Wednesday, February 16, 2011

แนะนำอาชีพ 'ผงไหม'

คุณค่าของ “ไหมไทย” ไม่ได้มีเพียงเฉพาะในยามที่ถูกนำมาถักทอเป็นผืนผ้าเท่านั้น แต่ความก้าวหน้าของการวิจัยโดยผนวกกับการนำ “เทคโนโลยีนิวเคลียร์” มาประยุกต์ใช้ ทำให้สามารถแปรค่าให้กับเศษ “รังไหม” เหลือทิ้ง กลายมาเป็น “ผงไหม” ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง

นายอรรถวิท เตชะวิบูลย์วงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์กรมหาชน) หรือ สทน. เปิดเผยว่า ในแต่ละปีประเทศไทย มีการผลิตเส้นไหมได้ประมาณ 1,300-1,400 ตัน โดยจะมีเศษรังไหมเหลือทิ้งไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ประมาณปีละ 300 ตัน ซึ่งหากนำไปจำหน่ายเป็นวัตถุดิบจะมีมูลค่าเพียง 41-95 ล้านบาท สทน.จึงเริ่มการวิจัยคิดกรรมวิธีสกัดโปรตีนจากเศษไหม ทำเป็นผงโปรตีนไหมเพื่อเพิ่มมูลค่า กระทั่งประสบความสำเร็จได้ “ผงไหม” ที่มีอนุภาคเล็กและอุดมไปด้วยสารโปรตีน เมื่อนำไปจำหน่ายจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 720-1,800 ล้านบาท และหากนำไปต่อยอดทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทำวัสดุทางการแพทย์ หรือวัสดุทางการเกษตร ก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้นอีกถึง 5-10 เท่า

โดยนักวิจัยของ สทน.ค้นพบว่ารังไหมไทยอุดมไปด้วยโปรตีน 18 ชนิด แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและคุณประโยชน์แตกต่างกัน โดยเมื่อนำเศษไหมมาสกัดด้วยเทคโนโลยีนิวเคลียร์จะได้ “สารละลายไหม” นำมาทำเป็นผงไหม ซึ่งมี 2 ชนิด คือ 1. ผงไหม “ซิริซิน” (Siricin) ซึ่งได้จาก “กาวไหม” นิยมนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางมากที่สุด มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 40,000 บาท และ 2. ผงไหม “ไฟโบรอิน” (Fibroin) นิยมนำไปผสมในอาหาร เนื่องจากไม่ทำให้สีและกลิ่นเปลี่ยนไปจากเดิม

การนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาผลิตผงไหมจะ ได้ผลที่แตกต่างจากการผลิตผงไหมด้วยวิธีอื่น ๆ คือ กระบวนการนิวเคลียร์เป็นการฉายรังสีแกมมา ซึ่งเป็นเพียงพลังงานรูปหนึ่งเข้าไปที่เส้นใยไหม ก่อนนำไหมมาสกัดเป็นผงไหม ซึ่งทำให้มีการย่อยสลายโมเลกุลของโปรตีนให้หลุดออกมาได้ง่ายขึ้น ทำให้ได้ปริมาณผงไหมที่มากขึ้น ผงไหมที่ได้จากการใช้รังสีนี้จะมีอนุภาคขนาดเล็ก ละลายน้ำได้มากขึ้น ทำให้แทรกซึมเข้าผิวหนังได้ง่ายกว่า และเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อนำไปใช้กับวัสดุหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ขณะที่คุณค่าของโปรตีนที่อยู่ในเส้นไหมก็ไม่ได้หายไปเลย

จากความโดดเด่นในเรื่องความละเอียดของเนื้อผงไหม ที่มีคุณสมบัติช่วยให้การดูดซับเข้าสู่ร่างกายได้ดีนี้เอง เมื่อนำมาผนวกรวมกับคุณประโยชน์ของโปรตีนคุณภาพสูงที่มีอยู่ในไหมไทย ซึ่งจากการวิจัยของ สทน. และหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิชาการเกษตร ล้วนชี้ตรงกันว่า โปรตีนคุณภาพสูงเหล่านี้มีส่วนช่วยเพิ่มสารอาหารให้เซลล์ที่สร้าง “คอลลาเจน” และ “อีลาสติน” ซึ่งมีบทบาทสำคัญทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ยืดหยุ่นและมีความชุ่มชื้น โดยเฉพาะผงไหมซิริซินที่มีคุณสมบัติยับยั้งการเกิดรอยกระบนใบหน้า หรือเกิดจุดที่ผิวหนัง ป้องกันแสง ยูวี และช่วยคงสภาพความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังได้ จึงทำให้ สทน.พยายามต่อยอดงานวิจัย ด้วยการนำไปทดสอบผลิตเครื่องสำอางหลายรูปแบบ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และพัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ในอนาคต

“ปัจจุบันเราใช้ผงไหมผลจากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการมาผลิตเครื่องสำอางหลาย รูปแบบ เช่น สบู่ แชมพู คอนดิชั่นเนอร์ โลชั่น ครีมอาบน้ำ และลิปบาล์ม ออกวางจำหน่าย แต่เป็นไปเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงานวิจัยเป็นหลักไม่ใช่ในเชิงธุรกิจ เนื่องจากเป็นข้อจำกัดขององค์กรที่ไม่สามารถดำเนินการได้” นายอรรถวิท กล่าว

อย่างไรก็ตาม สทน.พร้อมจะถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ให้ภาคเอกชนที่สนใจนำไปผลงานวิจัยไปต่อยอด เชิงพาณิชย์ โดยมีสทน.เป็นที่ปรึกษา ซึ่งอาจเป็นในลักษณะที่เอกชนนำรังไหมมารับการฉายแสงจากสทน. ขณะที่สทน.ก็จะถ่ายทอดขั้นตอนวิธีการพร้อมคำแนะนำต่าง ๆ ให้ไปดำเนินการได้อย่างเต็มที่

…เพราะผลลัพธ์ที่ตามมา ไม่ได้ตกอยู่แต่เฉพาะเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศโดย เฉพาะภาคส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับไหมไทยเท่านั้น แต่ยังเท่ากับเป็นการทำให้งานวิจัยด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของไทยสร้าง ประโยชน์ให้กับคนไทยได้อย่างคุ้มค่าอีกทางหนึ่งด้วย.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=663&contentID=121318

เพิ่มเติม

เมื่อวันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา...ได้กล่าวถึง ข้อมูลจาก สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สทน.) ระบุว่าผงไหมซึ่งเป็นผลผลิตหนึ่งจากเทคโนโลยีนิวเคลียร์ สามารถนำไปใส่อาหารให้มีคุณภาพดีขึ้น มีประโยชน์มากขึ้น และนำไปใช้ในเครื่องสำอาง อย่างสบู่ ครีมบำรุง โดย สนท.วิจัยร่วมกับกรมวิชาการเกษตร พบว่าผงไหมสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เนื่องจากมีกรดอะมิโนอยู่มากถึง 16-18 ชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยรักษาแผลให้หายเร็วขึ้น สามารถกำจัดเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง ทั้งยังช่วยรักษาปริมาณน้ำในผิวหนังกำจัดสิ่งสกปรกในเซลล์และยืดอายุเซลล์ ได้ ผงไหมมีสารที่ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด สลายแอลกอฮอล์ในร่างกาย ช่วยความจำอีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ฯลฯ ดังนั้น หากนำมาผสมในอาหาร นอกจากจะเพิ่มคุณค่าสารอาหารยังมีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน

ข้อมูลจาก สนท.ระบุว่า ผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำผงไหมไปเป็นส่วนผสมได้ เช่น ไส้กรอก กุนเชียง ลูกชิ้น ไอศกรีม บะหมี่ หมูยอ กุนเชียงที่ใส่ผงไหม ลักษณะจะนุ่มเหมือนกับของซึ่งทำออกใหม่ ลักษณะเนื้อเหมือนกับว่าผสมหมูเนื้อแดงในอัตราส่วนที่มากและสีสันยังสด เนื้อนุ่ม ชวนกิน ส่วนโยเกิร์ต หรือไอศกรีม จะทำให้มีเนื้อผลิตภัณฑ์ที่เนียนไม่ละลายง่าย บะหมี่ ทำให้มีคุณสมบัติเหนียวนุ่ม ไม่ยุ่ย

อันนี้น่าสนใจ เมื่อ สทน. ทดลองฉีดสารละลายโปรตีนไหมกับข้าวหอมปทุมธานี เนื้อที่ 2 ไร่ เปรียบเทียบกับข้าวหอมปทุมธานีที่ไม่ได้ฉีดสารละลายโปรตีนไหม ซึ่งเป็นข้าวที่ปลูกในแปลงติดกัน มีคันนาติดกัน เริ่มปลูกในวันเดียวกัน และปฏิบัติเช่นเดียวกันทุกขั้นตอน แตกต่างกันที่การฉีดพ่นสารละลายไหมเท่านั้นผลปรากฏว่า ข้าวหอมปทุมธานี แปลงที่ฉีดสารละลายโปรตีนไหม ให้สภาพต้นข้าวที่ดูแข็งแรง ใบเขียว ตั้งตรงกว่าต้นข้าวที่ไม่ได้ฉีด ออกรวงและเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่าประมาณ 7 วัน และให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นไร่ละ 38.75% …ยังไม่ได้สอบถามเพิ่มเติมว่างานวิจัยชิ้นนี้ไปถึงไหน อย่างไรแล้ว เร็ว ๆ นี้จะสอบถามข้อมูลมาให้ครับ ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ นี้เป็นผลวิจัยจาก โครงการเพิ่มมูลค่าให้ไหมที่เป็นวัสดุเหลือใช้ เพิ่มโปรตีนในอาหาร และได้ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพและสามารถเพิ่มผลผลิตด้านการเกษตรด้วย โดย คุณบุญญา สุดาทิศ

ข้อมูลจากกรมหม่อนไหม ระบุว่าผงไหมไทยประกอบด้วยกรดอะมิโน 18 ชนิด ขอยกมาเป็นตัวอย่างดังนี้ Aspartic acid ช่วยขับไล่อาการบาดเจ็บและพิษแอมโมเนียออกจากร่างกาย ช่วยเพิ่มความต้านทานต่อการเหนื่อยอ่อน ช่วยระบบกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว, Threonine ป้องกันการเกิดไขมันในตับ ช่วยย่อยและช่วยระบบการทำงานของร่างกาย, Serine เป็นแหล่งสะสมน้ำตาลกลูโคส ในตับและกล้ามเนื้อ จึงช่วยส่งเสริมระบบการทำงานของอินซูลิน เป็นการลดน้ำตาลในเลือด ซึ่งช่วยเผาผลาญไขมันสะสมในร่างกาย ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น, Glutamic acid ช่วยลดแอมโมเนียในเลือด ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับโปรตีนในสมองและระบบการทำงานของน้ำตาล ช่วยควบคุมโรคสุรา (alcoholism) รักษาปริมาณน้ำของผิวหนังและป้องกันผิวแห้ง, Proline รักษาความดันโลหิตสูง มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของข้อและเอ็น ช่วยบำรุงรักษากล้ามเนื้อหัวใจ, Glycine ควบคุมระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันและรักษาความดันโลหิตสูง ช่วยเสริมสร้างการทำงานของตับ, Cystine ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายในการต่อต้านรังสีและมลพิษ ช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน มีความจำเป็นต่อการสร้างผิวหนัง ซึ่งจะช่วยให้แผลไฟไหม้และแผลผ่าตัดหายเร็วขึ้น,Valine ช่วยให้จิตใจกระปรี้กระเปร่า ประสานการทำงานของกล้ามเนื้อ, Methionine เป็นแหล่งที่ให้สารกำมะถัน ซึ่งป้องกันการเกิดโรคเกี่ยวกับผม ผิวหนังและเล็บ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลโดยการผลิตเลซิตินในตับ ลดไขมันในตับและป้องกันไต ป้องกันผมร่วงและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม...เป็นต้น

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=120032&categoryID=663

No comments: