ขนมหม้อแกง ขนมพื้นเมืองโบราณของเหล่าแม่ ๆทั้งหลาย อยู่คู่คนไทยมาช้านาน
ซึ่งด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
หน้าตาขนมหม้อแกงก็ถูกพัฒนาเปลี่ยนไปเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้า
คนรุ่นใหม่ บวกกับอุณหภูมิการแข่งขัน จึงทำให้คนทำขายต้องสร้างความแตกต่าง
ต้องสร้างจุดขายของตัวเอง จนกลายเป็นสินค้าที่มีรสชาติและหน้าตาใหม่ ๆ
ที่ดึงดูดใจลูกค้าได้อย่างดี วันนี้มาดูข้อมูลอาชีพเกี่ยวกับ “ขนมหม้อแกง”
ซึ่งยังคงเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ...
นงลักษณ์ กิมสุวรรณ วัย 46 ปี เจ้าของร้านนงลักษณ์ขนมไทย สูตรโบราณ
จ.ฉะเชิงเทรา เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการทำร้านขนมไทยโบราณว่า
เธอและครอบครัวประกอบอาชีพทำขนมไทยสูตรโบราณขายมานานกว่า 10 ปีแล้ว
โดยเดิมทีนั้นเคยประกอบอาชีพขายผลไม้ตามฤดูกาล แต่เมื่อเวลาผ่านไป
เศรษฐกิจเริ่มไม่ดี ทำให้ธุรกิจประสบภาวะขาดทุน เงินสำรองที่เก็บไว้
รวมถึงเงินทุนหมุนเวียนในการค้าขายก็หมดลง
ทำให้เธอต้องไปกู้เงินมาเพื่อลงทุนใหม่
“เมื่อธุรกิจขายผลไม้ตามฤดูกาลไม่ประสบผลสำเร็จ
ทำให้เป็นหนี้เป็นสินมากมาย
จึงคิดกันกับแฟนว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ไหวแน่ รู้สึกเบื่อ
เพราะทำไปก็เหนื่อยเปล่า ก็เริ่มมองหาอาชีพใหม่
พอดีช่วงนั้นอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ว่าที่ห้างหนึ่งมีการเปิดอบรมการอนุรักษ์
ขนมไทยโบราณฟรี เสียแค่ค่าอุปกรณ์นิดหน่อย
ก็รีบไปสมัครทันทีเพราะสนใจการทำขนมไทยอยู่แล้ว อบรมเสร็จก็ฝึกทำที่บ้าน
ใช้เวลาหลายเดือนจนได้รสชาติอร่อยคงที่ และเพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่ รวมถึงเด็ก
ๆ ให้หันมาสนใจขนมไทยโบราณ ก็ประยุกต์ขนมให้มีขนาดเล็กจิ๋ว
หน้าตาน่ารับประทาน เช่น ทองหยิบทองหยอดจิ๋ว เม็ดขนุนจิ๋ว ฝอยทอง ขนมชั้น
และหม้อแกง-โรยหอมเจียว หม้อแกง-โรยฝอยทอง ซึ่งกระแสตอบรับดีมาก”
เคล็ดลับความอร่อยของขนมไทยโบราณ นงลักษณ์บอกว่า
หัวใจสำคัญคือการใช้วัตถุดิบคุณภาพดี ฝีมือและความประณีต
นอกจากนี้ต้องอาศัยความใจเย็นของคนทำด้วย รสชาติ หน้าตาของขนม จึงจะออกมาดี
น่ารับประทาน
นงลักษณ์บอกอีกว่า อาชีพขายขนมกระแสตอบรับยังดีมาก
เส้นทางขนมยังไปได้อีกไกล เพราะคนไทยยังนิยมกินขนมหวาน และพิธีการต่าง ๆ
ก็นิยมใช้ขนมหวาน รวมถึงรีสอร์ทต่าง ๆ
ก็หันมาใช้ขนมไทยโบราณเป็นอาหารว่างให้กลุ่มลูกค้าสัมมนาด้วย
การทำขนมหม้อแกง อุปกรณ์และวัสดุหลัก ๆ ก็มี...เตาอบ, กะละมัง, ถาด,
เครื่องตีไข่, กล่องฟอยล์, ทัพพี และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ
ที่หยิบยืมเอาจากในครัวได้
ส่วนผสมที่ใช้ในการทำ...ไข่ขาว 8 ขีด, ไข่แดง 2 ขีด, น้ำตาลโตนด 1 กก.,
หัวกะทิ 1 กก., แป้งสาลี 2 ขีด, น้ำมันพืช, หอมแดงซอย, ฝอยทอง และใบเตยหอม
ขั้นตอนการทำ “ขนมหม้อแกง” เริ่มจากการทำหอมเจียวสำหรับโรยหน้าก่อน
โดยนำหอมแดงซอยมาเจียวด้วยไฟอ่อนให้เหลืองหอม ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
เตรียมไว้ และนำใบเตยหอม 6-7 ใบ มาล้างให้สะอาด วางไว้ให้สะเด็ดน้ำ
นำส่วนผสมของไข่ขาว ไข่แดง และแป้งสาลี ใส่อ่างผสม ทำการตีให้ไข่ขึ้นฟู
แล้วใส่น้ำตาลโตนด และใส่ใบเตยหอมที่เตรียมไว้ตามลงไป
ทำการขยำให้ส่วนผสมเข้ากัน จนน้ำตาลละลาย
จากนั้นใส่หัวกะทิตามลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วนำมากรองด้วยผ้าขาวบาง
2-3 ครั้ง เสร็จแล้วจึงตักใส่พิมพ์ หรือถ้วยฟอยล์ ขนาด 7X10 ซม.
ที่วางไว้บนถาด นำเข้าเตาอบเปิดไฟที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ประมาณ 30
นาที พอเห็นว่าหน้าขนมเริ่มมีสีเหลืองอ่อนให้ปรับลดไฟมาที่อุณหภูมิ 150
องศาเซลเซียส อบต่ออีกประมาณ 20 นาที เมื่อหน้าขนมมีสีเหลืองทอง
ก็เป็นอันใช้ได้ ยกถาดขนมออกมา แล้วโรยหน้าด้วยหอมเจียว และฝอยทอง
เพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อยมากยิ่งขึ้น
มาถึงตรงนี้ก็จะได้ขนมหม้อแกงอีกสูตรที่ได้รับการกล่าวขานถึงความอร่อย
รสชาติหวานมันหอม และยังคงเสน่ห์ความเป็นไทยแบบโบราณดั้งเดิมไว้
ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานและซื้อเป็นของฝาก ทั้งในและนอกชุมชน
“ขนมหม้อแกง” นี่ก็เป็นสินค้า “ของดี ของฝาก เมืองแปดริ้ว”
อีกชนิดหนึ่งด้วย โดยราคาขายอยู่ที่กล่องละ 35 บาท
มีต้นทุนเฉพาะในส่วนของวัตถุดิบประมาณ 60% ของราคาขาย
ขนมของร้านนงลักษณ์ ขนมไทยสูตรโบราณ ได้รับการรับรองให้เป็นสินค้าโอทอป 4
ดาว โดยทำขนมหม้อแกง และขนมไทยชนิดอื่น ๆ ขายทุกวันเสาร์-อาทิตย์
ที่ตลาดน้ำบางคล้า และตลาดร้อยปีบ้านใหม่ จ.ฉะเชิงเทรา
และยังออกร้านงานโอทอป งานต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ
ซึ่งหากใครสนใจจะสั่งซื้อไปใช้ในเทศกาลงานต่าง ๆ ต้องการติดต่อคุณนงลักษณ์
ก็ติดต่อทางโทรศัพท์ได้ที่ โทร. 08-1576-6227 และ 08-1344-1832.
http://www.dailynews.co.th/article/384/114141
Sunday, May 13, 2012
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment