Sunday, May 13, 2012

แนะนำอาชีพ ''ขนมหม้อแกง''

ขนมหม้อแกง ขนมพื้นเมืองโบราณของเหล่าแม่ ๆทั้งหลาย อยู่คู่คนไทยมาช้านาน ซึ่งด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป หน้าตาขนมหม้อแกงก็ถูกพัฒนาเปลี่ยนไปเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้า คนรุ่นใหม่ บวกกับอุณหภูมิการแข่งขัน จึงทำให้คนทำขายต้องสร้างความแตกต่าง ต้องสร้างจุดขายของตัวเอง จนกลายเป็นสินค้าที่มีรสชาติและหน้าตาใหม่ ๆ ที่ดึงดูดใจลูกค้าได้อย่างดี วันนี้มาดูข้อมูลอาชีพเกี่ยวกับ “ขนมหม้อแกง” ซึ่งยังคงเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ...
 
นงลักษณ์ กิมสุวรรณ วัย 46 ปี เจ้าของร้านนงลักษณ์ขนมไทย สูตรโบราณ จ.ฉะเชิงเทรา เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการทำร้านขนมไทยโบราณว่า เธอและครอบครัวประกอบอาชีพทำขนมไทยสูตรโบราณขายมานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยเดิมทีนั้นเคยประกอบอาชีพขายผลไม้ตามฤดูกาล แต่เมื่อเวลาผ่านไป เศรษฐกิจเริ่มไม่ดี ทำให้ธุรกิจประสบภาวะขาดทุน เงินสำรองที่เก็บไว้ รวมถึงเงินทุนหมุนเวียนในการค้าขายก็หมดลง ทำให้เธอต้องไปกู้เงินมาเพื่อลงทุนใหม่

“เมื่อธุรกิจขายผลไม้ตามฤดูกาลไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้เป็นหนี้เป็นสินมากมาย จึงคิดกันกับแฟนว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ไหวแน่ รู้สึกเบื่อ เพราะทำไปก็เหนื่อยเปล่า ก็เริ่มมองหาอาชีพใหม่ พอดีช่วงนั้นอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ว่าที่ห้างหนึ่งมีการเปิดอบรมการอนุรักษ์ ขนมไทยโบราณฟรี เสียแค่ค่าอุปกรณ์นิดหน่อย ก็รีบไปสมัครทันทีเพราะสนใจการทำขนมไทยอยู่แล้ว อบรมเสร็จก็ฝึกทำที่บ้าน ใช้เวลาหลายเดือนจนได้รสชาติอร่อยคงที่ และเพื่อเอาใจคนรุ่นใหม่ รวมถึงเด็ก ๆ ให้หันมาสนใจขนมไทยโบราณ ก็ประยุกต์ขนมให้มีขนาดเล็กจิ๋ว หน้าตาน่ารับประทาน เช่น ทองหยิบทองหยอดจิ๋ว เม็ดขนุนจิ๋ว ฝอยทอง ขนมชั้น และหม้อแกง-โรยหอมเจียว หม้อแกง-โรยฝอยทอง ซึ่งกระแสตอบรับดีมาก”

เคล็ดลับความอร่อยของขนมไทยโบราณ นงลักษณ์บอกว่า หัวใจสำคัญคือการใช้วัตถุดิบคุณภาพดี ฝีมือและความประณีต นอกจากนี้ต้องอาศัยความใจเย็นของคนทำด้วย รสชาติ หน้าตาของขนม จึงจะออกมาดี น่ารับประทาน

นงลักษณ์บอกอีกว่า อาชีพขายขนมกระแสตอบรับยังดีมาก เส้นทางขนมยังไปได้อีกไกล เพราะคนไทยยังนิยมกินขนมหวาน และพิธีการต่าง ๆ ก็นิยมใช้ขนมหวาน รวมถึงรีสอร์ทต่าง ๆ ก็หันมาใช้ขนมไทยโบราณเป็นอาหารว่างให้กลุ่มลูกค้าสัมมนาด้วย

การทำขนมหม้อแกง อุปกรณ์และวัสดุหลัก ๆ ก็มี...เตาอบ, กะละมัง, ถาด, เครื่องตีไข่, กล่องฟอยล์, ทัพพี และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่หยิบยืมเอาจากในครัวได้

ส่วนผสมที่ใช้ในการทำ...ไข่ขาว 8 ขีด, ไข่แดง 2 ขีด, น้ำตาลโตนด 1 กก., หัวกะทิ 1 กก., แป้งสาลี 2 ขีด, น้ำมันพืช, หอมแดงซอย, ฝอยทอง และใบเตยหอม

ขั้นตอนการทำ “ขนมหม้อแกง” เริ่มจากการทำหอมเจียวสำหรับโรยหน้าก่อน โดยนำหอมแดงซอยมาเจียวด้วยไฟอ่อนให้เหลืองหอม ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน เตรียมไว้ และนำใบเตยหอม 6-7 ใบ มาล้างให้สะอาด วางไว้ให้สะเด็ดน้ำ

นำส่วนผสมของไข่ขาว ไข่แดง และแป้งสาลี ใส่อ่างผสม ทำการตีให้ไข่ขึ้นฟู แล้วใส่น้ำตาลโตนด และใส่ใบเตยหอมที่เตรียมไว้ตามลงไป ทำการขยำให้ส่วนผสมเข้ากัน จนน้ำตาลละลาย

จากนั้นใส่หัวกะทิตามลงไป คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วนำมากรองด้วยผ้าขาวบาง 2-3 ครั้ง เสร็จแล้วจึงตักใส่พิมพ์ หรือถ้วยฟอยล์ ขนาด 7X10 ซม. ที่วางไว้บนถาด นำเข้าเตาอบเปิดไฟที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส ประมาณ 30 นาที พอเห็นว่าหน้าขนมเริ่มมีสีเหลืองอ่อนให้ปรับลดไฟมาที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส อบต่ออีกประมาณ 20 นาที เมื่อหน้าขนมมีสีเหลืองทอง ก็เป็นอันใช้ได้ ยกถาดขนมออกมา แล้วโรยหน้าด้วยหอมเจียว และฝอยทอง เพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อยมากยิ่งขึ้น มาถึงตรงนี้ก็จะได้ขนมหม้อแกงอีกสูตรที่ได้รับการกล่าวขานถึงความอร่อย รสชาติหวานมันหอม และยังคงเสน่ห์ความเป็นไทยแบบโบราณดั้งเดิมไว้ ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานและซื้อเป็นของฝาก ทั้งในและนอกชุมชน

“ขนมหม้อแกง” นี่ก็เป็นสินค้า “ของดี ของฝาก เมืองแปดริ้ว” อีกชนิดหนึ่งด้วย โดยราคาขายอยู่ที่กล่องละ 35 บาท มีต้นทุนเฉพาะในส่วนของวัตถุดิบประมาณ 60% ของราคาขาย
  
ขนมของร้านนงลักษณ์ ขนมไทยสูตรโบราณ ได้รับการรับรองให้เป็นสินค้าโอทอป 4 ดาว โดยทำขนมหม้อแกง และขนมไทยชนิดอื่น ๆ ขายทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ที่ตลาดน้ำบางคล้า และตลาดร้อยปีบ้านใหม่ จ.ฉะเชิงเทรา และยังออกร้านงานโอทอป งานต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ ซึ่งหากใครสนใจจะสั่งซื้อไปใช้ในเทศกาลงานต่าง ๆ ต้องการติดต่อคุณนงลักษณ์ ก็ติดต่อทางโทรศัพท์ได้ที่ โทร. 08-1576-6227 และ 08-1344-1832.

http://www.dailynews.co.th/article/384/114141

No comments: