สึกเบื่องานประจำ เพราะค้นพบว่าไม่ใช่ตัวตนของตัวเอง เพราะเป็นคนที่รักอิสระ จึงตัดสินใจออกจากงานประจำมารับงานเอง เป็นอิสระมากขึ้น
หลังจากออกมารับงานเองก็ไม่วายต้องพบเจอปัญหาเรื่องคนเยอะแยะ จึงมองหางานอื่น ก็มานั่งคิดว่าจะทำอะไรดีที่มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น จนที่สุดก็มาจับงานแฮนด์เมดซึ่งชอบอยู่แล้ว “ตุ๊กตาสวิตช์ไฟฟ้า” จึงถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา
“เรามองเจ้าสวิตช์ไฟฟ้าเหมือนหน้าคนมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว จึงเอาความคิดนั้นมาสร้างสรรค์เป็นงานออกมาขาย แต่กว่าที่จะลงมือทำเจ้าตุ๊กตาสวิตช์ไฟฟ้าก็ใช้เวลาอยู่ประมาณ 1-2 เดือน ในการออกแบบคิดงาน ให้งานออกมาดูดี น่ารักลงตัว และมีเอกลักษณ์เป็นแบบฉบับของเราเอง พอคนเห็นก็จะรู้ทันทีว่าเป็นงานของเรา” มะกอกกล่าว
หลังจากที่ออกแบบจนเป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็ไปทำการ “จดสิทธิบัตร” จากนั้นก็ลงมือสร้างชิ้นงาน โดยใช้เงินลงทุนตอนแรก 30,000 กว่าบาท ในการซื้อวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ มาทำ
เมื่อทำผลงานออกมาสู่ตลาดแล้ว เพื่อนหลายคนก็บอกว่าเป็นงานที่น่ารักดี จากนั้นก็เอาไปวางขายที่ตลาดสวนรถไฟ แรก ๆ ก็ยังไม่มีคนสนใจเท่าไหร่ แต่เพราะเชื่อว่างานที่ทำขึ้นต้องขายได้ จึงไม่ท้อ และพยายามขายต่อไป จนที่สุดสินค้าของมะกอกก็เริ่มได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี มีลูกค้าติดต่อเข้ามาสั่งซื้อมาก
นอกจากตุ๊กตาสวิตช์ไฟฟ้า มะกอกก็ยังสร้างสรรค์นาฬิกาน่ารัก ๆ ออกมาจำหน่ายคู่กันไปด้วย ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีไม่แพ้กัน
“งานทุกชิ้น การ์ตูนทุกตัวที่เราทำ จะออกแบบเองทั้งหมด” ...มะกอกกล่าว
สำหรับ “ตุ๊กตาสวิตช์ไฟฟ้า” วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในทำ หลัก ๆ ก็มี... สวิตช์ไฟฟ้า, หลอดไฟ LED, ถ่านนาฬิกาข้อมือ (ก้อนแบนเล็ก), ไม้ MDF, เลื่อยฉลุ, สีโปสเตอร์, แม่เหล็ก, เคลียร์สเปรย์ (สำหรับพ่นเคลือบเงา) เป็นต้น
“ที่ใช้สีโปสเตอร์ เพราะสีโปสเตอร์นั้นมีลักษณ์ของเนื้อสีที่บาง เวลาทาลงบนเนื้อไม้จะเรียบบาง ไม่หนา เกาะติดไม้ได้ดี ติดทนนาน” มะกอกกล่าว
ขั้นตอนการทำ เริ่มจาก... ออกแบบก่อน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญ โดยจะต้องออกแบบให้สัดส่วนระหว่างส่วนหัวและส่วนตัวของตุ๊กตาที่จะทำนั้นลง ตัว มีสัดส่วนที่เหมาะสม ดูแล้วสวยน่ารัก ดูเป็นตัวการ์ตูน พอออกแบบตัวตุ๊กตาเสร็จแล้วจากนั้นก็เริ่มลงมือทำ
เริ่มจากการประกอบส่วนหัวที่เป็นสวิตช์ไฟฟ้าก่อน โดยการต่อวงจรไฟฟ้า ใช้หลอดไฟ LED สีแดง 2 หลอด วางและเชื่อมต่อเข้ากับสวิตช์ไฟฟ้า เปิด-ปิดไฟได้ โดยใช้ถ่านนาฬิกาเป็นตัวให้พลังงาน
หลังจากที่ทำส่วนหัวที่เป็นสวิตช์ไฟฟ้าเสร็จแล้ว ก็มาลงมือทำส่วนตัวตุ๊กตา โดยนำแบบที่ออกแบบไว้ไปวางทาบลงบนไม้ MDF ใช้ดินสอร่างตามแบบ แล้วก็ใช้เลื่อยฉลุทำการตัดตามแบบที่ร่างไว้ ตัดตามแบบเสร็จก็ใช้กระดาษทรายขัดลบเสี้ยน ขัดให้ผิวไม้เรียบ
ขั้นตอนต่อไปเป็นขั้นตอนการลงลวดลาย ลงสี บนส่วนตัวของตัวตุ๊กตา เริ่มจากวาดลวดลายตามแบบที่ต้องการลงไปก่อน จากนั้นก็ลงสี เมื่อลงสีเสร็จทิ้งไว้ให้สีแห้งสนิท จากนั้นก็พ่นเคลียร์เคลือบเงา พอเคลียร์แห้งก็นำส่วนหัวที่เป็นสวิตช์ไฟฟ้ามาติดประกอบเข้ากับส่วนตัว ตุ๊กตา ใช้กาวร้อนยึดติดให้แน่น ติดแม่เหล็ก 2 ชิ้นไว้ด้านหลัง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ตุ๊กตาสวิตช์ไฟฟ้า แม็กเน็ต Man by Head มีหลายแบบหลายลาย หรือลูกค้าจะสั่งวาดตามแบบที่ต้องการก็ได้ โดยมีราคาขายอยู่ที่ 150 บาทต่อตัว แต่ถ้าสั่งซื้อ 20 ตัวขึ้นไปจะซื้อได้ในราคาตัวละ 100 บาท ส่วนนาฬิกาแบบต่าง ๆ ที่มีการทำขายด้วย มีราคาตั้งแต่ 250 บาท ถึง 400 บาท

ใครสนใจ “ตุ๊กตาสวิตช์ไฟฟ้า” ที่เป็นแม็กเน็ต หรือนาฬิกาแบบต่าง ๆ แวะไปดูไปชมผลงานเพิ่มเติมได้ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โครงการ 26 ซอย 34/7 หรือที่ Facebook : ManByHead หรือถ้าจะสั่งทำหรือสั่งไปจำหน่ายต่อเป็น “ช่องทางทำกิน” อีกสเต็ปหนึ่ง ก็โทรฯไปพูดคุยสอบถามได้ที่ โทร.09-0653-3389, 09-0981-2960

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน

คู่มือลงทุน...ตุ๊กตาสวิตช์ไฟฟ้า
ทุนเบื้องต้น    ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัสดุ        ประมาณ 50% ของราคา
รายได้        ราคา 100-150 บาท/ชิ้น
แรงงาน        1 คนขึ้นไป
ตลาด        กลุ่มแฮนด์เมด, ขายผ่านเน็ต
จุดน่าสนใจ    คิดทำเอกลักษณ์สร้างจุดขาย

http://www.dailynews.co.th/article/384/159090

Saturday, September 29, 2012

แนะนำอาชีพ “ไอศกรีมน้อยหน่า”

“ไอศกรีม” เป็นหนึ่งในของหวานที่คนไทยทุกเพศทุกวัยนิยมรับประทาน ยิ่งเมืองไทยเราเป็นเมืองร้อน การทำไอศกรีมขายยิ่งเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำการขาย “ไอศกรีมน้อยหน่า” ไอศกรีมผลไม้ ไอศกรีมโฮมเมด ไขมันต่ำ เพื่อสุขภาพ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่โดดเด่น มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...
 
ศักดิ์สุกฤต นาคบัว หรือ โอ เป็นเจ้าของธุรกิจไอศกรีมโฮมเมด ยี่ห้อ “J.Homemade” ผลิตและขายไอศกรีมผลไม้ ชายหนุ่มผู้นี้นำความรู้สมัยเรียนปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์ และปริญญาโทด้านบริหาร มาผสมผสานเข้ากับความชอบของตัวเอง จนกระทั่งได้ผลผลิตออกมาเป็นไอศกรีมแสนอร่อย และอุดมไปด้วยคุณค่าของผลไม้ไทย ซึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า เบื่อหน่ายกับงานประจำที่เคยทำ ก็เลยเฟ้นหากิจกรรมที่ชอบ ก็พบว่าตัวเองสนใจไอศกรีม คิดว่าน่าจะขายได้ เพราะบ้านเราอากาศร้อน ประกอบกับที่บ้านมีสวนผลไม้อยู่ที่จันทบุรี ก็เป็นการช่วยนำผลไม้ที่สวนมาแปรรูปด้วย

“ผมหาเวลาว่างไปเรียนการทำตามสถาบันต่าง ๆ ซึ่งสูตรที่เรียนมาบางครั้งก็ใช้ไม่ได้ จึงต้องนำมาปรับพลิกแพลงและพัฒนาอยู่นานเป็นปี จนได้สูตรไอศกรีมผลไม้ไขมันต่ำ คนที่ได้ชิมบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย จึงร่วมหุ้นทำธุรกิจนี้กับรุ่นพี่ที่เป็นตำรวจคือ พ.ต.ท.เจนกมล คำนวล รองผู้กำกับฯอยู่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยนำไอศกรีมที่ทำไปเสนอตามร้านอาหารที่ยังไม่มีขนมหวาน เสียงตอบรับดีมาก เพราะเป็นไอศกรีมเพื่อสุขภาพ อุดมไปด้วยคุณค่าจากผลไม้แท้ 100% ไม่แต่งสีไม่แต่งกลิ่น ไม่มีส่วนผสมของนม ไข่ ไขมันจากสัตว์ ไม่ใส่สารกันบูด รสชาติหวานเย็นหอมมันพอดี กลมกล่อมอร่อยแบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ชอบทานไอศกรีม แต่ห่วงเรื่องสุขภาพ”

คุณโอบอกอีกว่า ไอศกรีมที่ทำมีหลายรสชาติให้เลือก แต่ตัวที่ทำตลาดได้ดี ขายดิบขายดีคือ น้อยหน่า มังคุด สละ ซึ่งในส่วนของ “ไอศกรีมน้อยหน่า” เป็นสูตรดั้งเดิมที่ได้รับถ่ายทอดจากคุณย่าและคุณแม่ นำมาปรับสูตรให้เหมาะสมกับการผลิตในปัจจุบัน ใส่เนื้อน้อยหน่าเป็นชิ้น ๆ ไอศกรีมแต่ละถ้วยมีปริมาณเนื้อไม่น้อยกว่า 30% ในการทำก็ควบคุมความสะอาดทุกขั้นตอนการผลิตให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน จนได้รับเครื่องหมาย อย. และเมื่อมั่นใจในรสชาติ และความสะอาด ปลอดภัย จึงเริ่มทำออกจำหน่ายอย่างจริงจังเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันอุปกรณ์ที่จำเป็น ต้องมีในการทำไอศกรีม หลัก ๆ ก็ได้แก่ เครื่องปั่นไอศกรีม ที่เหลือก็จะเป็นอุปกรณ์ทั่วไป เช่น หม้อ เครื่องตวง เตาแก๊ส ทัพพี ฯลฯ ซึ่ง “ไอศกรีมน้อยหน่า” ที่จะยกตัวอย่างวิธีทำนั้น ส่วนผสมที่ใช้ในการทำก็มี มะพร้าว, ผลไม้สด คือ น้อยหน่า, น้ำตาลทราย

ขั้นตอนการทำ “ไอศกรีมน้อยหน่า” เริ่มจากการนำผลน้อยหน่าที่เตรียมไว้มาคว้านเอาแต่เนื้อ ใส่ภาชนะพักไว้ เตรียมมะพร้าวที่ขูดใหม่ใส่กะละมัง นำน้ำร้อนที่เดือดพล่านราดใส่ลงไป ทิ้งไว้สักครู่พอให้คลายร้อน จึงทำการคั้นกรองด้วยกระชอนและผ้าขาวบาง 2 -3 ครั้งให้ได้น้ำกะทิในปริมาณตามที่ต้องการ ใส่น้ำตาลทรายลงในกะทิ คนให้น้ำตาลละลาย ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน ตุ๋นไปเรื่อย ๆ พอเดือดยกลงกรองด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง ใส่เนื้อน้อยหน่าลงไป ทิ้งไว้ให้เย็น ก่อนจะนำไปปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีม ใช้เวลา 15-20 นาที ให้สังเกตดูพอเนื้อเนียนก็ใช้ได้

หลังจากปั่นจนได้ที่ ก็ทำการเทและจัดเก็บไว้ในกล่องที่เตรียมไว้ จากนั้นก็นำไปทำกรรมวิธีต่อไปคือการบ่ม ซึ่งการบ่มก็คือการนำไปแช่เก็บไว้เพื่อเป็นการทำให้เนื้อไอศกรีมได้เซตตัว ใช้เวลาบ่มประมาณ 6 ชั่วโมงก็ใช้ได้

สำหรับไอศกรีมผลไม้ตัวอื่น ก็จะมีส่วนผสมของน้ำและเนื้อผลไม้ที่ต้องการจะใช้ทำไอศกรีมรสชาตินั้น ๆ มาทำการแปรรูปผ่านกรรมวิธีเพื่อที่จะได้ออกมาในรูปของน้ำ ใช้น้ำผลไม้ที่ได้ประมาณ 65% ผสมน้ำสะอาดประมาณ 5% แล้วทำการต้มเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค ระหว่างต้มก็ใส่เนื้อของผลไม้นั้น ๆ ประมาณ 29% ใส่ไขมันจากพืชคือน้ำมันมะกอก 1% และน้ำตาลเล็กน้อย ผสมลงไปต้มแค่พอเดือด จากนั้นก็ยกลงพักไว้ ผลไม้ที่นำมาทำไอศกรีมควรใช้ผลไม้ที่มีความแก่จัด เวลาทำออกมาจะได้รสชาติและกลิ่นของผลไม้นั้น ๆ อย่างเต็มที่ ส่วนขั้นตอนอื่น ๆ ก็เหมือนกับไอศกรีมน้อยหน่า

ไอศกรีมผลไม้นี้สามารถเก็บไว้ได้นานประมาณ 6 เดือน ในอุณหภูมิที่เหมาะสมคือ -18 องศาเซลเซียส
 
ราคาขายไอศกรีมน้อยหน่า และไอศกรีมผลไม้แท้อื่น ๆ เจ้านี้จะขายถ้วยละ 30 บาท มีต้นทุนเฉพาะในส่วนของวัตถุดิบประมาณไม่เกิน 60% ของราคา ปัจจุบันมีขายตามร้านอาหารชั้นนำหลายแห่ง เช่น ร้านอาหารในเครือแม่ศรีเรือน, ร้านอบอร่อย-ทาวน์อินทาวน์, ข้าวมันไก่โก๊ะตี๋, แหลมเจริญ ซีฟู้ด, สวนอาหารนาทอง ใกล้แยกเหม่งจ๋าย ฯลฯ รวมถึงร้านอาหารสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ คือ ร้าน Asian Corner ภายใน King Power Duty Free Down Town Complex ซอยรางน้ำ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะมีเอกลักษณ์ที่เป็นไอศกรีมผลไม้ไทยแท้ถูกใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ และผู้ประกอบการรายนี้ยังทำเงินได้จากการรับจัดเป็นของว่างตามงานประชุม สัมมนา และออกงานต่าง ๆ ด้วย
 
ใครสนใจติดต่อ โอ-ศักดิ์สุกฤต ธุรกิจไอศกรีมโฮมเมด “J.Homemade” ติดต่อได้ที่ โทร. 08-1576-9988 และ 08-1335-8188 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” จากสินค้าอาหารที่ “เพื่อสุขภาพ” เป็นจุดเด่นจุดขายที่ดี.

http://www.dailynews.co.th/article/384/157992