Saturday, November 28, 2009

แนะนำอาชีพ‘บัวลอยแฟนซี-มีไส้’

การนำเสนอสิ่งแปลกใหม่ให้กับผู้บริโภค ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินค้าติดตลาดได้ง่ายขึ้น อย่างกรณีการนำเอาขนมหัวล้านของชาวใต้ มาประยุกต์กับขนมบัวลอย-ไข่หวาน ภายใต้ชื่อ “ขนมบัวลอยบ้านยะลา (มีไส้)” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอวันนี้ ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีภายในเวลาอันรวดเร็ว

อานนท์ ยะมานนท์ หนุ่มใหญ่วัย 41 ปี อพยพครอบครัวจากใต้สุดแดนสยาม เข้ามาทำกินในเมืองกรุงด้วยขนมบัวลอย หลายคนที่เคยชิมฝีมือขนมหวานของอานนท์ อาจจะนึกว่าต้องเป็นสูตรเด็ดเคล็ดลับการทำขนมที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษแน่ ๆ เพราะทั้งหอม ทั้งหวานพอดี ทั้งมัน รวมแล้วอร่อยจังหู แต่พอถามไถ่ได้ความ ก็ทราบว่าเพิ่งทำ “บัวลอยแฟนซี-มีไส้” ขายหลังจากคุณแม่เสียไป เมื่อ 2 ปีมานี้เอง

“ผมฝันถึงแม่ ท่านมาบอกว่าชั่วโมงนี้ทำขนม ขายของกิน จะดีที่สุด ผมก็มานั่งคิดว่าของกินที่ว่าคืออะไร ที่นึกได้ในตอนนั้นคือ ขนมหัวล้านปักษ์ใต้ ขนมชนิดนี้จะเป็นที่นิยมกันในละแวกบ้านจังหวัดยะลาและปักษ์ใต้เท่านั้น คนกรุงเทพฯ ไม่รู้จัก แล้วจะขายได้ยังไง จากนั้นผมก็มาคิดต่อยอดสูตรการทำและดัดแปลงทดลองทำ เสียของไปไม่น้อย กว่าจะได้มาเป็นขนมบัวลอยมีไส้แฟนซีอย่างทุกวันนี้”

คุณแม่ของอานนท์เป็นคนทำขนมเก่ง ขนมหวานทุกชนิดทำขายหมด เป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัว จากการที่คลุกคลีอยู่กับขนมหวาน อานนท์จึงซึมซับการทำขนมมาตั้งแต่เล็ก และจากขนมหัวล้านสูตรดั้งเดิมที่เป็นข้าวเหนียวสีขาวล้วน ๆ ก็ถูกเขาแต่งแต้มด้วยสีสดใสจากพืชพรรณธรรมชาติ กลายเป็นขนมแฟนซีสีสันสะดุดตาสวยงามน่ารับประทานยิ่งขึ้น อาทิ สีส้มจากแครอท สีเหลืองจากฟักทอง สีเขียวจากใบเตย สีม่วงจากดอกอัญชัน สีขาวนวลจากเผือก และสีดำจากข้าวเหนียวดำ

วัสดุอุปกรณ์ในการทำอาชีพนี้ หลัก ๆ ก็มีเตาแก๊ส, รังถึง, หม้อ, ทัพพีกลม, กะละมังสเตนเลสหลายขนาด, กระทะทองเหลือง, ไม้พาย, ถาดสเตนเลส, หม้อหุงข้าวไฟฟ้า, ถุงพลาสติก และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดอื่น ๆ

สำหรับวัตถุดิบและส่วนผสมที่ใช้ในการทำขนมบัวลอยแฟนซี-มีไส้ ตัวไส้ขนม ก็ใช้... ถั่วเหลือง, หัวกะทิ, น้ำตาลทราย และเกลือ และ ตัวแป้งห่อไส้ จะใช้... แป้งข้าวเหนียวอย่างดี, น้ำสีธรรมชาติที่คั้นจากพืช เช่น สีส้มจากแครอท สีเขียวจากใบเตย สีม่วงจากดอกอัญชัน สีขาวนวลจากเผือก สีเหลืองจากฝักทอง สีดำจากข้าวเหนียวดำ

การทำ “บัวลอยแฟนซี-มีไส้” ต้องเริ่มจากทำตัวไส้ขนมก่อน โดยนำถั่วเหลืองมาเลาะเปลือกล้างให้สะอาด แช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง เสร็จแล้วนำถั่วที่แช่แล้วไปนึ่งในรังถึงให้สุก นำขึ้นมาทิ้งไว้สักพัก ก่อนจะนำถั่วไปบดให้ละเอียด เสร็จแล้วก็นำไปกวนเป็นไส้ โดยนำถั่วที่บดละเอียดใส่ลงกระทะ ตามด้วยหัวกะทิ น้ำตาลทราย เกลือ ทำการกวนส่วนผสมให้เข้ากัน ใช้ไฟอ่อน กวนไปเรื่อย ๆ จนผสมเหนียวขนาดปั้นได้ จึงยกลงจากเตาพักไว้ให้เย็น ก่อนจะปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ ตามขนาดที่ต้องการ พักไว้สำหรับทำเป็นไส้ขนม

ต่อไปทำตัวแป้งห่อไส้ เริ่มจากการทำน้ำผสมสีธรรมชาติที่คั้นจากพืชผักเตรียมเอาไว้ก่อน จากนั้นจึงนำแป้งข้าวเหนียวในปริมาณพอเหมาะเทใส่กะละมัง ใส่น้ำร้อนลงไปเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ใส่น้ำสีผสมธรรมชาติที่ต้องการลงไปพอสมควร แล้วทำการนวดแป้งผสมสีให้เข้ากัน นวดไป เรื่อย ๆ สังเกตดูลักษณะตัวแป้งว่าจับกันเป็นก้อน มีน้ำหนัก ทั้งนุ่มและเนียนดี ก็เป็นอันใช้ได้ ใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำบิดพอหมาด ๆ คลุมปิดไว้ไม่ให้แป้งแห้ง

จากนั้น เป็นการทำ น้ำเชื่อมและน้ำกะทิสด น้ำเชื่อมส่วนนี้เอาไว้หล่อขนม โดยนำน้ำตาลทรายต้มกับน้ำสะอาดให้เดือด และสัดส่วนพอเข้มข้น พอเดือดยกลงตั้งไว้ให้เย็น ก่อนเทใส่ในถาดเตรียมไว้ ส่วนน้ำกะทิสด เอาหัวกะทิล้วน ๆ ผสมน้ำตาลและเกลือนิดหน่อยเพื่อให้มีรสชาติกลมกล่อม ทำการต้มและอุ่นกะทิด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าตลอดเวลา เพื่อป้องกันการเสียง่าย น้ำกะทิสดนี้สามารถเก็บไว้ได้นาน 4 วัน

ต้มน้ำในหม้อให้ร้อนจัด แล้วจึงค่อย ๆ ปั้นแป้งห่อไส้ถั่วกวนที่เตรียมไว้ทีละลูก วางลงในภาชนะ พอได้ปริมาณพอสมควร ค่อย ๆ หย่อนใส่ลงหม้อต้มน้ำ เมื่อตัวแป้งสุกจะลอยขึ้นมา ใช้กระชอนตักขึ้นมาใส่ในถาดซึ่งมีน้ำเชื่อมหล่อเตรียมไว้ เพื่อช่วยไม่ให้เม็ดแป้งที่ต้มสุกแล้วคืนตัวเร็ว ก่อนจะไปผสมกับน้ำกะทิสด

ส่วนการทำ ไข่หวาน ก็ตอกไข่ใส่ลงไปต้มในน้ำเชื่อม โดยเจ้านี้จะทำแบบให้ไข่แดงเป็นยางมะตูม และมีความเหนียวนุ่ม เตรียมไว้สำหรับลูกค้าที่ชอบรับประทานบัวลอยโดยใส่ไข่หวานด้วย

การเสิร์ฟ-การขาย ให้ตักบัวลอยใส่ถ้วย แล้วตักน้ำกะทิสดราดตามลงไป โดย “บัวลอยแฟนซี-มีไส้” นี้ 8 ลูก ขาย 25 บาท ถ้าใส่ไข่หวาน 1 ฟองด้วย ก็ 35 บาท ซึ่งด้วยการเน้นคุณภาพ ความสะอาด และความเป็นธรรมชาติ ราคานี้ลูกค้าก็ไม่เกี่ยงงอน

“บัวลอยแฟนซี-มีไส้” ขายอยู่ที่เสรีเซ็นเตอร์ ชั้น G โซนอาหาร และที่กรมส่งเสริมการส่งออก รัชดาฯ รวมถึงมีการไปออกบูธ-ออกร้านตามงานต่าง ๆ ด้วย ใครต้องการติดต่ออานนท์ ก็ โทร. 08-7590-9883.

ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=27984&categoryID=525

No comments: